ภริษา ยาคอปเซ่น

ภริษา ยาคอปเซ่น | เผยหน้าสด ปลดเปลื้องความตั่งต่างของชีวิต เข้าถึงตัวตนของผู้หญิงชื่อปอนด์

ย้อนกลับไปในปี 2010 ‘ปอนด์’ – ภริษา ยาคอปเซ่น คือบุคคลสำคัญในโซเชียลเน็ตเวิร์ก เธอคือคนไทยคนแรกๆ ที่บุกเบิกกรุยทางทำแชนแนลในยูทูบ เปิดตัวด้วยผลงานคลิปเลียนแบบภาพจำของลักษณะบุคคลที่สามารถสร้างร้อยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับคนดู ทำให้เธอกลายเป็นเอนเตอร์เทเนอร์ผู้ได้รับยกย่องจาก CNN ให้เป็น ‘Thailand’s rising YouTube star’ จากวันนั้นถึงวันนี้เวลาผันผ่าน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง หลังจากเธอเข้าไปทำงานทีวี วันนี้เธอกลับมาพร้อมกับคำว่า ‘แจ้’ และเอาจริงเอาจังกับการทำงานผลิตคอนเทนต์อีกครั้ง โดยเริ่มต้นด้วย ‘โต๊ะข่าวตั่ง’ รายการข่าวคุยสนุก และล่าสุดเธอกำลังจะขึ้นแสดง ‘โชว์หน้าสด’ ทอล์กโชว์เต็มรูปแบบครั้งแรก

ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ตัวตนและความตั่งต่างในชีวิตของเธอแปรเปลี่ยนไปอย่างไร แล้วอะไรคือสิ่งทำให้เธอกลับมาสู่โลกออนไลน์อีกครั้ง เราจะร่วมหาคำตอบไปด้วยกันผ่านบทสนทนานี้

ภริษา ยาคอปเซ่น

 

แจ้เป็นผู้บุกเบิก เป็นคนไทยคนแรกๆ ที่ทำคลิปลงแชนแนลในยูทูบ จนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่ายูทูบเป็นห้องคลอดของแจ้จากวันแรกถึงวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน

     ใช่เลย ยูทูบเป็นห้องคลอดแจ้ พอออกจากห้องคลอดมาก็ไม่อยู่ไปพักหนึ่ง ทิ้งแชนแนลในยูทูบไปเลย เพิ่งจะกลับมาจริงๆ จังๆ ก็ปีนี้เอง ที่หายไปสามสี่ปีเพราะไปทำงานทีวี แต่พอทำไปสักพักแจ้ก็รู้สึกว่าท้ายที่สุดแล้วความมั่นคงจริงๆ คือการสร้างสรรค์งานของเราบทแพลตฟอร์มของเรา ทีวีเป็นแพลตฟอร์มคนอื่น เลยตัดสินใจกลับมาทำยูทูบอีกครั้ง แล้วแจ้เป็นคนคอนเทนต์ ชอบผลิตคอนเทนต์ เลยต้องหาแพลตฟอร์มของตัวเองซึ่งมันก็ย้อนกลับมาที่ยูทูบ เพราะแจ้รู้สึกว่ายูทูบใช่ที่สุด ซึ่งแชนแนลของแจ้ยังมีคนติดตามเหลืออยู่ตั้งสามหมื่นกว่าคน คือคนส่วนหนึ่งเขาก็ทิ้งเราไปเยอะนะ แต่ถามว่าเราทำให้เขากลับมาได้ไหม ได้! สมัยก่อนถ้าไปดูตรง analytics ของยูทูบ คลิปที่คนส่วนใหญ่ดูจะเป็นคลิปคุณพลอย หรือคลิปอะไรแบบนั้น แต่ ณ วันนี้ถ้าเข้าไปดูคือโต๊ะข่าวตั่งหมดเลย อารมณ์เหมือนแจ้ได้กลับบ้าน มาปลูกผัก ทำการเกษตร ฟีลนั้นเลย

 

ตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มทำคลิปคือปี 2010 ถึงวันนี้คือ 2018 ระยะเวลารวมคือ 8 ปีเต็ม ถ้าให้แจ้มองย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นแล้วเปรียบเทียบถึงวันนี้มันต่างกันมากขนาดไหน

