หลังจากที่ชื่อของปราชญ์ชาวนาอย่าง ‘เดชา ศิริภัทร’ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามของประธานมูลนิธิข้าวขวัญ ได้ปลุกกระแสการปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์และการเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวไทยให้เป็นที่รู้จัก ได้สร้างชาวนาต้นแบบที่พลิกภาพลักษณ์กระดูกสันหลังของชาติที่ยากจน ให้เป็นชาวนาผู้ที่มีเงินสะพัดด้วยการทำนาอินทรีย์ รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีทางเลือกด้านสุขภาพด้วยการเลือกกินข้าวไร้สารเคมีเมื่อหลายสิบปีก่อน
หลังจากนั้นข่าวคราวของเขาก็ค่อยๆ หายไปท่ามกลางกองงานภายในมูลนิธิฯ จนวันหนึ่งชื่อของเขาได้กลับมาอีกครั้ง เมื่อพืชพรรณอย่าง ‘กัญชา’ ได้ถูกพูดถึงและหยิบยกมาเป็นประเด็นของสังคม แต่ทว่าบนเส้นทางสายกัญชาไม่ได้มีความง่ายเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางกระแสที่ยังเป็นเพียงเค้าลาง เขาก็ยังเลือกที่จะขับฝ่าปัญหาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงการโจมตีอย่างหนักด้วยความมุ่งมั่นต่อทั้งๆ ที่เขารู้ดีว่าปัญหามีอยู่รอบตัว
“ผมทำในฐานะนักปฏิบัติธรรม ผมต้องการให้คนมีความสุข พ้นจากความทุกข์จากโรคร้าย ผมจึงใช้กัญชาเป็นเครื่องมือ ทำน้ำมันกัญชาขึ้นและให้เป็นทาน ทานนี้เป็นการทำบุญขั้นต้น ผมจึงแจกยาไปฟรีๆ” เขายืนยันและยืนหยัดในสิ่งที่ทำ
จากนั้นเรื่องเล่า เรื่องราว และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกัญชา ผ่านความคิดเห็น การทดลองและการค้นหาความรู้ด้วยการนำแนวคิดการพึ่งพิงธรรมชาติและการพึ่งพาตัวเอง ผ่านหลักวิทยาศาสตร์และธรรมะก็ค่อยชัดเจนขึ้น หลังจากที่เขาได้อธิบายและเล่าทุกอย่างให้เราได้ฟัง
เพราะอะไรคุณถึงสนใจกัญชา ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
ผมกลัวมะเร็ง เพราะผมเห็นว่าคนในครอบครัวของผมส่วนใหญ่ตายด้วยโรคมะเร็งกันทั้งนั้น และเมื่อผมกลัว ผมจึงเริ่มหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต และเห็นว่ากัญชารักษาโรคได้บานเลย อ่านตอนแรกก็ยังไม่เชื่อ ผมจึงดูว่าทำไมกัญชาถึงรักษาได้ ก็เลยรู้ว่าในกัญชามีสารต่างๆ ที่ช่วยได้ โดยเฉพาะ THC (delta-9-Tetrahydrocannabinol) ที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท และ CBD (Cannabidiol) ที่ไม่มีฤทธิ์เสพติด ทั้งสองเป็นตัวช่วยบรรเทาความเจ็บป่วยได้ ที่สำคัญคือมันทำให้มะเร็งฆ่าตัวตายเอง
จากนั้นผมก็ค้นต่อ และพบว่าในประเทศอื่นๆ ก็ได้นำสารสกัดจากกัญชาไปใช้ในการรักษาโรค ไม่ว่าจะเป็นอิสราเอล แคนาดา อเมริกาก็หลายรัฐ และยังถูกต้องตามกฎหมายด้วย
