บิวกิ้นพีพี

คำสัญญาในความสัมพันธ์ จากแปลรักฉันด้วย ‘บิวกิ้น-พีพี’ Part 2

รู้งี้เป็นแฟนมาตั้งนานแล้ว คือบทเพลงประกอบละครเพลงแรกของซีรีส์ ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ Part 2’ ที่ปล่อยออกมาให้แฟนๆ ได้ฟังเป็นน้ำจิ้มก่อนที่ซีรีส์เรื่องนี้จะออกฉาย เนื้อเพลงและดนตรีอบอวลไปด้วยความน่ารักสดใสของคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งตกลงปลงใจเป็นแฟนกันได้ไม่นาน ซึ่งทั้งสองก็ได้ถ่ายทอดความหวานหยดเยิ้มนั้นออกมาได้อย่างดีเยี่ยม จนทำให้เราเชื่อตามอย่างไม่ระแคะระคาย

        ทว่า ‘I Promised You the Moon’ คือชื่อเรื่องภาษาอังกฤษของซีรีส์ เป็นสำนวนเล่าถึงคำสัญญาว่าจะนำเอาดวงจันทร์มาเป็นของขวัญให้อีกฝ่าย ทั้งที่รู้ดีว่าความจริงไม่มีทางไปได้ พูดง่ายๆ คือเรื่องที่ว่า คงเป็นเพียงสัญญาลมๆ แล้งๆ ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นจริงได้อยู่ดี ซึ่งนั่นจะหมายถึงคำพูดบนโปสเตอร์ที่ว่า ‘กูสัญญา กูจะรักมึงเหมือนเดิม… ไม่มีเปลี่ยน’ หรือไม่ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว เนื้อเรื่องของซีรีส์เรื่องนี้จะดำเนินไปอย่างไร จะหวานจนฟินหรืออินจนน้ำตาตกกันแน่

        ด้วยความสงสัย เราจึงหอบคำถามเหล่านี้ไปคุยตรงกับสองนักแสดงนำ ‘บิวกิ้น’ – พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล (รับบทเป็น ‘เต๋’ ) และ ‘พีพี’ – กฤษฏ์ อำนวยเดชกร (รับบทเป็น ‘โอ้เอ๋ว’ ) ถึงชีวิตการเรียน การทำงาน และความรัก ที่ฟังดูช่างไม่ได้แตกต่างกันไปจากเรื่องราวที่ทั้งคู่ถ่ายทอดออกมาผ่านการร้องเพลงและแสดงในซีรีส์เรื่องนี้เลย ก่อนจะตะล่อมถามถึงเรื่องราวที่แฟนๆ ค้างคาใจมาอย่างยาวนานตลอดการรอซีรีส์ภาคต่อนี้

        ตลอดการพูดคุย บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเฮฮา และรอยยิ้มที่ทั้งสองมีให้แก่กันอย่างหวานชื่น ด้วยเสน่ห์เคมีที่เข้ากันดี๊ดี เราจึงขอเก็บโมเมนต์ตลอดการพูดคุยมาให้ผู้อ่านได้แจวเรือแบบอินๆ ฟินสมใจจนบรรทัดสุดท้ายของบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้กันอย่างแน่นอน

บิวกิ้นพีพี

ทราบมาว่าช่วงนี้ทั้งสองคนใกล้จะปิดเทอม เป็นอย่างไรกันบ้างในช่วงที่ผ่านมา ต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย จัดการกับเรื่อง work-life balance อย่างไร ทำได้หรือไม่

        บิวกิ้น: ทำได้ครับ สบายมาก เราแค่ต้องลำดับความสำคัญให้ถูก อย่างเช่นตอนนี้ใกล้ทำโปรเจกต์ผมก็ไม่ได้ทำงานเลย เคลียร์ตารางรอไว้แล้ว แต่ถ้ามีงานไหนที่สำคัญอย่างเช่นช่วงนี้ปล่อยเพลงก็ยังมีเวลาเผื่อไว้อีกสองสามวัน ก็มีเวลาไปทำโปรเจกต์ทัน ผมว่าอยู่ที่การจัดการเท่านั้นเองแค่ลำดับความสำคัญให้ได้ก็จบเลย 

