หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ

เปิดใจถึงมุมมองทางธรรม และความเชื่อในแบบงมงายสไตล์ ‘หมอบี’ – เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล เจ้าของฉายา ‘ทูตสื่อวิญญาณ’

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ ‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ’ หรือ เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล จะใช้ประโยชน์จากสัมผัสพิเศษที่มีติดตัวมาตั้งแต่เด็กรับจ้างสื่อสารวิญญาณมาแล้วทั่วโลก แต่ในวันนี้เขาลดบทบาทนั้นลงเพื่อมาทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมกับ ‘วัดพระบาทน้ำพุ’ และสร้างเพจที่ทำคอนเทนต์สายธรรมเพื่อชักชวนชาวพุทธกลับไปสู่ศรัทธาที่แท้จริง

        “จูงมือทุกคนจากความหลงงมงายไปมีศรัทธาอันควร จนถึงสัจจะอันแท้จริง” 

        คือปณิธานที่เขียนอยู่บนเพจ งมงายสไตล์หมอบี ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองและความคิดได้เป็นอย่างดีว่า เขาคือผู้ศึกษาธรรมตัวยงที่ไม่ได้แค่เชื่อตามลมปากบอกเล่าต่อๆ กันมา แต่ศึกษาแก่นแท้ของหลักธรรมอย่างจริงจังซึ่งสังเกตได้จากลักษณะการตอบข้อสงสัยของผู้ที่ถามเข้าม

หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ

ถามจริงๆ ว่าสัมผัสพิเศษที่คุณมี สร้างผลกระทบอะไรในการใช้ชีวิตประจำของคุณบ้าง

        เมื่อก่อนคงต้องบอกว่ากระทบกับการใช้ชีวิตเหมือนกัน เพราะว่าผมต้องพยายามทำให้โลกปกติกับโลกที่เราสัมผัสได้ (โลกวิญญาณ) มีความสมดุลกัน เพื่อให้เราอยู่ในโลกปกติได้แบบไม่กระทบมาก แต่ความจริงแล้วแค่ต้องทำความเข้าใจว่าสิ่งไหนเราเจอในโลกจริง สิ่งไหนคืออีกโลก เพราะบางทีเราก็รู้อะไรที่ไม่ควรจะรู้ หรือไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปรู้ แต่เราก็ดันเอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นสาระสำคัญในชีวิตจนน่าปวดหัวเพราะเรื่องในโลกปกติของเราก็เยอะมากพออยู่แล้ว ถ้าเกิดเราดันไปรู้แล้วทำให้ทั้งสองโลกผสมกันไปอีก คิดว่ามันก็ไม่ควรเท่าไหร่

แล้วคนที่อยู่รอบตัวได้รับผลกระทบจากสัมผัสพิเศษของคุณบ้างไหม

        มีครับ อย่างช่วงแรกที่ผมรู้อะไรมาแล้วนำไปพูด หรือเล่าให้คนอื่นฟังซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูด เพราะส่วนใหญ่เขาจะไม่เข้าใจ เขาจะคิดว่าเราบ้าหรือเปล่า มันดูเหมือนผิดธรรมชาติ แต่ช่วงหลังพอเริ่มปรับตัวได้เราก็จะเริ่มรู้ว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด หรือไม่พูดเลย

ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะปรับตัวกับสิ่งที่เราเป็นได้

        นานครับ เพราะมันต้องผ่านการฝึกฝนตัวเอง เราต้องดัดสันดาน ปรับตัวเองให้เป็นปกติแล้วก็ทำให้สัมผัสพิเศษนี้ไม่เป็นปัญหาแต่ทำให้เกิดประโยชน์ด้วย ซึ่งกว่าทุกอย่างจะลงตัวก็ช่วงที่เรียนอยู่ที่อเมริกาประมาณ สิบปีได้

เรามักจะเคยเห็นตัวละครในหนังที่มีพลังพิเศษซึ่งเขาจะพยายามเก็บไว้เป็นความลับ แต่สำหรับตัวคุณเองทำไมถึงเลือกจะเปิดเผยว่าตัวเองมีพรสวรรค์นี้