ความกลัวทำให้คุณค้นหาข้อเท็จจริง แล้วคุณได้ไอเดียการใช้น้ำมันกัญชามาจากที่ไหน
เมื่ออ่านข้อมูลมากเข้า ผมก็คิดว่าจะต้องมีคนธรรมดาสักคนบนโลกที่รักษาหายด้วยกัญชา ผมเลยค้นต่อ จนทำให้ผมไปเจอกับ ริก ซิมป์สัน (Rick Simpson) วิศวกรและแพทย์ชาวแคนาดาที่รักษามะเร็งผิวหนังของเขาด้วยสารสกัดจากกัญชาของตัวเองชื่อ ‘Rick Simpson Oils’ ในปี 2012 หลังจากนั้นเขาก็ก่อตั้งมูลนิธิ Phoenix Tears รักษาผู้คนไปกว่า 6,000 คน แต่กว่าจะเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ เขาก็เป็นคนหนึ่งที่เคยติดคุกเพราะเรื่องนี้ พอออกมาแล้วก็ต้องหนีไปต่างประเทศ ก่อนจะกลับมาอีกครั้งเมื่อกัญชาถูกต้องตามกฎหมายแคนาดา เขาทำจริง และเขาก็ยังรอด ปัจจุบันอายุเขาก็พอๆ กับผม
ดังนั้น คุณจึงเดินตามรอยของ ริก ซิมป์สัน ทันที
ใช่ เป็นแนวทาง แต่ผมก็ยังไม่เชื่อทั้งหมด เพราะว่าผมฝึกทางพุทธมา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ให้เชื่อสิ่งใดอย่างงมงาย ต้องพิสูจน์หรือที่เรียกว่ากาลามสูตร นั่นทำให้ผมเริ่มต้นพิสูจน์ด้วยตัวเอง เริ่มศึกษาและสกัดน้ำมันกัญชาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2555 หนึ่งปีผ่านมา ผมก็รู้ว่า แบบ ริก ซิมป์สัน ใช้ไม่ได้ เพราะว่าสายพันธุ์กัญชาไทยแรงเกินไป
คุณรู้ได้อย่างไรว่าน้ำมันกัญชาจะใช้ได้ผลจริง
ผมใช้องค์ความรู้ดั้งเดิมหรือรากเหง้าแห่งพุทธที่บอกว่า ปัญญาคือความรู้มีสามระดับ ระดับแรกคือความรู้ที่เกิดจากการฟัง รวมทั้งการอ่าน การดู หรือที่เรียกว่า สุตมยปัญญา ระดับกลางคือจินตมยปัญญา คือการคิด การใช้สมอง รวบรวมสังเคราะห์ วิเคราะห์ต่างๆ ในเชิงวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ระดับสูงสุดคือภาวนามยปัญญา เกิดจากการภาวนา เท่ากับการฝึกจิตจนนิ่ง หรือมีสมาธิจนเกิดปัญญา เขาเรียกว่าฌาน ที่รู้ทุกอย่างได้ ซึ่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้โดยวิธีนี้
ดังนั้น ผมจึงออกตามหาพระที่ได้ฌาน แล้วรู้ได้อย่างไรว่าท่านมีฌาน ผมก็พิสูจน์ด้วยการถามในใจ แล้วท่านรู้หมดทุกอย่าง ผมเลยถามว่า ถ้าเอาน้ำมันกัญชารักษาจะหายไหม ต้องใช้อย่างไร เมื่อท่านบอก ผมก็เอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันด้วยการทดสอบเองเสียเลย
คุณอธิบายคนอื่นยากไหม เรื่องพระและฌาน เพราะทุกอย่างไม่ได้ผ่านการทดลองเชิงงานวิจัย
ผมก็บอกแค่ว่า ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร นี่คือวิธีการของเรา ทุกอย่างเราพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้คือหาย ก็จบ
แต่ก่อนที่คุณจะบอกคนอื่นว่า ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แสดงว่าคุณต้องมีข้อมูลอะไรบางอย่างที่มาย้ำกับตัวเองว่าวิธีของคุณได้ผลจริงๆ
