ภริษา ยาคอปเซ่น

ภริษา ยาคอปเซ่น | ยูทูเบอร์รายแรกๆ ของไทยที่ต้องต่อสู้กับความวุ่นวายบนคลื่นโซเชียล

วันนี้ชื่อของ ปอนด์ ใจดีทีวี หรือ ปอนด์ – ภริษา ยาคอปเซ่น ยังคงโลดแล่นอยู่บนโลกออนไลน์ พร้อมกับบทบาทใหม่ๆ ที่ท้าทายความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของเธอ ในมุมหนึ่ง เราอาจเรียกเธอว่าเป็นเซเลบริตี้ออนไลน์ที่ดูเป็นผู้หญิงกล้าแสดงออก และกล้าทำในสิ่งที่คิด แต่ในมุมหนึ่ง มันก็นำมาซึ่งการตกเป็นเป้าความคิดเห็นของผู้คนบนโลกออนไลน์ที่แตกต่างและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย

ภริษา ยาคอปเซ่น

 

คุณเป็น Youtuber รุ่นแรกๆ เลยที่เริ่มทำ ช่วงแรกที่คุณทำคลิปวิดีโอ เจอคอมเมนต์ในแง่ไหนมากกว่ากัน ดีหรือแย่

     ส่วนใหญ่ถ้าเป็นคนรู้จักกันจะคอมเมนต์ดี ซึ่งคิดเป็นจำนวนแค่ 10% ที่เหลือคือด่า (หัวเราะ) ด่าว่า อีหน้าปลวก ทำไมไม่ไปทำหน้าก่อน! เพราะตอนนั้นคลิปเราจะเป็นการสวมคาแร็กเตอร์เป็นคนนั้นคนนี้ ก็จะมีคาแร็กเตอร์หนึ่งที่เป็นคนสวยและรวยมาก พูดไทยคำอังกฤษคำ แล้วตอนนั้นเหง้าหน้าหนักกว่าตอนนี้ คนก็จะชอบเข้ามาว่า คือเขาคงเห็นว่าบทประเภทคนสวยแบบในคลิปที่เราทำ ใช้ชีวิตดินเนอร์ยอดตึก มันต้องไม่ใช่หน้าตาแบบนี้

 

คอมเมนต์ไหนที่หนักมากๆ

     เนื่องจากที่เราเป็นรุ่นแรกๆ เราไม่มีรุ่นพี่ที่เคยโดนมาก่อนเป็นตัวอย่าง ดังนั้นคือเจอแล้วเจอเลย ทุกอย่างที่คนด่าคือหนักหมด (หัวเราะ) อะไรวะ ทำไมมาพูดแบบนี้ ไม่รู้เหรอว่านี่คือการแสดง

 

เพราะภาพลักษณ์ที่ดูเป็นคนมั่นใจหรือเปล่า คนเลยหมั่นไส้และว่าเรา

     ใช่ คืออย่างที่บอกว่าคนรู้สึกว่า หน้าแบบนี้ไม่ควรจะมั่นใจขนาดนั้น มันไม่ควร เพราะเขาเข้าใจว่าคนที่จะมาอยู่ในจอคือต้องสวย คนที่มั่นใจได้ต้องขาว สวย คนโดยรวมยังไม่ชิน ยังไม่เปิดกว้างกับอะไรหลายๆ อย่าง ตอนนั้นเราอายุ 28 เราก็ผ่านมาหลายยุคนะ แรกๆ ก็อยากด่ากลับ แต่ก็จะมีเพื่อนๆ มารั้งไว้ ยุคถัดมา เป็นยุคที่ไม่แคร์เลย ไม่ดู ไม่อ่าน มันเหมือนเป็นกลไกธรรมชาตินะ พอไม่แคร์ปุ๊บ มันก็ธรรมชาติมนุษย์รึเปล่าวะ แล้วก็มียุคที่ด่ากลับเลยก็มี ผ่านมาหลายยุคมาก มันเป็นวิวัฒนาการของจิตใจเรา

 

