ทวีพงษ์

ทวีพงษ์ ประทุมวงษ์ | เบื้องหลังช่างภาพสตรีท ทวิสต์โลกความจริงอย่างไรให้เหนือจริง

ทวีพงษ์ ประทุมวงษ์ เป็นหนึ่งในช่างภาพสตรีทที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกว่ามุมมองและการถ่ายทอดโลกแห่งความเหนือจริงของเขานั้นน่าสนใจอยู่เสมอ แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังชีวิตจริงของช่างภาพสตรีทระดับโลกคนนี้ต้องผ่านความท้าทายหลายอย่างมาก่อน

     เขาบอกกับเราว่ากำแพงใหญ่ที่ช่างภาพสตรีททุกคนต้องเจอคือการแหวกว่ายอยู่บนความรู้สึกที่ต้องการความเอ็กซ์ตรีมจากคนดู รูปทุกรูปต้องแปลกและน่าตื่นตาตื่นใจ ในขณะที่ช่างภาพอย่างเขาเมื่อหมดโปรโมชันของคำว่ามือใหม่ ต้องติดอยู่กับมุมมองการมองโลกและภาพแบบเดิมๆ เขาผ่านช่วงเวลานั้นจนค้นหาจังหวะและมาตรฐานของตัวเองได้อย่างไร เราอยากชวนคุณไปรู้จักเรื่องจริงของชีวิตช่างภาพสตรีทคนนี้

 

ทวีพงษ์

 

ถ้าเรารู้ว่าจะถ่ายรูปที่ดีโคตรๆ ออกมายังไง แสดงว่าเราเคยเห็นภาพนั้นมาแล้ว เพราะว่าในการถ่ายภาพสตรีท ถ้าคุณเอาสูตรมาจับจะได้ผลลัพธ์แบบเดิมๆ

 

ความรู้สึกของการถ่ายรูปตั้งแต่วันแรกๆ ถึงวันนี้เปลี่ยนไปไหม

     เปลี่ยนไปเหมือนกัน หมายถึงว่าตอนแรกๆ เราว่าตัวเองเอนจอยกว่านี้ เพราะตอนแรกมันเป็นจุดที่เราไม่รู้มาก่อนว่าอะไรถูกอะไรผิด ไม่มีความคาดหวังเยอะ เหมือนเด็กที่เพิ่งเคยวาดรูปแล้วจะวาดอะไรก็ได้ แต่พองานของเราเผยแพร่ออกไปและถูกยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ ได้เข้าไปอยู่ในคอมมูนิตี้ต่างๆ ของช่างภาพ ไปอยู่ในกลุ่มช่างภาพสตรีทต่างประเทศ มันทำให้เรากดดัน ความรู้สึกที่มีตอนแรกๆ กับการถ่ายสตรีทที่เหมือนการออกไปเดินเล่น ไปถ่ายรูปแปลกๆ แถวบ้าน มันหายไป ตอนแรกเราไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นอาชีพขนาดนั้น

 

ที่บอกว่าแรกๆ การถ่ายสตรีทสนุกกว่านี้เพราะอะไร

     ตอนเริ่มต้นมันสนุกเพราะทุกคนจะมองเห็นโลกใหม่กันหมดเลย เราเริ่มต้นถ่ายรูปจากแถวบ้าน พอเริ่มฝึกก็เหมือนว่าเห็นมุมมองใหม่ๆ ในอะไรเดิมๆ เฮ้ย อันนู้นก็ใหม่ อันนี้ก็ใหม่ คือทุกอย่างใหม่หมดเลย เราได้ทดลองอะไรใหม่ๆ ไปเรื่อย เดินเหมือนเป็น ส.ส. หาเสียงเลย (หัวเราะ) แต่พอครบหนึ่งปี ของค่อยๆ หมด เราว่าตากล้องทุกคนมีจุดตัน บางช่วงคือถ้าเราเห็นก่อนจะกดถ่ายว่าจะได้ภาพอะไร แสดงว่าเคยเห็นภาพนั้นมาแล้ว อันนี้มันยากมากเลยในการที่จะได้ภาพสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ภาพที่ตัวเราเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ แล้วมันก็ไม่มีสูตรด้วย