     ในปี 2010 เราเป็นแม่บ้านที่ไม่มีงานทำ อารมณ์เดียวกับตอนเริ่มทำโต๊ะข่าวตั่ง คือไม่มีอะไรทำเลยลุกขึ้นมาทำแบบนี้ดีกว่า แล้วก็ใช้คอนเทนต์ในวันนั้นเป็นพื้นฐานให้มีชีวิตในวันนี้ ได้ทำงานเป็นพิธีกรในเวิร์คพอยท์ก็เพราะคอนเทนต์ในวันนั้นที่ผู้บริหารเวิร์คพอยท์เคยดู ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของคอนเทนต์ในวันนั้น วันนี้เราก็มีโอกาสได้ทำสิ่งที่อยากทำมากขึ้น เพียงแต่ว่าเราแค่พัฒนามัน เราเริ่มโตขึ้น คอนเทนต์เราก็เริ่มโตขึ้นด้วย จะให้ทำหน้าคุกกี้แอ๊บแบ๊วเหมือนแต่ก่อนก็ไม่ใช่แล้ว

 

ย้อนกลับไปยุคแรกเริ่มที่แจ้ยังเป็นปอนด์ ใจดีทีวีมีตัวละครต่างๆ ทั้ง เอแคล, คุณพลอย, เปิ้ลรีเซ็พ, น้องคุกกี้, อิเจี๊ยบ, ฝ้าย นัทราวรรณ ทองคำเปา, แมนี่, จีแฮ, เจ้อ้อย, คุณยายทองดี และ วิภา ตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง

     พวกเขาสบายดี (หัวเราะ) สมมติมีคนบอกว่าแจ้ว่า พี่ปอนด์หนูคิดถึงคุณพลอยจังเลย แจ้ก็จะส่งลิงก์ให้เขาดูคลิปเก่าๆ แจ้ไม่ได้ทำให้ดูใหม่นะ พวกเขาก็ยังอยู่ตรงนั้น เป็นช่วงชีวิตหนึ่งของแจ้ ซึ่งแจ้จำได้ทุกคน ไม่ลืม

 

 

หลังจากแจ้ตัดสินใจจากนอร์เวย์ กลับมาอยู่ไทย เริ่มทำงานจริงๆ จังๆ ในแวดวงการผลิตคอนเทนต์ อะไรทำให้แจ้มาถึงจุดนี้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเก่ง ความสามารถของแจ้หรือเปล่า

     ไม่นะ จะว่าฟลุกก็ไม่ใช่ซะทีเดียว แต่ว่ามันเป็นเหมือนกับว่าตลอดเส้นทางที่ผ่านมาเราหาตัวตน งานทุกชิ้นก็จะสะท้อนช่วงชีวิตของเรา ถามว่าเราขยันที่สุดไหม ไม่ใช่ แต่ทุกงานที่เราทำ ถ้าใครตามจะรู้ว่า ชีวิตเราก็มีขึ้นมีลง มีจุดในชีวิต ซึ่งจุดเหล่านั้นมันเป็นแค่การสะท้อนการหาตัวตนของเรา ถามว่าวันนี้มาไกลจากวันแรกมากไหม จริงๆ ก็ไม่มากนะ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก พอถามว่าเป็นเพราะเก่ง เพราะพยายาม ก็เลยคิดว่าไม่น่าจะใช่ แจ้ก็ไม่รู้เป็นเพราะอะไร มันพามาเอง

 

ตอนนี้ผลงานของแจ้ที่โดดเด่นที่สุดในโซเชียลเน็ตเวิร์กคือโต๊ะข่าวตั่ง ช่วยเล่าจุดเริ่มต้นให้ฟังหน่อย

     จุดเริ่มต้นของโต๊ะข่าวตั่งหรอ จริงๆ มันแทบจะไม่ใช่จุดเริ่มต้นด้วยซ้ำ วันนั้นแจ้แค่มีเวลาว่าง เหมือนไปทำกิจกรรมเสร็จเรียบร้อย กลับเข้ามาที่สตูดิโอแล้วคิดว่าทำอะไรดีวะ (เงียบเสียง) ตั้งโต๊ะเลยค่ะ! พูดถึงเหตุการณ์ระเบิดในประเทศซีเรีย เพราะกำลังเป็นข่าวใหญ่ในวันนั้นพอดี ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และสดมาก ตั้งโต๊ะแล้วเล่าๆๆ อย่างเดียว ปรากฏว่า หูย (ลากเสียงยาว) คนดูไลฟ์ 800 กว่าคน คนแชร์ก็เยอะมาก นี่แค่วันแรกนะ แจ้เลยรู้สึกว่ารายการนี้มี potential นะ เลยให้ผู้ช่วยทำโลโก้ขึ้นมาเลย จากวันนั้นก็กลายมาเป็น ‘โต๊ะข่าวตั่ง’ ในวันนี้ รวมเวลาก็ประมาณสองเดือนแล้ว คือถ้าสังเกตจะเห็นว่ากราฟิกไม่นิ่งเลย เพราะเราปรับตลอดเวลา (หัวเราะ) คิดอะไรได้ก็ลงมือทำเลย