        สำหรับผมมองว่า work เป็นการเรียนมากกว่า แต่การมาทำงานตรงนี้ผมมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของ life ต่อให้การทำงานจะเหนื่อยแค่ไหน แต่ผมรู้สึกว่าเรามีความสุขที่จะทำ สมมติคนอื่นทำงานไปด้วยแล้ว life ของเขาคือการกลับไปทำงานอดิเรกหรือไปทำอย่างอื่นที่ทำให้เขาได้ประสบการณ์ชีวิต แต่สำหรับการทำงานตรงนี้ก็เป็น life ของผมอยู่ตอนนี้

        พีพี: ความจริงการทำงานตรงนี้ก็เหมือนได้ใช้ชีวิตด้วย เพราะการที่เราได้ไปอยู่ในช่องทางต่างๆ บนโซเชียลมีเดียแม้จะเป็นการทำงาน แต่ผมก็ถือว่าเรื่องของความสุขเช่นกัน แล้วทางนาดาวเขาจะพยายามจัดหาเวลาว่างให้เรา แบ่งเรื่องงาน เรื่องเรียน การไปพักผ่อน เราก็จะสามารถแบ่งเวลาให้กับทุกอย่างได้อยู่แล้ว 

บิวกิ้นพีพี

ถ้าให้เลือกระหว่างกลับไปใช้ชีวิตเป็นวัยรุ่นปกติ กับการเป็นนักแสดงที่เหมือนต้องเหนื่อยคูณสอง จะเลือกชีวิตแบบไหน

        บิวกิ้น: ผมเลือกมีงานดีกว่า ผมรู้สึกว่าไม่ชอบใช้ชีวิตเปื่อยๆ เท่าไหร่ ต่อให้เราเหนื่อยมากๆ มาอาทิตย์หนึ่ง แล้วมีวันได้พักแค่หนึ่งวันก็มีความสุขแล้ว แต่สมมติเรานอนตื่นมาอยู่บ้านสักสองสามชั่วโมงผมจะเริ่มหงุดหงิด เพราะผมจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แบบนี้เสียเวลา ต้องหาอะไรทำ ต้องหาอะไรให้เรียนรู้ คืออย่างน้อยต้องไปเปิดอินเทอร์เน็ตดูอะไรที่มีสาระเข้าหัวหน่อย ถ้าอยู่บ้านเฉยๆ อย่างช่วงโควิด-19 ปีที่แล้ว ผมกักตัว 14 วัน ผมรู้สึกหงุดหงิดกับการใช้ชีวิตแบบนี้มากเลย ที่เราปล่อยวันไปกับการอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

        พีพี: ผมเลือกมีงานเหมือนกัน ตรงที่ว่าไม่อยากปล่อยเวลาให้เสียไป รู้สึกว่าเรายังสนุกกับการที่เราทำตรงนี้ด้วย ทำให้สิ่งที่เราทำกับความสุขของเรามันไปพร้อมกัน

แสดงว่าแฟนคลับจะยังคงได้เห็นบิวกิ้น-พีพีในอีกหลายบทบาทในอนาคตอย่างแน่นอน

        พีพี: ก็ถ้ามีโอกาส ที่ผมยังสนุกหรือมีความท้าทายใหม่ๆ ให้สามารถพัฒนาตัวเองได้อยู่เข้ามาก็คงทำต่อครับ

        บิวกิ้น: คล้ายกันครับ พอเราเริ่มต้นด้วยเหตุผลเพราะเราอยากทำ เรามีความสุขที่จะทำ ในอนาคตผมไม่ได้มีกำหนดไว้ว่าวันหนึ่งเราจะต้องไปถึงจุดไหน เราจะต้องประสบความสำเร็จแค่ไหน ผมรู้สึกว่าแค่เรามีความสุข มีแพสชันกับการแสดง เราก็จะพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ แล้วก็จะเต็มที่กับงานด้วยสัญชาตญาณที่มี แม้ในวันนี้จะยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะไปจบตรงไหน แต่ถ้ายังมีความสุขกับตรงนี้อยู่ผมก็คงทำแล้วก็พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ หากในอนาคตรู้สึกว่าไม่สนุกแล้ว หรือมีอะไรที่เรารู้สึกว่าอยากทำก็คงไปสิ่งนั้น เพราะผมรู้สึกว่าความสุขคือเรื่องใหญ่ของชีวิต 