        ผมไม่ได้มีความตั้งใจจะมาทำอะไรแบบนี้เลย ความจริงผมชอบอยู่เงียบๆ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร แต่ด้วยจังหวะและโอกาสที่เห็นว่าใช้แล้วเกิดประโยชน์ ช่วยให้คนมาทำบุญกับหลวงพ่อ (พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือหลวงพ่ออลงกต) ได้มากขึ้น ก็เหมือนว่าเรากลายเป็นกระบอกเสียงที่ทำให้การทำบุญเพิ่ม พอเห็นว่ายังทำได้เรื่อยๆ และยังเป็นประโยชน์ ผมจึงเลือกที่จะทำตรงนี้ต่อ

      อีกอย่างผมเข้าใจว่าวัฒนธรรมบริบทของความเป็นไทย การที่จะทำอะไรสักอย่างเขาไม่ได้มองที่ระบบแต่เชื่อที่ตัวบุคคล ดังนั้น การที่เขาเชื่อในตัวบุคคล เขาจะยึดคนเป็นหลัก ไม่ว่าคนคนนี้จะทำอะไร คนจะตามหมด โดยเฉพาะเรื่องการศรัทธาในพระในเจ้า พระอาจารย์คนนี้ทำอะไรเขาก็จะศรัทธา และเคารพ เราเองก็เหมือนกัน ถ้าคนเห็นเชื่อหรือศรัทธาในการที่เราทำอะไร เราก็นำทางให้เขาทำอะไรที่ดีได้

อยากรู้ว่าศาสนาพุทธกับเรื่องผีสางนางไม้เป็นสิ่งที่ไปด้วยกันได้จริงไหม

         ต้องบอกก่อนว่าคนไทยไม่ว่าจะกี่ร้อยปีหรือกี่พันปีจะมีสามชุดความเชื่อ คือ หนึ่ง เราเชื่อเรื่องผีทุกยุค และการันตีได้ว่าต่อจากนี้ไปก็จะยังเชื่ออยู่ดี สอง เชื่อเรื่องเทพเจ้าและเทวดา และ สาม เราบอกว่าเราเป็นชาวพุทธ ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องราวอีกสองส่วนที่เหลือไม่มีอยู่ ในเมื่อวัฒนธรรมของเราถูกหล่อหลอมมาแบบนี้

        ดังนั้น ไม่แปลกที่จะมีเรื่องพวกนี้ และผมมองว่ากลุ่มคนแต่ละกลุ่ม หรือคนแต่ละคน เราจะสามารถดึงเขามาสู่ธรรมะได้ในแง่มุมที่แตกต่างกัน บางคนเราเอาปัญญาไปให้เขาเลยเขาก็ยินดี แต่อยู่ดีๆ จะให้ผมเดินไปหาคุณลุงคนหนึ่งที่กำลังทำนาอยู่แล้วบอกว่า “คุณลุงครับ ผมจะมาเล่าปฏิจจสมุปบาทให้ฟัง” ลุงก็คงจะไม่เข้าใจว่าคืออะไร  ดังนั้น เราจึงเข้าใจในบางบริบทว่าทำไมพระต้องเอาเครื่องรางของขลังมาเป็นตัวล่อให้คนเข้ามาในวัด หรือบางที่ก็จะมีวิธีการอันหลากหลายซึ่งแต่ละที่ก็มีวิธีการไม่เหมือนกัน เคล็ดลับและวิธีการของครูบาอาจารย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน

หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ

สำหรับตัวคุณเองมีขอบเขตแค่ไหนในการเชิญชวนให้คนมาร่วมทำบุญด้วย

        ถ้าเขาเชื่อ และบอกว่ามีกำลังพอ ก็แค่นั้นเลย อย่างกรณีที่เคยไปทำมา จากร้อยกรณีที่มาหามีแค่หนึ่งหรือสองกรณีท่านั้นที่เกี่ยวกับเรื่องลึกลับ นอกนั้นไม่มีอะไรเลย แต่สมมติคุณมาคุยกับผม คุณโดนผีเข้ามา คุณชักหรือพูดจาภาษาอะไรไม่รู้เรื่องเลยแล้วจะให้ผมช่วย แต่ผมรู้ว่าไม่ใช่นะ ผมเลยบอกว่า “คุณอาจจะป่วยหรือมีความเครียดมากๆ เกิดขึ้นก็ได้ คุณควรไปหาหมอนะ” แต่กระบวนการในการเยียวยาจะไม่เกิดขึ้น ถ้าผมบอกไปว่าคุณเป็นบ้าไปตรงๆ แต่หากถ้าผมเออออไปแล้วบอกว่า “คุณผีเข้าครับ” คุณก็จะรู้สึกได้ว่าผมเข้าใจคุณนะ คุณก็จะค่อยๆ เล่าออกมา แล้วบางทีมีมากกว่านั้นคือบางคนอาจจะคิดว่าผมเชื่อว่าเขาโดนผีเข้า ที่ผมจะพิสูจน์ให้เขาเชื่อได้อย่างไรว่าผมรู้ในสิ่งที่เขาเป็นจริงๆ ดังนั้น ลิมิตของผมมีแค่นี้ คือทำอย่างไรให้เขาเชื่อได้ว่าเรารู้ในสิ่งที่เขาเป็นจริงๆ แล้วค่อยๆ หาทางแก้ไขให้เขา ไม่ว่าจะผีเข้าหรือป่วยเพราะเครียดขอแค่พอเขาเชื่อแล้วก็จบเลย

        ผมเข้าใจว่าคนเรามีความทุกข์ที่ต่างกัน ผมไม่เคยมองว่าความทุกข์ของใครไร้สาระ อย่างบางคนที่เขาให้ช่วยผมตามหาแมวเพราะแมวหาย บางคนอาจจะมองว่าบ้าหรือเปล่า ตามหาแมว แต่เราเข้าใจว่าในบริบทนั้นว่าสิ่งนี้คือความทุกข์ของเขา เราไม่เคยดูถูกความทุกข์ของใคร เขาทุกข์แบบนั้นของเขา อย่างบางคนทุกข์เพราะขายที่ดินไม่ได้แล้วคิดว่ามีอะไรมาบังหรือเปล่าที่ทำให้ขายที่ไม่ได้ คนอื่นอาจจะมองว่าเรื่องพวกนี้ไร้สาระ แต่ถ้าเราอยากจะเป็นเพื่อนกับเขาก็ต้องฟังปัญหาเขา เราก็จะค่อยๆ เข้าใจเขา แล้วเราจะเยียวยาเขาได้เอง

        ลองสังเกตดูสิ เวลาที่บางคนมีปัญหาอะไรสักอย่างแล้วแทนที่จะโทษว่าเงินทุนไม่พอหรือเปล่า เศรษฐกิจไม่ดีหรือเปล่า ความสามารถไม่ถึงหรือเปล่า ไม่หรอกครับ แต่จะง่ายกว่าถ้าเขาไปโทษในสิ่งที่มองไม่เห็นหรือในสิ่งที่ไม่มีตัวตน เพราะมันง่ายดีที่จะโบ้ยว่าฉันขายของไม่ดีเพราะมีผีมาบังหน้าร้าน คนผ่านไปผ่านมาเลยมองไม่เห็นร้านฉัน หรือมีคนทักว่าฉันเคยไปทำแท้งมาแล้วมีเด็กเกาะอยู่ เพราะความง่ายนี้เราเลยอ้างและโทษไปตรงจุดนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่