 

สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของแจ้คือการใช้คำเฉพาะในแวดวงกลุ่ม อย่างเช่น หนูหลุก เนือก สุจี ตั่งต่าง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คนดูเข้าถึงความเป็นเราได้ง่ายขึ้น เหมือนเป็นการสร้างคอมมูนิตี้ให้คนที่ติดตามผลงานแจ้อย่างหนึ่งใช่ไหม

     ใช่เลย คนอื่นพูดกับคนดูว่าสวัสดีค่ะ แต่สำหรับแจ้คือสุจีเท่านั้น คนดูก็จะกรี๊ด เพราะมันเป็นตัวแจ้ เราเป็นคนที่ชอบกร่อนคำเวลาพูดกับเพื่อน พอพูดออกไปแล้วคนดูดันเข้าใจ แล้วเขาก็พูดกลับมากับเราด้วย เลยกลายเป็นเรื่องที่น่ารักในกลุ่มคนดู สำหรับคนที่ไม่เคยดูแจ้มาก่อน พอเข้ามาดูครั้งแรกๆ ก็จะงงว่าจิแปลว่าอะไร อะไรคือสุจี อะไรคือเนือก

     แล้วมันก็จะมีหนูหลุกเข้ามาตอบให้ จิ คือ จิจอก มาจากคำว่า อิดอก อะไรแบบนี้ (หัวเราะ) เป็นสร้างคอมมูนิตี้ขึ้นมาได้

 

ภริษา ยาคอปเซ่น

หน้าที่ของประชาชนคือเสียภาษี หน้าที่ของคนดีคือแชร์

คนที่เป็นแฟนคลับแจ้จะรู้กันดีว่าการแชร์คือที่สุดของการให้กำลังใจอย่างเป็นรูปธรรม แล้วแจ้ก็ชอบพูดเสมอว่าแชร์คือแฟร์อธิบายเพิ่มเติมหน่อยสำหรับคนที่อาจจะยังไม่เข้าใจ

     สำหรับคนที่ตั้งใจผลิตคอนเทนต์อย่างแจ้อะ กว่าที่เราจะมาทำโต๊ะข่าวตั่ง เราต้องอ่านข่าว ค้นคว้าข้อมูลเป็นวันๆ ทำการบ้านเยอะมาก แล้วแน่นอนที่สุดสิ่งที่ทำให้เราดีใจในฐานะคนทำคอนเทนต์คือมีคนดู ดังนั้นการที่คนคนหนึ่งเข้ามาแล้วบอกว่าเป็นกำลังใจให้มันไม่พอค่ะ แค่พิมพ์ว่าเป็นกำลังใจไม่พอจริงๆ ต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นรูปธรรมนั่นคือการแชร์ (เน้นเสียงและออกสำเนียงแบบเจ้าของภาษา) ไม่อย่างนั้นเหมือนแจ้ทำงานอยู่ฝ่ายเดียว เธอไม่ได้ช่วย ดังนั้น เธอต้องช่วยกันถ้าอยากให้เราทำต่อ เธอต้องช่วยงานแจ้ด้วยการแชร์ ดังนั้นแชร์คือแฟร์ หน้าที่ของประชาชนคือเสียภาษี หน้าที่ของคนดีคือแชร์

 

พูดถึงโชว์หน้าสดทอล์กโชว์ครั้งแรกของแจ้บ้าง ทำไมต้องหน้าสด

     บอกก่อนว่าเมื่อต้นปีแจ้มีแฟนมีต จริงๆ แฟนมีตนี่แหละที่ดลบันดาลให้แจ้ทำทอล์กโชว์ เพราะตอนไปเจอกับแฟนคลับ เราพูดคุยกับเขาบนเวทีแล้วมันสนุก เลยรู้สึกว่า ถ้าเรารวบรวมมาทำเป็นทอล์กก็น่าจะได้เหมือนกันนะ