ใช้เวลานานไหมกว่าเราจะเข้าใจในจุดที่ว่าเราควรหลีกเลี่ยงคอมเมนต์พวกนี้

     ประมาณ 5 ปี ซึ่งจะกระทบมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจและความสุขในช่วงนั้น ถ้าเรามีความสุขอะไรก็ทำเราไม่ได้ แต่ช่วงที่เรา failed แล้วไปอ่านอะไรที่มัน failed มันยิ่งหนักไปกันใหญ่ มันเหมือนเป็นการต่อสู้ระหว่างข้างในของตัวเราเอง ความ failed หรือไม่มันอยู่ที่เรา แต่ว่าเราไปใช้มันในการดึงตัวเองลงมาเฉยๆ คนที่เขาคอมเมนต์ เขาจะใช้คอมเมนต์ในการทำให้เขาสูงขึ้นด้วยการดึงคนอื่นลงมา แต่คอมเมนต์มันก็ตั้งอยู่ตรงนั้นแหละ เวลาที่เราดาวน์ เรามักจะไปใช้คอมเมนต์ในการฉุดเราให้ลงไปอีก นั่นคือวิถีของจิตคน นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเริ่มเข้าใจแล้วว่า มันก็อยู่ของมันอย่างนั้นหรือเปล่าวะ

 

อ้าว แล้วตอนที่คุณไปด่าเขากลับล่ะ

     บางทีมันดาวน์อยู่ มันกำลังขึ้นอยู่ หลายองค์ประกอบปุ๊บ ด่าเลย สวนกลับเลย แต่น้อยครั้งมากนะ ต้องพีกจริงๆ ถึงจะทำแบบนั้น

 

ภริษา ยาคอปเซ่น

 

แสดงว่าหลักๆ คือเราใช้วิธีการทำความเข้าใจของธรรมชาติมนุษย์ และธรรมชาติของโลกโซเชียล

     เราเจอมาเยอะจนเห็นแพตเทิร์นบางอย่าง ซึ่งมันเป็นธรรมชาติ แพตเทิร์นก็คือแพตเทิร์นของเราเอง บางวันคอมเมนต์แย่ๆ เราเห็นเราก็โอเคนะ บางวันเราเห็นแล้วเราจี๊ดมาก แต่บางวันเราเห็นคอมเมนต์เดียวกันแต่เรากลับขำ แปลว่ามันไม่ได้อยู่ที่คอมเมนต์แล้วล่ะ มันอยู่ที่เรา นี่คือแพตเทิร์น มันอยู่ที่จิตใจเรามากกว่า ใครจะเขียนอะไรก็ได้ เราจะไปเขียนอะไรก็ได้

 

เคยเจอพวกคอมเมนต์แย่ๆ ในโลกความเป็นจริงบ้างมั้ย

     มันจะมีอยู่คลิปหนึ่งของคุณพลอย ที่พูดถึงเวลาขึ้นเครื่องบินแล้วคนจะชอบคิดว่าพลอยเป็นคนญี่ปุ่น ก็จะปฏิบัติกับพลอยค่อนข้างดี ก็สงสารคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่หน้าไทย แล้วแอร์ inbox มาเลยทีนี้ (หัวเราะ) ว่าไม่ให้เกียรติวิชาชีพเขา เขาปฏิบัติกับทุกคนเสมอภาคกัน ผิดหวังกับคุณมากนะคะ อะไรแบบนี้ เขาไม่เข้าใจว่าโจ๊กหรือมุกตลกคืออะไร เห็นไหม คนไทยเวลาพูดเล่นหัวนี่ฟ้องกันหมดเลยนะ คนเลยไม่กล้าเล่นโจ๊ก ประเทศไทยเลยไม่มีเดี่ยว มีอยู่คนเดียว ใช่มั้ย เพราะมันโจ๊กอะไรไม่ได้เลย

     แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราสวนกลับ ซึ่งส่วนใหญ่ที่มันทำให้เราขึ้นได้คือเรื่องความจริง เขาบอกว่าอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เราโกรธมันมีความจริงอยู่ในนั้น แม้จะเป็นส่วนเล็กๆ ก็ตาม เช่น มีคนบอกว่า เนี่ยหนูจะเลิกตามพี่ละ เพราะพี่ทำอะไรแล้วทำๆ หยุดๆ เหมือนตอนนั้นพี่จะทำอันนี้ แล้วพี่ก็ไม่ทำ ตอนนั้นขึ้นมาก เพราะมันจริง (หัวเราะ) เปิดไลฟ์ด่าเลย เขียนอย่างนี้เข้าใจแหละว่าติดตามกันจริง เพราะว่ารู้ข้อมูลทั้งหมดเลย แต่ว่า กูก็ไม่ได้เงินป่ะวะ ทำนี่ไม่เคยได้เงินเลยนะ ใครจะมานั่งทำไปวันๆ คนดูไม่มีอ่ะ อย่างน้อยถ้าเราจะทำ เราก็ต้องทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ เราไม่ได้เงินแต่อย่างน้อยเราก็แฮปปี้ พอเราสวนกลับไปแบบนั้นก็มีความรู้สึกว่า ไม่น่าสวนกลับไปเลย เนี่ย เห็นแพตเทิร์นมันมั้ย มันขึ้นอยู่กับเราจริงๆ