คุณใช้วิธีไหนในการเล่าหรือบอกความจริงเขา

        อย่างแรกเลยคือเราต้องเป็นพวกเดียวกับเขาให้ได้ก่อน แล้วเราค่อยๆ เข้าใจปมปัญหาของเขา อย่างล่าสุดมีเคสของคุณป้าคนหนึ่งซึ่งเขาเริ่มแก่ตัวลง เริ่มรู้สึกขาดความอบอุ่น เขาจะมีอาการสร้างภาพในหัวขึ้นมา ในทางจิตวิทยาจะเรียกว่าอาการ Illusionist อย่างหนึ่ง คือเขาจะสร้างจินตนาการขึ้นมาในหัวตัวเองแล้วแสดงอาการออกมาทำนองว่า “ฉันรู้สึกผีเข้า มีอาการจะอ้วก ลงไปดิ้น” พอเราเริ่มเข้าใจว่าเขามีปัญหาครอบครัว ขาดความอบอุ่น และเรียกร้องความสนใจ เราก็พูดกับครอบครัวและลูกหลานของเขาว่า “ดูแลแม่หน่อยสิ ไปหาแม่ให้บ่อยขึ้นไหม ไปเที่ยว ไปกินข้าวกับเขา กอดเขาเยอะๆ” และเราบอกเขาว่า “ถ้าป้าอยากหายเดี๋ยวผมทำพิธีให้แต่ผมไม่เก็บเงินนะ ให้ป้าเอาวันเดือนปีเกิดมา ผมให้เวลา 21 วัน ป้าเลิกสนใจเรื่องนี้เลย ให้ลืมไปเลยว่าในโลกนี้ไม่มีเรื่องที่ผ่านมาอะไรเกิดขึ้นกับป้า” แค่นั้นต่อมาเขาก็หายเลย

แล้วสมมติว่าพ่อแม่ที่เสียไปแล้วกลับมาหาเรา นี่เท่ากับว่าเป็นจินตนาการทางความคิด หรือมนุษย์นี่แหละที่มีจิตที่ผูกติดกับสิ่งที่เราเข้าใจว่านี่คือผี

        พระพุทธองค์บอกไว้หมดทุกอย่างแล้วนะ อย่างกรณีนี้ก็เหมือนกัน พระพุทธองค์บอกว่าเกิดขึ้นได้จาก 3 กรณี คือ หนึ่ง เกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึก เรามีความฝังใจ จำอะไรได้สักอย่างแล้วก็ละจากร่างไป พอเสียชีวิตปุ๊บเหมือนเวลาคิดเยอะๆ มันก็แสดงออกมาซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก สอง เกิดจากการอุปทานที่เราสร้างมันขึ้นมา และจะเป็นอุปทานหมู่เสมอเช่น มีคนคนหนึ่งตาย แล้วเพื่อนฝันถึง ก็ …เออ ใช่ เราก็ฝันถึงเหมือนกัน อีกคนก็บอกว่า ใช่ๆ ฝันถึงเหมือนกัน นี่ก็ไม่ได้แปลกอีกเช่นกัน อันที่สามคือ ‘สัญญา’ ที่อยู่ในขันธ์ 5 นี่แหละ สมมติว่าเราได้กลิ่นพ่อ รู้สึกเหมือนพ่อเดินผ่าน นี่คือสัญญาที่จำได้ เป็นแค่หนึ่งในขันธ์ที่แสดงออกมาแค่นั้นเลย

ถ้าเกิดเรากำลังขับรถอยู่ แต่เกิดหลับในขณะจะเลี้ยวโค้งหักศอก แต่อยู่ดีๆ ก็ได้ยินคนมากระซิบให้ตื่นขึ้นมา เป็นไปได้ไหมว่านั่นคือ ‘ผี’

        ถ้าถามว่ามีความน่าจะเป็นรึเปล่า ก็อาจเป็นไปได้ เหมือนความฝันที่บอกว่าฝันแล้วคนนู้นคนนี้มาบอกอะไรสักอย่าง แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจริง  

หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ

ถ้าอย่างนั้นผีกับวิญญาณคือสิ่งเดียวกันไหม

         ตอบยากมากครับ เพราะขึ้นอยู่กับว่าคนจะนิยามแบบไหน คำว่า ‘วิญญาณ’ มีอยู่ในขันธ์ 5 ของมนุษย์คือ รูป เวทนา สังขาร สัญญา วิญญาณ

        ‘วิญญาณ’ หมายถึงเราไปจับกับสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น อารมณ์ที่รู้ว่าเราง่วง เราหิว เราอิ่ม เราปวดท้อง พวกนี้เรียกว่าวิญญาณ ดังนั้น ถ้าถามผมว่าวิญญาณคืออะไร ผมก็จะตอบว่าก็คือหนึ่งในขันธ์ 5 ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นแล้วเรารับรู้ได้ทุกคน