     สำหรับแจ้คำว่าหน้าสดคือ naked ซึ่งเป็น naked ของคน เพราะว่าคนสมัยนี้เยอะ ต้องทับ ต้องถม อะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะต้องทั้งแต่งหน้า และมี accessory จนบางทีกลายเป็นว่าสิ่งเหล่านี้กำลังบดบังและปิดบังความเป็นตัวตนที่แท้จริงว่า ตกลงหน้ามึงเป็นยังไงกันแน่ ดังนั้นโชว์หน้าสดเป็นการพูดถึงความไม่สด ความเฟก ความคิดเอาเอง ความตั่งต่างในสังคม

 

ความตั่งต่างๆ ของสังคมนี้ คือการที่แจ้เลียนแบบพฤติกรรมทางสังคมและตัวตนเฉพาะบุคคลของคนในสังคมใช่ไหม ซึ่งมันคือรายละเอียดยิบย่อยที่แจ้จับสังเกตได้ละค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยมาตลอด จนสุดท้ายเกิดเป็นทอล์กโชว์นี้

     ใช่ค่ะ และขอบคุณมาก ขอบคุณที่ช่วยแจ้ ทำได้ดีมาก แล้วใช้คำว่าเลียนแบบซึ่งดีมาก ไม่ใช่คำว่าจิกกัด เพราะแจ้ไม่จิกกัด แจ้แค่เลียนแบบ

 

เพราะการจิกกัดเป็นสิ่งที่คนอื่นมองเข้ามา

     อ่าใช่ (พยักหน้าช้าๆ) คนอื่นมองเอง แจ้ชอบแสดง ยิ่งแสดงได้เหมือนเท่าไหร่ยิ่งขำตัวเอง พอขำตัวเองคนอื่นก็ได้ขำด้วยไง แต่แปลกพอแจ้ไปเลียนแบบสิ่งที่คนอื่นจะมองอย่างแรกคือ จิกกัด ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันเป็นการแสดงที่ทำให้เรามีความสุข ความสุขของแจ้อยู่ตรงนั้น เหมือนนักแสดงที่แสดงเหมือนแล้วมีความสุข อย่างนั้นเลย มันก็เป็นการเก็บเกี่ยวนี่แหละค่ะ ใช่! พูดถูกแล้ว พฤติกรรมต่างๆ ที่เราเห็นและสงสัยว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ

     ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าลงว่าเป็นเพื่อนกันแล้วต่อให้เพื่อนทำผิดแค่ไหนเราก็เข้าข้างเพื่อนเรา สมมติว่าเพื่อนไปเป็นเมียน้อยเขา เราก็ต้องหาเรื่องเข้าข้างจนได้ว่ามึงไม่ได้ไปฆ่าใครตายปะวะ อะไรแบบนี้นึกออกไหม (หัวเราะ) ทั้งๆ ที่มึงเป็นเมียน้อยเขานะ มันก็คือหน้ากาก แต่หน้าสดมันตรงข้ามกับหน้ากาก ในทอล์กโชว์เราก็จะพูดถึงว่าในสังคมมีหน้ากากอะไรบ้าง ซึ่งแจ้เขียนบทคนเดียวเลย

 

ถ้าจะให้แจ้ฝากถึงคนที่มีบัตรแล้ว และกำลังนับวันรอโชว์หน้าสดในวันอาทิตย์นี้ พวกเขาต้องเตรียมตัวอะไรไหมหรือไม่ต้องเตรียมอะไรเลย

     ไปดูใจใสๆ ได้เลย คือแจ้รู้สึกว่าทุกคนจะอารมณ์ดี แล้วโชว์นี้ก็จะทำให้ทุกคนมองโลกแบบสบายขึ้น เพราะทอล์กครั้งนี้เราจะพูดกันถึงตัวตนนะ เรื่องหน้าสดและหน้ากากที่ว่านี้เรากำลังตีความนัยยะลึกๆ คือพูดถึงเรื่องอัตตา ตัวตน แต่เราพูดในลักษณะที่สนุกสนาน ดังนั้น พอทุกคนหยุดขำปุ๊บ ทุกคนก็จะเริ่มนั่งนิ่งๆ แล้ว ‘เออว่ะ’ กับตัวเอง เป็นฟีลแบบนั้น

 

ภริษา ยาคอปเซ่น

 