     มีช่างภาพคนหนึ่งเคยบอกไว้ว่า ถ้าเขารู้ว่าจะถ่ายภาพที่ดีออกมาอย่างไร เขาจะหยุดถ่ายภาพเดี๋ยวนั้นเลย เพราะว่าถ้าเรารู้ว่าจะถ่ายรูปที่ดีโคตรๆ ออกมายังไง แสดงว่าเราเคยเห็นภาพนั้นมาแล้ว ในการถ่ายภาพสตรีท ถ้าคุณเอาสูตรมาจับจะได้ผลลัพธ์แบบเดิมๆ รูปที่เราชอบหลังๆ เลยมักจะเป็นรูปที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ เช่น รูปแมวกับคนตัวเล็ก เรารู้แล้วว่าเราจะถ่ายรูปคนกับแมวโดยเล่นกับ perspective แต่รูปที่น่าตื่นเต้นคือรูปที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากดชัตเตอร์มาตอนไหน อย่างรูปเด็กวิ่งแล้วกระโปรงปลิวเหมือนพรมที่คนน่าจะเคยเห็น คือเรากำลังวิ่งตามเด็กที่กำลังวิ่งหนี แล้วก็ได้ภาพในจังหวะที่ผ้าเขาสะบัดลอยบนอากาศเหมือนพรม แต่เราก็รู้ว่าถ้าคาดหวังจะได้แต่รูปแบบนี้ เราจะแทบไม่ได้รูปอะไรเลย เพราะต้องอาศัยดวงเยอะมาก

     หรืออย่างภาพที่ฝรั่งจะชอบเล่นกันมากคือภาพที่มีเครื่องบินสองลำบินออกมาจากหูคน คือเขาจะไปงานที่มีเครื่องบิน F-16 บินโชว์ แล้วรอจังหวะที่เครื่องบินสองลำบินออกจากกันโดยมีหัวคนอยู่ข้างหลัง ซึ่งคนทำกันเยอะมาก อันนี้คือสูตรและเราไม่ค่อยชอบ เพราะรูปสตรีทที่ดีมันไม่ควรจะมีข้อจำกัดว่าเราต้องถ่ายภายในเวลาสี่วันห้าวัน เราไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเวลาไหน

 

หลังๆ คุณทำงานตามโจทย์เยอะ มีลูกค้าเข้ามาเกี่ยวกับเนื้องาน รู้สึกเหมือนถูกตีกรอบให้ตัวเองไหม

     ก็ต้องใช้ความพยายามเยอะขึ้น สมมติเราทำงานตามโจทย์ลูกค้า ไปทริปถ่ายภาพต่างประเทศ เราเดินไม่เคยต่ำกว่าวันละ 10 กิโลเมตรเลย บ้าไปแล้ว คือถ้าออกไปถ่ายธรรมดาของเราก็เดิน 4-5 กิโลเมตร ออกไปถ่ายแถวบ้านชิลๆ แต่พอเป็นงานลูกค้า เราก็ต้องใช้พลังเยอะมาก แล้วเวลาเจอกับงานที่เป็นโจทย์แบบนี้ เราจะนึกถึงคำของช่างภาพที่เราชอบ เขาบอกว่า เขาซีเรียสมากเลยที่พยายามจะไม่ซีเรียส (หัวเราะ)

     พอรู้ตัวว่าเครียดเราก็จะบอกตัวเอง เฮ้ย เรากำลังทำสิ่งที่ชอบที่สุดอยู่นะเว้ย แล้วก็จะเริ่มออกไปเดินเล่น ในหัวก็คิดไปว่าพยายามจะไม่ซีเรียส ซึ่งมันย้อนแย้งมาก แต่ไม่มีทางอื่นเลย เวลาตันเวลาเครียดเราก็ต้องถ่ายไปเรื่อยๆ จะมีช่วงที่เราเห็นอะไรแบบเดิมๆ แต่ก็ต้องถ่าย แต่เราอาจจะไม่ได้คัดรูปนั้นไปโชว์หรือเผยแพร่

 

ทวีพงษ์

 

 