        ส่วน ‘ผี’ สำหรับผมคืออะไรก็ตาม หรือใครก็ตามที่เสียชีวิตไป แล้วคิดว่าสิ่งนั้นยังอยู่ อยู่ตรงนั้น หน้าตาแบบนั้นที่มาหลอกเรา แต่ในทางพุทธศาสนา จิตของคนเราจะรวมอยู่ในขันธ์ 5 เกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่งขึ้นมา มีลักษณะนิสัยแบบต่างๆ ที่เสียชีวิตไปแล้วโดยธรรมชาติจะไม่เหลือคำว่าผีหลงเหลืออยู่ เพราะเขาจะแตกสลายหายไปเป็นซากศพ และสลายไปไม่มีอะไรเหลืออยู่ จากนั้นจิตก็จะไปรวมกับขันธ์ 5 ใหม่ เป็นคนใหม่ร่างใหม่ นี่คือทฤษฎี

         แต่อีกความหมายคือ ถ้าคนหนึ่งเสียชีวิตแบบไม่ปกติ และยังมีห่วงบวกกับยึดติดอะไรมากเป็นพิเศษ จิตของเขาที่มีสัญญาจดจำ เช่น นี่คือที่ดินของฉัน มีเวทนาว่ารักที่ดินนี้มาก มีสังขารปรุงแต่งว่านี่คือของของฉัน นั่นทำให้เกิดเป็นความยึดติดที่ยาวนาน แต่อยู่ ณ ตรงจุดนั้นช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

คุณสามารถที่จะกำหนดหรือบังคับไม่ให้ตัวเองสัมผัสถึงสิ่งเหล่านั้น (ผี วิญญาณ) ได้ไหม

         จริงๆ ผมก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งผิดปกติ แต่ถ้าเกิดมีเหตุการณ์ที่เราต้องรู้หรือทำอะไรเพื่อช่วยเหลือใคร เราก็จะทำ

เวลาที่คุณเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นแล้วได้เปิดเผยความเข้าใจในสิ่งเหล่านั้น ตัวคุณเองความรู้สึกอึดอัดบ้างหรือเปล่า

        มากๆ เลยครับ เพราะบางอย่างเราพูดกับคนหนึ่งได้แต่กับบางคนเราพูดไปไม่ได้ สำหรับผมจึงเป็นเรื่องที่หมิ่นเหม่มากๆ ผมจึงใช้คำว่า ‘งมงาย’ เพราะเรื่องของความเชื่อนั้นจะไม่มีวันหายไปไหนไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม ความเชื่อจะยังมีอยู่แน่นอนแล้วเราจะทำอย่างไรให้ความเชื่อที่ว่างมงายให้กลับมาเป็นความเชื่อที่เป็นสัมมาทิฏฐิให้ได้ นี่คือเราตั้งธงเอาไว้ ดังนั้น ถ้าเราเปรียบความเชื่อเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค ความเชื่อก็คงเป็นปัจจัย 4

แล้ว ‘ความสุข’ สำหรับหมอบีคืออะไร

         ความสุขสำหรับตัวผมเป็นแค่มายาคติที่เราเอาไว้พักกายและใจ เพราะว่าถ้าพูดในแง่มุมของพุทธศาสนา ความสุขไม่มีอยู่จริง พระพุทธองค์ไม่เคยสอนเรื่องความสุข ท่านสอนแค่ว่าทุกข์คืออะไร สาเหตุของการเกิดทุกข์ และวิธีการดับทุกข์แค่นั้น แต่สำหรับความสุข ด้วยที่เราเป็นปุถุชนคนธรรมดา เรายังมีกิเลสอยู่ จึงต้องมีที่พักกายและใจบ้าง เราต้องหวังอะไรที่เป็นผลไม้ที่มันสุกงอมบ้างให้มีความสดชื่นในชีวิตบ้างเพื่อที่จะเติมกำลังไว้สู้กับความทุกข์ต่อ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเข้าใจว่าความสุขไม่มี เราก็จะไม่ตามหา แล้วก็จะไม่ทุกข์เพราะหาความสุขไม่เจอ ดังนั้น อย่าไปหาความสุข

หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ

แต่เราก็มักจะมีความสุขเวลาได้ทำบุญ ที่สงสัยคือทำไมเราต้องกรวดน้ำด้วย แค่ทำบุญอย่างเดียวได้ไหม