 

การใช้วิธีตาต่อตาอย่างการด่ากลับนี่ป้องกันคนพวกนี้ได้จริงๆ ไหม

     ไม่ได้ (ลากเสียงยาว) การด่ากลับมีแต่จะทำให้แย่ลง ไม่จบไม่สิ้น เหมือนเราไปให้อาหารเขา เขาคงคิดว่า มาแหย่คนนี้ดูดีกว่า แล้วเราดันขึ้น โห ก็ยิ่งสนุกสิ สวนกันไปสวนกันมา มันเลยนะ แต่เราเลือกที่จะเดินออกมา เราไม่จำเป็นต้องไปทำตัวเสมอเขา ถ้าเขาด่ามา เราก็ไม่จำเป็นต้องด่ากลับ

 

รู้สึกยังไงที่คนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันกลับมาว่ากันเสียๆ หายๆ

     สำหรับเรามันไม่ใช่ประเด็นเลยว่ารู้จักหรือไม่รู้จัก มนุษย์มันหาที่ลงอยู่แล้ว ไม่ว่าเขารู้จักหรือไม่รู้จักเรา ถ้าโมเมนต์นั้นทุกอย่างเขาดาวน์อยู่นะ มันไม่มีคนที่มีความสุขไปทำอย่างนั้นกับเพื่อนมนุษย์หรอก เขาทุกข์ เขารู้สึกเหมือนเป็นหินที่เขาแบกไว้ แล้วเขาเดินผ่านตามทาง ก็หย่อนไว้หน้าบ้านนี้ หน้าบ้านนั้น เขาคิดว่าเขาจะเบาลง แต่ที่จริงมันไม่ใช่เลย เขาแค่แก้ปัญหาทางจิตของเขาผิดวิธีเฉยๆ ปัญหาทางจิตใจนะ ไม่ใช่โรคจิตหรอก

 

ภริษา ยาคอปเซ่น

 

ทำมาจนถึงตอนนี้ คุณยังเจอคอนเมนต์แย่ๆ อยู่ไหม

     ก็มีบ้าง บางทีมันก็ขึ้นอยู่กับคอนเทนต์ด้วย เช่น ถ้าคอนเทนต์เราล่อ เหมือนเพจที่ใช้คำหยาบ นำเสนอสิ่งที่ค่อนข้างรุนแรง มันก็จะล่ออะไรพวกนี้ แต่ช่วงหลังๆ คอนเทนต์เพจเราซอฟต์มาก เขาก็จะเข้ามาบอกว่า รักแจ้ ชอบมาก อะไรแบบนี้ ก็ลาเวนเดอร์ไป (หัวเราะ)

 

แล้วคุณมีมุมมองในการจัดการพฤติกรรมของคนในโลกโซเชียลทุกวันนี้อย่างไร

     เราต้องเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ก่อน บางทีเราเห็นอะไรแล้วเราอยากไปเมนต์เลวๆ กับเขาก็มี แต่ถ้าเรามานั่งดูความคิดตัวเอง เราอาจจะตกใจก็ได้ว่าเราเลวขนาดนี้เลยหรอ มันก็มีเป็นเรื่องปกติแหละความคิดเลวๆ แต่เราแค่ไม่ได้พิมพ์มันออกไปเฉยๆ บางทีพิมพ์แล้วไม่ส่งยังมีเลย เพราะฉะนั้น ขนาดความคิดตัวเองเรายังควบคุมไม่ได้ แล้วเราจะไปควบคุมความคิดคนอื่นได้ยังไง สิ่งที่เรามีเหมือนกันคือความคิดที่ควบคุมไม่ได้ เราก็เลยต้องปล่อย