จากที่เคยล้อเลียนลักษณะตัวตนของคนอื่นๆ ทุกวันนี้แจ้นิยามตัวเองว่าอย่างไร หรือไม่จำกัดความตัวเองเลย

     ไม่อยากจำกัดความเพราะมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เอาเป็นว่าอาทิตย์ที่แล้วกับวันนี้ยังไม่เหมือนกันเลย เพราะมันเปลี่ยนตลอดเวลา อย่างตอนที่เห็นเลดี้ กาก้า เขาเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ความเป็นจริงคือเขาก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกวัน หรือถ้าให้นิยามตัวเอง คำตอบก็คงประมาณว่า แจ้เป็นเมียของฝรั่งนอร์เวย์ เป็นผู้หญิง เป็นหลานย่าโม เป็นสองมือกราบลงที่ตรงเหนืออาสน์ (หัวเราะ) นี่แจ้กำลังใช้ความคิดนะ เพราะถามคำถามดีจนทำให้เราได้นึกถึงตัวตนของตัวเอง

     อ๋อ ใช่ แจ้เป็น ‘สะพาน’ เรานิยามตัวแบบนี้แล้วไม่เคยเปลี่ยนเลยตั้งแต่เด็ก แจ้เป็นสะพานให้คนเมืองกับคนบ้าน เพราะเราเป็นเด็กบ้านนอก เป็นเด็กโคราชที่เข้ามาในเมือง และสามารถสื่อสารได้ทั้งสองกลุ่ม แจ้สามารถเป็นสะพานให้กับคนสองเจน คือเจนที่แก่กว่าเรา และเจนที่เด็กกว่าเรา ให้เข้าหากันได้ สามารถพูดให้ทั้งสองเจนเข้าใจกันได้ แจ้เป็นสะพานให้กับความมืดและความสว่าง เพราะเราเป็นทั้งสองอย่างในคนเดียวกัน มีทั้งมืดและสว่าง

 

น่าสนใจตรงที่แจ้บอกว่าตัวเองเป็นทั้งความมืดและความสว่าง ถ้ามีเรื่องสำคัญๆ ที่ชีวิตต้องดีล จะทำอย่างไรในเมื่อไหล่ซ้ายมีนางฟ้า ไหล่ขวามีซาตาน

     ฟังความสองฝ่ายนะ แต่เอาเข้าจริงทั้งนางฟ้าและซาตานก็ไม่ใช่เราทั้งคู่ เราชอบคิดว่าเรามีฝั่งนี้ ฝั่งนั้น คือมันไม่ใช่ทั้งคู่ เราตัดสินตามความรู้สึกดีกว่า เชื่อความรู้สึกข้างในของเราดีกว่า หรือถ้าเราสับสนมากๆ ถ้าต้องการตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง แจ้เดินออกเลย เราเป็นแบบนี้ ถ้าสับสนฉันจะไม่อยู่ ไม่ทำ ถ้าเกิดความรู้สึกว่าทำดีไหม ทำดีไหม เราจะไม่ทำ ไปทำอย่างอื่นแทน แจ้ถูกสอนมาแบบนี้ ไม่ต้องนั่งตกลงให้ปวดหัว เอาไงมึง ซ้าย ขวา แบบนี้ไม่ทำ เดินออกไปเลย

 

แล้วถ้าข้อเสนอนั้นมอบโอกาสหรือจุดเปลี่ยนให้ชีวิต แจ้จะทำอย่างไร

     มันง่ายมาก ถ้าเรารู้ว่าต้องการจะทำอะไร หมายถึงว่าเรายืนตรงนี้เพื่ออะไร การตัดสินใจนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับนางฟ้าหรือซาตานเลย มันขึ้นอยู่กับเป้าหมาย เอาเป้าหมายเป็นธง แล้วถ้าเป็นโอกาสนี้ดีมากเลย แต่ว่าถ้าทำแล้วมันไม่ได้พาเราไปใกล้เป้าหมายมากขึ้น แต่ได้เงินมากขึ้น ก็ไม่เอานะ แจ้จะเอาสิ่งที่ทำให้เราเข้าใกล้เป้าหมายมากขี้นมากกว่า ถ้าเราเอาเงินเป็นที่ตั้ง มันก็จะอยู่คนละทางกับเป้าหมาย มันขึ้นอยู่กับว่าเราเอาอะไรเป็นที่ตั้ง