         คนชอบคิดว่าการทำบุญต้องไปวัด บุญมีกิริยาวัตถุ 10 ดังนั้น ทำอะไรก็ได้บุญทั้งหมด เช่น เราตั้งใจทำงานของเรา รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ เป็นลูกที่ดี เป็นพ่อแม่ สามีภรรยาที่ดี ก็เกิดบุญ เกิดความสบายใจ พอได้บุญแล้วพระพุทธองค์บอกว่าพอเราระลึกในสิ่งที่สบายใจตรงนั้นได้ก็เกิดบุญ ถ้าเราสัมผัสตรงนั้นได้จริงก็จะรู้สึกถึงความอิ่มเอม ความสบายกาย สบายใจ รู้สึกโล่ง โปร่งสบาย พอรู้สึกอิ่มเอิบมากๆ ก็จะรู้สึกแผ่ไปอย่างไพศาล แล้วใครหรืออะไรก็ตามที่มีความเชื่อมโยงกับเราเขาก็จะได้โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องทำอะไรเลย แต่คนเราไม่ได้มีสติหรือสมาธิทำได้ขนาดนั้น อาจจะงงๆ เขาก็เลยมีกิมมิกขึ้นมาคือบทสวด และกรวดน้ำเป็นต้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีงาม ทำได้ก็ดี ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าไปซีเรียส เพราะถ้าเราไปซีเรียสว่าไม่ได้ทำแทนที่จะเป็นบุญก็อาจกลายเป็นความไม่สบายกาย ไม่สบายใจแล้ว

        เรื่องการกรวดน้ำก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ผมพยายามบอกกล่าวและเล่าให้คนฟังจากสิ่งที่ได้เรียนรู้จากครูบาอาจารย์และพระพุทธองค์ว่า การกรวดน้ำเป็นกิมมิกอย่างหนึ่ง เหมือนอุบายที่ทำให้คนที่มาทำบุญแล้วไม่ยึดติดในบุญ นี่คือสาระสำคัญ เพราะต้องบอกว่าสมัยก่อนไม่มีการกรวดน้ำเลย แต่มีให้เห็นมาอย่างมากก็ร้อยถึงสองร้อยปีประมาณนี้ ส่วนเรื่องที่พระเจ้าพิมพิศาลกรวดน้ำให้เปรตมาจากอรรถกถา ซึ่งเป็นเรื่องเล่าอยู่ในพระสุตตันตปิฎกนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ เขามีเรื่องราวนี้ขึ้นมาเพื่อให้เราเข้าใจ เพราะสมัยก่อนการหลั่งน้ำหมายถึงการให้คำมั่นสัญญา เป็นการบอกกล่าวให้ทุกคนรู้ จึงใช้กิมมิกนี้ต่อมาเรื่อยๆ ส่วนเรื่องการกรวดน้ำต่อจากการทำบุญเพิ่งมีมาในภายหลังเพื่อให้คนอย่ายึดติดในบุญ ให้แบ่งปัน

หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ

เวลาเป็นทุกข์ สัมผัสพิเศษของคุณสามารถช่วยให้ตัวเองจัดการกับความทุกข์นี้ได้มากกว่าคนอื่นไหม

         ไม่ช่วยอะไรเลยครับ สิ่งที่พระพุทธองค์บอกไว้คือเรามีความรู้ทั้งผืนป่า แต่สิ่งที่มีประโยชน์ซึ่งพูดถึงเรื่องทุกข์และการดับทุกข์มีแค่กำมือเดียว ซึ่งใบไม้กำมือนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการมีผี ชาตินี้ชาติไหน เทวดา ไม่เกี่ยวอะไรเลย เพราะฉะนั้น เราไม่รู้หรือเราไม่เชื่อก็ได้ ขอแค่สนใจใบไม้กำมือเดียวนั้นเท่านั้นว่าหากมีความทุกข์เกิดขึ้น สาเหตุของมันคืออะไร วิธีดับทุกข์คืออะไร ถ้าพิจารณาตรงนี้ได้แล้วไม่เกี่ยวเลยว่าคุณจะต้องมีอิทธิฤทธิ์หรือเปล่า