     เดี๋ยวนี้เวลาเห็นคอมเมนต์แบบนั้น เราแทบจะไม่มีแววตาที่จะไปดูด้วยซ้ำ แล้วท้ายสุดคือลบเลย เหมือนหน้าเพจหน้าวอลล์เรามันคือหน้าบ้านของเรา เราก็ควรจะเก็บกวาดหน้าบ้านของเราหน่อย สมัยก่อนคิดว่า ไปลบเขามันแสดงถึงความใจแคบหรือเปล่า ไม่ นี่บ้านกู สเปซกู กูดูแลเอง หรือใครที่เมนต์ไม่ดีมาก็บล็อกไปเลย เรามีสิทธิ์นี่ เขามีสิทธิ์พูด เราก็มีสิทธิ์บล็อกเหมือนกัน ทุกคนมีสิทธิ์ เพราะงั้นเราก็ใช่สิทธิ์ของเราให้ถูกต้อง

 

คิดว่าพฤติกรรมของคนในโลกโซเชียลและโลกความเป็นจริงมันต่างกันไหม

     เหมือนกัน โซเชียลคือโลกเสมือนจริง เพียงแต่ว่า โลกโซเชียลมันทำให้กำแพงของความถูกต้องนี้มันหายไป เหมือนฉันเดินไปเจอแกแล้วบอกว่า อีดำ แล้วเดินผ่านไป ได้ไหมอะ (หัวเราะ) ไม่ได้ ถูกมั้ย แต่โลกโซเชียลมันเปิดโอกาสให้เราทำแบบนั้น เหมือนเป็นจุดบอดของเทคโนโลยี มันกรองได้ทุกอย่างยกเว้นศีลธรรมจรรยา

 

ถ้าให้ฝากถึงคนที่มีพฤติกรรมชอบบูลลีจะบอกอะไร

     ถ้ามีโอกาสได้พูดคุยกับเขา ก็อยากให้เขาหาอะไรทำก็ได้ที่ทำให้เขามีความสุข ถ้าการคอมเมนต์มันทำให้เขามีความสุขจริงๆ ก็ยินดีด้วย แต่มันไม่มีหรอก ใครจะไปเมนต์ด่าคนอื่นแล้วมีความสุข มันเป็นอาการของคนไม่มีความสุข เพราะฉะนั้น ไปหาความสุขซะ แล้วอาการนี้จะหายไปเอง

     ถ้าวันหนึ่งคุณมีความรู้สึกอยากจะพิมพ์อะไรแย่ๆ มีความคิดแย่ๆ ให้รู้ไว้เลยว่าวันนั้นคุณไม่มีความสุข ต่อสู้กับตัวเองสิ อย่าไปต่อสู้กับคนอื่น ต่อสู้กับคนอื่นคือการปล่อยพรวดไปเลย ด่าเขา อีนั่น อีนี่ แต่ต่อสู้กับตัวเองคือ รู้ว่าตัวเองไม่มีความสุข และมีความคิดที่ไม่ดี งั้นฉันไม่พิมพ์ดีกว่า ไม่ต้องไม่ต่อสู้กับคนอื่น ต่อสู้กับตัวเอง

 

ถ้าเขาทำไม่ดีจริงๆ แล้วเราอยากจะบอกเขา แบบนี้นับว่ามันเป็นการบูลลีเขากลับไหม

     มันน่าจะขึ้นอยู่กับวิธีการและน้ำเสียง เหมือนเราจะบอกว่า แย่ (เสียงเบา) อีกคนบอกว่า แย่ (เสียงดัง) หรืออีกคนบอกว่า มันแย่นะ (เสียงห่วงใย) มันคนละความหมายเลย วิธีการพิมพ์ก็ไม่เหมือนกัน ทุกเว้นวรรค ทุกจุด มันมีความหมายหมดเลย เพราะฉะนั้นถ้ามันแย่จริงๆ ก็ขออนุญาตเขาอินบ็อกซ์! อินบ็อกซ์สิ มันจะมีปุ่มนี้ไว้ทำไมล่ะ แค่อินบ็อกซ์เข้ามา เหมือนเจ้านายมาแหกเรากลางที่ประชุม อ้าว จะมีห้องไว้ทำไม ไปคุยแยกสิ จะแหกเราทำไม แล้วก็มีวิธีการแก้ไขให้เขาด้วยก็ยิ่งดี การไปบอกว่าเขาไม่ดียังไงมันเหมือนด่า แต่การให้ option เขาด้วยมันคือความหวังดี ไปอินบ็อกซ์เขา ลองทำแบบนี้ดูสิ มันคือการให้เกียรติ ถ้าเราหวังดีจริงๆ