ทุกวันนี้วิธีคิดการมองภาพเปลี่ยนไปไหม

     คือชีวิตเราเป็นกราฟแบบนี้นะ (ทำมือขึ้นลง) แต่เราพยายามมากๆ เลยที่จะรีบูตตัวเองให้กลับไปเป็นเด็กน้อยที่สนุกกับการถ่ายภาพอีกครั้งหนึ่ง เฮ้ย เราก็ถ่ายสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราเห็นนั่นแหละ เพราะว่าถ้าเรื่องมาก จะกลายเป็นว่าเราจะไม่ได้รูปเลยนะเว้ย เพราะช่วงหลังพอเริ่มรู้เยอะ เราก็จะคิดว่า เฮ้ย ภาพนี้ซ้ำว่ะ ไม่ถ่ายแล้ว แต่หลังๆ เราถ่ายยับ กูกดหมด (หัวเราะ) คือพยายามรีเฟรชตัวเองให้กลายเป็นเด็กน้อย เราว่ามันสำคัญกับช่างภาพมากๆ นะ เพราะว่าถ้าคุณไม่กดชัตเตอร์ คุณก็จะไม่ได้รูปเลย แต่ถ้าคุณลอง คุณอาจจะได้ภาพก็ได้

 

เหมือนเป็นความกดดันของคนที่อยู่กับอะไรสักอย่างนานๆ หรือเปล่า

     ใช่ๆ เหมือนเราจะบอกตัวเองว่า เฮ้ย อันนี้ไม่เอาแล้วนะ มุก 5 บาท 10 บาทไม่เอาแล้ว ก็เป็นหลุมพรางเหมือนกัน เพราะว่าการไม่ลองทำอะไรเลย เราจะไม่ได้อะไรใหม่ๆ พอมองย้อนกลับไปดูรูปที่เราถ่ายมา รูปที่เราชอบหลายๆ รูปมันเกิดจากการที่เราลองอะไรปัญญาอ่อนๆ เท่านั้นเอง อย่างรูปหมาหัวขาดที่หลายคนจำได้ ก็เกิดจากการที่เราถ่ายรูปหมาเล่นๆ กับพื้นหลังที่เป็นกราฟิกเองนะ ซึ่งรูปที่ปังๆ ของเราส่วนมากจะเกิดมาจากการที่เราถ่ายเล่นๆ ส่วนรูปอะไรที่เราตั้งใจมากๆ มักจะไม่ค่อยได้ เราคิดว่าตัวเองเป็นนักวางแผนที่ไม่ค่อยเวิร์ก สมมติถ้าเราเคยเห็นรูปแบบนี้มาแล้ว และรู้ว่าจะถ่ายมันอย่างไรก็จะไม่ค่อยชอบละ แต่ถ้าอยู่ๆ มีภาพที่โผล่ขึ้นมาเอง อันนี้เราจะรู้สึกกับมันเป็นพิเศษ

 

สายตาของคนเป็นช่างภาพสตรีทที่ดีควรเป็นแบบไหน

     เราว่าต้องมองหลายๆ เลเยอร์ในพื้นที่นั้น ไม่ใช่มองแค่คน มองสภาพแวดล้อม ส่องไปปุ๊บตรงนี้มีอะไร ตรงนั้นมีอะไร เฮ้ย เสานี้มีเส้นว่ะ แล้วมันต่อกับอะไรได้ไหม ผสมกับที่เขาเรียกว่ามีการคาดคะเนคน พอจะคาดได้ว่าคนนี้จะเดินไปทางไหน ขยับทำอะไร ซึ่งของแบบนี้มันฝึกกันได้

     ยกตัวอย่างหนึ่งในการกดสูตร ของที่อยู่ในระดับสายตาจะต่อง่าย เสาต้นหนึ่งที่มีอะไรเชื่อมกับข้างหลัง หรืออย่างมีแผงหนังสืออยู่เป็นหน้านิตยสาร เราก็มองแล้วว่าแผงตรงนั้นมันต่อกับคนที่เดินมาได้ไหม อันนี้คือสูตร ซึ่งเพื่อนๆ ในแก๊งฝรั่งก็จะไม่ค่อยชอบ เพราะบอกว่ามันซ้ำ เห็นมาเยอะแล้ว

 

ทวีพงษ์

 