บิวกิ้นพีพี

เป็นมุมมองที่ดีมาก เหมือนมีคนชอบพูดกันว่า ‘ถ้าเราทำงานที่รัก ก็รู้สึกว่าเหมือนไม่ได้ทำงาน’ แต่ก็อยากรู้ว่านอกจากความสุขที่ได้จากการเป็นนักแสดงแล้ว อะไรบ้างในชีวิตประจำวันที่ทำให้ทั้งสองคนมีความสุขได้อีก

        พีพี: คือการที่เราตื่นมาแล้วมีคนที่รักอยู่กับเรา คอยซัพพอร์ตเรา ผมว่านี่เป็นความสุขของผม เพราะความสุขไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่เลย แค่ตื่นมาแล้วได้เล่นกับน้องหมาที่บ้าน หรือออกไปกินข้าวกับคุณแม่ แค่นี้ก็รู้สึกว่ามีความสุขแล้ว

        บิวกิ้น: การไม่มีเรื่องหนักใจครับ เวลามีเรื่องหนักใจคือเหนื่อยที่สุดแล้ว มันจะติดอยู่ในสมองแล้วเอาออกมาไม่ได้ อีกอย่างแค่ตื่นมาแล้วเรารู้สึกวันนี้เป็นวันพักผ่อน ชงกาแฟดื่มหรือว่าไปเที่ยว สำหรับผมแค่นี้ก็แฮปปี้แล้ว 

สำหรับซิงเกิลแรก ‘รู้งี้เป็นแฟนกันตั้งนานแล้ว’ ถือเป็นการเปิดตัวซีรีส์ ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ Part 2’ เลยก็ว่าได้ ผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง 

        พีพี: ดีมากครับ 12 ชั่วโมง 1 ล้านวิว ถือว่าเร็วมากเลย ก็ต้องขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตาม และให้การซัพพอร์ตเรามาอย่างดีตลอดจริงๆ ครับ

        บิวกิ้น: ค่อนข้างดีเลยครับ ‘รู้งี้เป็นแฟนกันตั้งนานแล้ว’ คือเพลงแรกที่เราสองคนได้ร้องคู่กัน ได้เต้นด้วย มีหลายๆ มุมที่เป็นสิ่งใหม่สำหรับเราซึ่งไม่เคยทำมาก่อนจึงค่อนข้างท้าทาย แต่พอออกมาแล้วได้ผลตอบรับที่ดีเราก็รู้สึกแฮปปี้ และอย่างที่พีพีบอก เพราะมีแฟนคลับที่ดีครับ เป็นเหมือนคนที่เวลาเรามีปัญาหาเขาจะมาคอยรับให้ก่อน แต่ว่าเวลาเรากำลังจะเดินไปไหนเขาก็มาช่วยดันหลังให้ เป็นคนที่คอยซัพพอร์ตเราในทุกเรื่องเลยจริงๆ นะ 

ทราบมาว่าทั้งบิวกิ้นและพีพีก็มีส่วนร่วมในการทำเพลงนี้ด้วย 

        พีพี: ในขั้นตอนการทำเพลง เขาก็อยากได้โมเมนต์ประสบการณ์ร่วมทั้งจากตัวบิวกิ้นกับพีพี และตัวละครด้วย ตอนนั้นประชุมกันเขาก็ถามว่าอยากได้โมเมนต์ที่ถ้ามีแฟน ความรู้สึกแรกที่ได้อยู่กับแฟนแรกๆ เรารู้สึกอย่างไรบ้างก็เลยได้ประโยคของตัวเองมาคนละประโยค ของบิวกิ้นก็จะเป็นคำว่า ‘safezone – จะมีเธอคอยเป็น safezone’ ส่วนของพีพีก็จะเป็น ‘คนธรรมดาที่ห่วงกันทุกเวลา’ 

        บิวกิ้น: เวลาเราเขียนเพลง อย่างที่บอกนี่คือมุมมองการทำเพลงแบบศิลปิน สมมติว่าจะเล่าถึงเพลงที่เรารู้สึกว่าเรามีความสุขกับความรัก ศิลปินแต่ละคนเขาจะมีประสบการณ์ หรือมีอะไรต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน มีประสบการณ์ วิธีการเล่าที่ไม่เหมือนกัน คำพวกนี้ก็เหมือนเป็นอะไรที่เฉพาะตัว พี่ย้ง (ทรงยศ สุขมากอนันต์) พี่เบล (สุพล พัวศิริรักษ์) และนาดาวมิวสิก ส่วน พี่แอ้ม (อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์) คนแต่งเพลง ก็อยากให้ตัวนักร้องที่เราเองก็เป็นศิลปินซึ่งมีหน้าที่ถ่ายทอดเพลงนี้ใส่อะไรบางอย่างเข้าไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ออกมาจากตัวเราจริงๆ รวมกับความเป็นอินเนอร์ของตัวละครด้วย