     ถ้าเอาเงินเป็นที่ตั้งส่วนใหญ่ซาตานชนะอยู่แล้ว ทุกคนมีความโลภหมดแหละ ทุกคนอยากได้เงิน ถ้ามีเงินมาตั้งข้างหน้า แล้วบอกว่าหยิบได้เลย ใครๆ ก็อยากหยิบถูกไหม แต่ที่เราไม่โลภเป็นเพราะมาจากความแข็งแกร่งภายในใจของเรา อะไรที่เราไม่ควรเอาก็ไม่ต้องเอา สมมติว่าหน้าเงินกองนั้นมีคนที่จน คนที่เดือดร้อนกว่า เราก็ไม่หยิบนะ เราต้องให้คนที่จำเป็นต้องใช้ นั้นคือความไม่โลภ

     ถ้าเราเอาเป้าหมายเป็นที่ตั้ง เงินจะกลายเป็นสิ่งที่มีผลน้อยมากทันที แล้วคนที่ไม่โลภเงินคือคนที่น่ากลัวที่สุดเลยนะ เพราะคนที่ไม่ได้แคร์เงิน แต่แคร์คุณภาพงาน เขาจะทำงานออกมาได้ดี เขาพร้อมทำงานที่ไหนก็ได้ ใครไม่ชอบเขาก็เรื่องของคุณ เขาสามารถไปทำดีๆ ที่อื่นได้เสมอ ไม่ให้เงินก็ทำ ทุกวันนี้ทำโต๊ะข่าวตั่งก็ไม่ได้เงินนะ

 

ภริษา ยาคอปเซ่น

 

ณ วันนี้ ตรงนี้ เป้าหมายที่แจ้ตั้งไว้คืออะไร

     จริงๆ แจ้แค่ชอบทำคอนเทนต์เว้ย แต่แจ้อยากพัฒนาคอนเทนต์ให้มันมีอิมแพ็กในเชิงที่ดี เพราะว่าในยุคก่อนๆ ที่เราเคยค่อนแคะหรือแซะก็มีนะ เราใช้โอกาสในการพูดออกไปแล้วมีคนฟังเยอะ แต่พอวันนี้เราโตขึ้นเลยรู้สึกว่า เห้ย! การที่คนได้ดูคลิปที่เราพูดออกไป สมมติว่าพันคน แต่แมสเสจที่เราพูดออกไปกับคนพันคนมันอิมแพ็กกับเขาแน่นอน ขนาดวันนี้ยังคิดเลยว่าไม่อยากพูดเรื่องทรัมป์แล้ว เพราะในโต๊ะข่าวตั่งเรานั่งด่าทรัมป์มาโดยตลอด วันนี้เรามานั่งคิดว่าจะให้ด่าทรัมป์ทุกวันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นกับใครเลยนะ แล้วมันเป็นการสร้างความเกลียดชังด้วย ก็ต้องมาทบทวนคอนเทนต์ตัวเอง แล้วเป้าหมายในอนาคตก็คืออยากให้คอนเทนต์ที่ทำ เป็นคอนเทนต์ที่ดี มีอิมแพ็กที่ดี แล้วคนดูเราเยอะ มันก็เหมือนเป็นการแผ่ขยายสิ่งดีๆ แต่ประเด็นคือคนไม่ชอบดูของดีไง อันนั้นคือชาเลนจ์ของเรา

 

สุดท้ายแล้วอะไรคือความสุขของแจ้

     ความสุขของแจ้หรอ ก็คือการได้ทำในสิ่งที่รักนี่แหละ แล้วทุกวันนี้ทุกอย่างที่ทำ พูดเลยนะ ทุกอย่างจริงๆ คือชอบหมด นี่คือความสุข ไม่มีอะไรเลยต้องฝืนทำ ไม่มีเลย คือถึงขั้นเช่าสตูดิโอ จ้างผู้ช่วย ให้มาช่วยทำในสิ่งที่ตัวเราชอบและเราไม่ได้เงิน คิดดูดิ (หัวเราะ) คือไม่ได้ไฟต์เพื่อเงิน แต่ไฟต์เพื่อสิ่งที่อยากทำ แล้วก็ลงมือทำจริงๆ

 


ติดตาม ‘โต๊ะข่าวตั่ง’ และความตั่งต่างของ ‘ปอนด์’ – ภริษา ยาคอปเซ่น ได้ที่

Facebook: www.facebook.com/bonjakobsen

YouTube: www.youtube.com/user/bononstage