เมื่อก่อนในวงการภาพถ่ายจะไม่ค่อยให้ค่ากับภาพสตรีท ทำไมคุณค่าและความจริงของภาพสตรีทมาเกิดในยุคนี้

     เราว่ายุคนี้คนเริ่มสนใจกับชีวิตนอกบ้าน และทุกคนเข้าถึงสื่ออย่างกล้องหรือมือถือ บวกกับภาพสตรีทสามารถผลิตได้รอบๆ ตัวเรา ไม่ต้องลางานยาวๆ  ไปทริป แค่ออกไปรอบๆ บ้านก็ถ่ายได้แล้ว ซึ่งเราว่ามันเริ่มมาเป็นที่นิยมเพราะแบบนี้ เพราะแต่ก่อนวงการภาพสตรีทอินดี้มาก ในอุตสาหกรรมคนก็สนใจแต่ภาพพอร์เทรต ภาพแฟชั่น ซึ่งในปัจจุบันก็มีคนมาแซะภาพสตรีทนะว่า เฮ้ย ทำไมภาพสตรีทต้องเป็นแบบนี้ด้วย ต้องมาแนวแคนดิด ภาพสตรีทถ่ายเป็นแนว pictorial ได้ไหม เป็นภาพสวยงามบ้าง แต่จริงๆ อย่างช่างภาพ Magnum สไตล์คลาสสิก เขาก็ถ่ายแนวสตรีทแนว pictorial นะ เน้นความสวย แล้วเราก็ไม่ปฏิเสธว่ามันสวย เพราะว่าภาพสตรีทมีหลายสไตล์

 

เวลาคนเดินมาบอกว่าช่างภาพสตรีทเป็นง่ายๆ สะพายกล้องออกไปกดชัตเตอร์ก็ได้แล้ว คุณรู้สึกอย่างไร

     จริงๆ จะว่าง่ายก็ง่ายนะ ตอนเริ่มต้นถ่าย คุณจะได้รับมอบโชคของมือใหม่ไปประมาณ 6 เดือนแรก ถ้าคุณเริ่มต้นแบบชอบนะ 6 เดือนแรกนี่แฮปปี้สุดๆ เดินออกจากบ้านไป เฮ้ย ได้ภาพหมดเลย ทุกอย่างใหม่ไปหมด แต่หลังจากนั้นขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าจะยืนระยะกับมันได้นานขนาดไหน เพราะคุณจะเริ่มหม่นหมอง จะเกิดอาการว่ากูจะทะลุจากจุดนี้ได้ยังไง มองเห็นแต่มุมเดิมๆ บางคนก็สติแตกเลย หายไปเป็นปีๆ ก็มี เขาเรียกลมปราณแตกซ่าน (หัวเราะ) หรือบางคนเลิกไปเลยก็มี

 

แล้วการจะทะลุจากจุดที่ว่าต้องทำอย่างไร

     สำหรับเราคิดว่าต้องบาลานซ์ชีวิตให้ได้ บาลานซ์สิ่งที่เราต้องการ และบาลานซ์สิ่งที่เราทำได้ มันคือการอยู่กับความคาดหวังของตัวเอง แล้วก็ถ่ายไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเอ้อระเหยลอยชายก็ไม่ดีนะ คือกูก็ต้องทำงานให้ตัวเองพอใจให้ได้ แต่ก็ต้องบาลานซ์ ไม่งั้นสติแตก ผมว่าคนถ่ายสตรีทได้ต้องเป็นคนอดทนแล้วก็ชอบออกไปเดินนะ

 

ทวีพงษ์

ทวีพงษ์

 

คิดอย่างไรกับคนที่บอกว่าฉันต้องมีอุปกรณ์ดีๆ ก่อนแล้วค่อยออกไปถ่ายถึงจะได้ภาพที่ดี

     เมื่อก่อนเราเคยเป็นคนบ้าอุปกรณ์มาก อุปกรณ์กองเต็มที่บ้านเลย แต่พอถ่ายมาเรื่อยๆ เราจะรู้เองว่าคุณแบกกล้องออกไปได้มากที่สุดไม่เกิน 2 ตัวหรอก ไม่มีใครพกกล้อง 3 ตัวออกไปแน่นอน แล้วเราก็รู้สึกว่าชีวิตดีๆ คือชีวิตที่กล้องเดียวเลนส์เดียวนี่แหละ เรื่องข้ออ้างว่าของไม่พร้อมนี่ผมว่าไม่เกี่ยว