ในเมื่อได้ลองจับทั้งงานแสดง และร้องเพลง รู้สึกว่าด้านไหนยากหรือง่ายกว่ากัน 

        บิวกิ้น: สำหรับผมรู้สึกว่าทั้งนักแสดงและศิลปินคือศิลปะการเล่าเรื่องเหมือนกัน อย่างการร้องเพลงก็คือการเล่าเรื่องราว ที่มีเรื่องของอารมณ์ การตีความเพลงอยู่ในนั้น แต่หมายถึงวิธีการหรือว่าความสนุกในการทำงานแต่ละอย่างไม่เหมือนกันความยากง่ายก็ไม่เหมือนกัน

        อย่างผมเป็นนักแสดง ความรับผิดชอบเราอยู่ที่ตัวละครที่ได้รับ แล้วสุดท้ายทุกอย่างจะไปรวมเป็นภาพใหญ่ทั้งหมดที่ผู้กำกับ แต่สำหรับการร้องเพลงคือการที่เราเป็นผู้กำกับตัวเอง เราเลือกเรื่องราวที่จะเล่า เราเลือกประเด็นที่จะเล่า เราเลือกทุกๆ อย่างเอง 

        แต่ว่าช่วงนี้อาจจะอยู่ในช่วงที่ทำเพลงประกอบซีรีส์ก็จะมีผู้ช่วยผู้กำกับ มีโปรดิวเซอร์ที่ช่วยเราอยู่ แต่ว่าเราก็เหมือนมีการ เข้าไปเรียนรู้งาน เข้าไปช่วย เข้าไปแชร์ แต่ว่ามีคนที่เขามีประสบการณ์คอยแนะนำให้เรา ผมจึงรู้สึกว่างานแต่ละอย่างมีความสนุก และวิธีการเล่าเรื่องที่มอบความสุขกันคนละแบบ

        พีพี: สำหรับผมรู้สึกว่าสองอย่างยากทั้งคู่เลย เพราะรู้สึกว่าประสบการณ์การทำงานของก็ยังไม่ได้เยอะ สำหรับผลงานที่ออกมาแล้วก็อยากมองให้ยากไปทั้งคู่เลย การที่มองแบบนี้ทำให้เราเหมือนมีแรงจูงใจในการที่อยากจะทำต่อ แต่ถ้าเรามองว่าง่ายอาจทำให้เราจะละเลย หรือไม่ได้ฝึกฝน ก็เลยอยากจะมองว่าทั้งคู่ยาก และท้าทายเพื่อจะพัฒนาตัวเองต่อขึ้นไปเรื่อยๆ

บิวกิ้นพีพี

ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น พรหมลิขิตใดที่ชักจูงให้ทั้งสองคนได้มีโอกาสมาร่วมแสดงด้วยกันในซีรีส์ แปลรักฉันด้วยใจเธอ อีกครั้งหลังจากเรื่อง ‘My Ambulance รักฉุดใจนายฉุกเฉิน’ 

        พีพี: เริ่มมาจากว่าตัวพี่บอส (นฤเบศ กูโน, ผู้กำกับพาร์ตแรก) เขาสนิทแล้วก็รู้จักผมกับบิวกิ้นอยู่แล้ว ซึ่งพี่บอสสนใจเคมีของพวกเรา เขาก็เลยอยากให้ผมกับกิ้นได้ไปอยู่ในซีรีส์ ‘My Ambulance รักฉุดใจนายฉุกเฉิน’ แล้วระหว่างที่เขียนบทจะมีการสัมภาษณ์กัน ทำให้เขารู้จักตัวตนของเรามากขึ้นด้วย แล้วพอตัวละครของเราประสบความสำเร็จ เริ่มมีกระแสขึ้นมา ทำให้ทางพี่บอสคุยกับพี่ย้ง ว่าอยากต่อยอดผมกับกิ้นสองคนด้วยการทำซีรีส์ที่เล่นคู่กันสักเรื่องหนึ่งก็เลยเกิดเป็น ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ’ ที่ทั้งผมและกิ้นได้รับบทเป็นนักแสดงนำเรื่องแรกครับ