 

จริงๆ การถ่ายภาพสตรีทมันเล่นกับความจริงไม่จริงอย่างไรบ้าง

     สำหรับเราการถ่ายภาพสตรีทคือการทวิสต์โลกแห่งความเป็นจริงให้เหนือจริง ต่างจากภาพสารคดีที่คุณต้องออกไปถ่ายทอดความจริงที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งภาพสตรีทผลลัพธ์ไม่ต้องจริงก็ได้ แต่คุณต้องอย่าเซตนะ (หัวเราะ) มันคือเอาความจริงมาเล่นให้ขำขัน แต่ผลของมันไม่ต้องจริง แต่ภาพสตรีทบางภาพไม่ต้องบิดก็ได้นะ อย่าง Alex Webb ที่เขาชอบถ่ายภาพแนวเลเยอร์ เขาก็ไม่ได้บิดอะไรเลย แต่เล่นกับแสงสีซึ่งภาพออกมาก็สวยงามมาก คือบางคนมองเห็นอาจจะธรรมดา แต่ในกระบวนการถ่ายเขารอแสง เลือกจังหวะที่คนเดินมาในภาพพอดี แล้วบิดความจริงในภาพนั้นให้สวยงามออกมาเหมือนภาพวาด ซึ่งในงานของเราก็พยายามจะบาลานซ์ให้ภาพแนวแคนดิดกับภาพ pictorial ให้ผสมกันด้วยซ้ำ เพราะว่าอย่างภาพเซตหนึ่ง ถ้ามีแต่ภาพแก๊กอย่างเดียวก็เลี่ยน

 

จริงๆ เหมือนมีความเชื่อไปแล้วว่าภาพสตรีทต้องดูตื่นเต้น extreme ถึงจะดี

     (หัวเราะ) คนดูนี่แหละที่ไปนิยามแล้วก็กดดันพวกเราจังเลยว่าต้องปัง แต่จริงๆ ช่างภาพก็กดดันกันเองด้วยแหละ เราก็เป็นหนึ่งในนั้น (หัวเราะ) แต่เราก็เชื่อว่าในฐานะคนทำงาน มันเป็นการทำให้เราไม่รู้สึกพอใจกับอะไรง่ายๆ ก็พยายามเค้นออกมาให้ยากๆ คือไม่ว่าทำงานอะไรก็แล้วแต่แหละ ถ้าทำแล้วจริงจังไม่ปล่อยปละละเลย ผลลัพธ์ก็จะออกมาดี

 

แล้วเรื่อง extreme ในการถ่ายสตรีทล่าสุดของคุณคืออะไร

     ล่าสุดไปถ่ายภาพที่ตุรกีมา แล้วมีเหตุการณ์หนึ่ง คือส่วนใหญ่ช่างภาพสตรีทอย่างเราจะไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับตัวแบบ ไม่เหมือนการถ่ายภาพพอร์เทรต แต่รอบล่าสุดมีลูกค้าแบรนด์หนึ่งติดต่อมาว่าอยากจะได้รูปของเราไปใช้เผยแพร่ในงานของเขา แต่ว่าเขาให้เราขออนุญาตคนในภาพก่อน ซึ่งความจริงไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว เพราะเมื่อกดภาพเสร็จส่วนใหญ่คนในภาพเราก็จะไปแล้ว หลังๆ พอเราถ่ายรูปจบซีนนั้น และเรารู้สึกว่าภาพมันมีศักยภาพนะ เราจะเข้าไปคุยกับแบบแล้วก็อธิบายว่าเราถ่ายเขาทำไม แนะนำว่านี่ไอจีเรา ขอแลกคอนแท็กต์ไว้เผื่อติดต่อ ซึ่งรอบล่าสุดที่ไปตุรกี เราถ่ายรูปมาใบหนึ่ง แต่ความฮาคือเราส่งรูปให้เขา แล้วเขามาคุยขอมีอะไรด้วย ซึ่งคนที่เราถ่ายเขาเป็นผู้ชาย (หัวเราะ) อันนี้พีกในพีก