แต่ด้วยความที่ทั้งสองคนสนิทกันมาก่อนอยู่แล้ว จึงทำให้โมเมนต์ระหว่างตัวละคร ‘เต๋’ กับ ‘โอ้เอ๋ว’ สื่อสารออกมาได้ดียิ่งขึ้นไปอีก

        บิวกิ้น: ดีขึ้นครับ เพราะปกติเวลาจะทำซีรีส์หรือละคร ถ้าเกิดว่าไม่ได้รู้จักกันมาก่อนก็จะต้องมีการเวิร์กช็อปให้นักแสดงรู้สึกคุ้นเคย หรือเข้าถึงความสัมพันธ์ของตัวละครมากขึ้น แต่เพราะเรารู้จักและมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาก่อน เลยรู้ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร และอาจจะไม่ได้เกรงใจกันเหมือนกับคนที่เพิ่งรู้จักกัน ก็เลยช่วยได้เยอะครับ

        พีพี: ด้วยความที่สนิทกันมาก เราเลยรู้จังหวะกันในหลายเรื่อง จึงส่งผลดี ทำให้การแสดงรับส่งของเราลื่นไหล และซิงก์กันได้มากขึ้น ทำให้บางครั้งเกิด magic moment ขึ้นมาเพราะว่าพวกเราอิมโพรไวซ์เองด้วย ซีนนั้นก็จะพิเศษขึ้นมาเลย

เคยคิดไหมว่าถ้าคนที่มาแสดงคู่เราในเรื่องไม่ใช่คนนี้ แฟนคลับจะได้เห็นซีนโมเมนต์ฟินๆ อย่างนี้ไหม 

พีพี: อย่างที่เคยบอกเลยว่า ผมรู้สึกว่าตัวเองสามารถแสดงซีรีส์คู่กับใครก็ได้ แต่ถ้าจะให้เรื่องนี้ออกมาดีที่สุดก็ต้องเป็นบิวกิ้นคนเดียวเท่านั้น

บิวกิ้น: ส่วนผม ถ้าไม่ได้แสดงกับพีพี ก็คงจะไม่มีงานเลยครับ เพราะทำงานกับพีพีทุกเรื่อง (หัวเราะ) ผมรู้สึกคล้ายๆ กันนะ ถ้าจะมีใครที่ทำงานกับเราแล้วเข้ากันได้ดีในทุกๆ เรื่องก็รู้สึกดีใจมากว่าที่ผ่านมาเป็นพีพีมาโดยตลอด

ถ้าอย่างนั้น ซีรีส์ ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ Part 2’ เรื่องราวความสัมพันธ์ของ ‘เต๋’ และ ‘โอ้เอ๋ว’ จะไปถึงจุดไหน หรือจะเข้มข้นกว่าพาร์ตแรกอย่างไรบ้าง

        พีพี: เหมือนในพาร์ตหนึ่ง ความรู้สึกของตัวละครจะเป็นเด็กหน่อย จะตัดสินใจทุกอย่างด้วยความรู้สึกเสียส่วนใหญ่ ใช้สัญชาตญาณโดยมีเหตุผล แต่อย่างภาคสองเหมือนตัวละครโตขึ้นด้วยเพราะอยู่ในช่วงมหาวิทยาลัย ด้วยบรรยากาศใหม่ๆ กลุ่มเพื่อนใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้ก็จะมีผลต่อความคิด ความรู้สึก และการตัดสินใจที่ต่างออกไปของเต๋กับโอ้เอ๋ว เพราะเขาจะใช้เหตุผลมากขึ้น

        บิวกิ้น: ผมว่าตัวละครเติบโตขึ้นในทุกๆ แง่มุมของชีวิตนะ จากพาร์ตแรกที่เป็น coming of age ที่อยู่ในช่วง ม.ปลาย ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนเข้ามหา’ลัย ข้ามมาจนช่วงประกาศผลสอบแอดมิสชัน พาร์ตสองนี้ก็จะต่อมาจากไทม์ไลน์เดิมในทุกๆ เรื่องราว ตั้งแต่ไม่ชอบกัน เป็นเพื่อนกัน จบที่เป็นแฟนกัน ย้ายจากชีวิตที่ภูเก็ตเข้ามาเรียนมหา’ลัยในกรุงเทพฯ เหมือนเราเปิดโลกแล้วได้เห็นโลกในอีกมุมหนึ่ง ได้เรียนรู้หลายๆ อย่างที่เราไม่เคยเรียนรู้มาก่อน พอตัวละครผ่านเรื่องราว ประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น ก็อาจจะทำให้ตัวละครมีสติมากขึ้น ตัดสินใจชีวิตได้ผู้ใหญ่ขึ้น แต่พอเราโตขึ้นเราก็จะมีปัญหาอีกแบบหนึ่ง เพราะชีวิตมีปัญหาไม่จบสิ้นอยู่แล้วให้เราได้เรียนรู้ และเติบโตไปกับแต่ละเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น

บิวกิ้นพีพี

อย่างพาร์ตแรกจะเป็นโรแมนติกดราม่าเสียค่อนข้างเยอะ มาในส่วนของพาร์ตนี้เพลงประกอบแรกก็ออกมาเป็นแนวสดใสกุ๊กกิ๊กเลย ไม่ทราบว่าในซีรีส์มู้ดแอนด์โทนจะเป็นอย่างไร หรือจะมีอะไรหักมุมรออยู่หรือไม่

        บิวกิ้น: ผมขอตอบเรื่องเพลงก่อนละกัน พอเป็นเพลงประกอบละคร โจทย์ก็คือเล่าเรื่องราว หรืออินเนอร์ของตัวละคร ในมุมหนึ่งที่อาจจะเริ่มมาแบบหนึ่งแล้วจบแบบนึง แต่ว่าพอเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่เราต้องผ่าน อย่างที่บอก ในพาร์ตนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มมาจากเป็นแฟนกัน ก็เลยเป็นเพลง ‘รู้งี้เป็นแฟนกันตั้งนานแล้ว’ ที่อาจจะมีมู้ดที่ค่อนข้างดี 

        แต่ถ้าถามว่า มู้ดแอนด์โทนของซีรีส์เป็นประมาณไหน ผมว่ามันก็ยังยึดอยู่กับธีมของ coming of age แต่ก็จะมีหลายๆ ด้านให้เราได้เล่น ให้เราได้ดูทั้งเรื่องของสิ่งที่ดีๆ ความแฮปปี้ แต่ก็ดราม่านะ อาจจะไม่ได้เหมือนเดิมอย่าในภาคหนึ่ง เพราะทีมงานก็เปลี่ยน ดังนั้น ก็อาจจะมีวิธีการเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนกัน ผมว่าภาคหนึ่งและภาคสองเปลี่ยนค่อนข้างเยอะเลย ผมสัมผัสได้ ถ้าแฟนคลับดูเทรลเลอร์ก็น่าจะสัมผัสได้แล้วว่าไม่เหมือนเดิม 

        พีพี: แต่มันจะดีนะ 

ในโปสเตอร์ที่ปล่อยออกมา สังเกตว่ามีประโยค ‘I promised you the moon’ กับ ‘กูสัญญา กูจะรักมึงเหมือนเดิม… ไม่มีเปลี่ยน’ ทั้งสองประโยคนี้ต้องการสื่อสารอะไรกับคนดูหรือเปล่า

        บิวกิ้น: ในพาร์ตนี้ตัวละครเติบโตขึ้นมาก โดยพาร์ตสองใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า I promised you the moon ซึ่งเป็นสำนวนที่มีความหมายว่า ‘ฉันสัญญาว่าฉันจะเอาดวงจันทร์มาให้เธอ’ หรือถ้าแปลในความหมายก็คือคำสัญญาที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น เมื่อวันหนึ่งที่ตัวละครเติบโตขึ้นก็จะเรียนรู้ได้ว่าจริงๆ แล้วโลกไม่ได้มีแค่ที่เราเห็นในวันนั้น วันนี้เราได้เห็นโลกกว้างขึ้น เราได้เห็นความเป็นจริงมากขึ้น ก็เลยอาจจะทำให้ความคิดของตัวละครเปลี่ยนไป แต่เปลี่ยนไปยังไง ก็ต้องไปดูใน ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ Part 2’ ครับ 

สุดท้ายนี้อยากให้ทั้งสองคนเลือกเพลงที่แทนความรู้สึกของตัวเอง สักหนึ่งเพลงที่จะมอบให้กับแฟนตัวเอง

        (ทั้งคู่เงียบไปสองถึงสามวินาที กระซิบกระซาบกันข้างหู ก่อนจะมองตาแล้วหันมาตอบพร้อมกัน)

        ‘รู้งี้เป็นแฟนกันตั้งนานแล้ว’