 

ทวีพงษ์

ทวีพงษ์

 

เชื่อว่าการถ่ายภาพพาคุณไปเจออะไรหลายๆ อย่าง คุณยังมีความตื่นเต้นอะไรอีกไหมที่อยากทำ

     คือเราอยากทำงานคอนเซปชวลมาก พอถึงจุดหนึ่งคนถ่ายภาพสตรีทมักจะเปลี่ยนจากงานสตรีทไปเป็นการถ่ายภาพคอนเซ็ปต์นะเราว่า อีกอย่างคือทุกวันนี้มีคนออกไปถ่ายภาพสตรีทกันเยอะมาก ยกตัวอย่างอีเวนต์งานหนึ่ง ต้องมีคนที่เรารู้จักแล้วอย่างน้อยๆ 5-6 คน แล้วก็เค้นภาพกันมา หลังๆ เราไม่ไปงานอีเวนต์อีกเลยเพราะรู้ว่าภาพที่ได้ซ้ำมุมแน่นอน มันทำให้ช่างภาพสตรีทที่ผมรู้จักหลายคนเริ่มหนีไปทำอย่างอื่น เขาเริ่มมีประเด็นในใจของเขา เริ่มมองหางานที่เป็นศิลปะจริงจัง เพราะว่าการทำงานศิลปะคือการระบายความอัดอั้นภายในที่อยากจะบอกออกมา แต่งานสตรีทไม่ใช่ มันคือการออกมาเดินถ่ายรูปเล่นมากกว่าสำหรับผม ซึ่งเราเองก็อยากจะทำประเด็นหนึ่ง คือเอางานสตรีทเก่าๆ ของเรามาปรับเพื่อให้มันรู้สึกเกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งบอกได้เลยว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง

 

มองเส้นทางการถ่ายรูปตัวเองเป็นอย่างไรต่อ

     เราอยากจะรีเซตตัวเองให้เป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้อะไรเลย คือเราก็ยังสนุกกับการถ่ายภาพสตรีทอยู่ แต่ก็อย่างที่บอกว่าอยากทำงานคอนเซ็ปต์ อยากถ่ายสตูจัดไฟบ้าๆ ไปเลย

 

มีความทรงจำกับ Converse อย่างไรบ้าง

      ที่จำได้มากๆ เลยคือเราเคยซื้อ Converse ต่อจากน้องคนหนึ่งมา รุ่น John Varvatos Chuck Taylor All Star ตอนนั้นอยากได้มาก หายาก แพงมาก พอได้มาก็ฟินนะ แต่ใส่ไปได้พักหนึ่งก็ไม่ใส่อีกเลยเพราะมันเล็กกว่าไซซ์เท้าเรา (หัวเราะ) เราว่า Converse เป็นรองเท้าที่ทุกคนต้องเคยมี อย่างคู่แรกของเราซื้อสมัยมัธยม เอาไว้ใส่ไปจีบสาว ใส่คู่กับกางเกงขาบาน (หัวเราะ) มันเป็น iconic ของเด็กผู้ชายนะเราว่า

 

รู้สึกอย่างไรบ้างที่ Converse ชวนทุกคนมาสนใจเรื่องจริงของผู้คนในโปรเจ็กต์ All the Stories Are True แบบนี้

     ทุกวันนี้มันมีเรื่องจริงหลายๆ อย่างที่ซ้อนกันอยู่มากเลย เราว่าโลกโซเชียลฯ เป็นโลกที่ไม่จริง เพราะทุกคนจะเห็นความจริงที่คนเป็นเจ้าของอยากจะให้เห็น เราเอาความจริงมาคุยกันน้อย ไม่ได้มีโอกาสมาคุยกันต่อหน้าอย่างนี้บ่อยนัก หรืออย่างการที่ออกไปถ่ายรูปสตรีท เราเองก็ไม่ได้เห็นความจริงของเขาทั้งหมด เราเห็นแค่แง่เดียวของเขาในวินาทีที่ถ่ายรูปเท่านั้น จริงๆ เราควรจะคุยกันต่อหน้าให้มากขึ้นนะ