เพราะผมไปดูตัวเลขด้านการรักษาด้วยการคีโมมา และพบว่าปัจจุบันอเมริกาได้รักษาโรคมะเร็งได้ด้วยระบบประกันสังคม ซึ่งทุกคนสามารถรักษาได้ด้วยวิธีคีโม และทันทีที่เข้ารักษาในวันแรก เขาจะเก็บตัวเลขไปใช้เวลา 5 ปี แล้วดูว่าใน 5 ปีนี้เหลือรอดเท่าไหร่ ผลก็คือ 2.1% และหากเป็นมะเร็งระยะที่สี่ รอดอยู่ที่ 0.5% เท่านั้น ตัวเลขนี้ทำให้ผมก็คิดว่า หากเป็นตัวเองภายใน 5 ปี มีโอกาสรอดไม่ถึง 3% ผมไม่เอาด้วย 50-50 ยังไม่เอาเลย ต้อง 60 ขึ้นไป เมื่อเป็นแบบนั้น ใครจะช่วยได้ ก็คงต้องพึ่งพิงธรรมชาติด้วยพืชพรรณอย่างกัญชา และพึ่งพาตัวเองด้วยแนวคิดแบบ ริก ซิมป์สัน
คุณบอกว่าทดสอบด้วยการเอาตัวเองเป็นเดิมพัน คุณทดสอบอย่างไร
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2556 ตอนนั้นผมเริ่มเป็นอัลไซเมอร์ด้วยวัย 65 ผมจำฝันไม่ได้ วางของแป๊บเดียวก็ลืม ผมก็เลยถามพระว่ารักษาหายไหม แล้วต้องรักษาอย่างไร ท่านบอกว่า ต้องกินให้หลับสบาย ห้ามเมา โดยการทำให้เจือจาง สะกิดกัญชาแค่ปลายไม้จิ้มฟันแล้วผสมกับน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น 3% กิน 10 หยด ส่งผลให้ผมหลับสบาย ไม่เมา และไม่นานอัลไซเมอร์ผมก็หายไป
จากนั้นไม่นานผมก็เริ่มเป็นโรคพาร์กินสัน มือสั่น แน่นอนว่าตอนนี้หายแล้ว และยังมีอีกสี่โรคตาตามมา ไม่ว่าจะเป็นต้อเนื้อ วุ้นตาเสื่อม จอตาเสื่อม และสุดท้ายที่คิดว่าจะไม่หายคือสายตาสั้น แต่ก็หาย ไม่มีใครในโลกที่เอาน้ำมันกัญชาหยอดตา ผมเป็นคนแรก และไม่มีใครในโลกรักษาต้อเนื้อหายขาด ผมก็คนแรกในโลก ทุกอย่างเพราะผมเชื่อ ผมลองหยอดตา แสบหน่อยก็ช่างมัน ไม่ถึงสองเดือนแต่ละโรคก็หายขาด
แสดงว่าชนิดของใบกัญชาให้ผลต่างกัน
ของไทยกับต่างประเทศก็มีความต่างกันอยู่ โดยเฉพาะเรื่องปริมาณของสาร อย่าง CBD เป็นสารหลัก หาก CBD เยอะก็จะเมาน้อยหน่อย หลับง่าย ส่วน THC จะเมาง่ายแต่จะแก้ปวดได้ดีกว่า แต่เราไม่ได้ใช้แบบแยกสาร เทคนิคของเราคือใช้เพื่อให้หลับ ยี่ห้อไหนก็แล้วแต่ พันธุ์ไหนก็ได้ แต่ทุกอย่างเราทดลองในเชิงปริมาณ แค่ไหนถึงหลับ และหลับได้อย่างสมบูรณ์ด้วย
ประเด็นของการใช้น้ำมันกัญชาคือการทำให้นอนหลับลึก
ใช่ เมื่อเขาหลับได้สมบูรณ์แบบ ร่างกายก็จะเข้าล็อก และเริ่มต้นการซ่อมแซมตัวเอง ซ่อมแบบไม่มีข้อกำหนด อะไรที่บกพร่องก็ซ่อม เพราะฉะนั้น ทุกโรคหายได้ด้วยการซ่อมกลางคืน ซึ่งมาถึงตอนนี้เราค่อนข้างแน่ใจว่ากระบวนการรักษาโรคของกัญชา ส่วนใหญ่ 80-90% เกิดจากร่างกายที่ซ่อมตัวเอง ผ่านการนอนหลับ
เหมือนน้ำมันกัญชาคือยาวิเศษ อยากให้คุณอธิบายหลักการและเหตุผลให้ฟังว่าน้ำมันกัญชาทำให้นอนหลับดีได้อย่างไร
มันก็คือการนอนหลับที่สมบูรณ์ การนอนที่ดีจะต้องนอนยาวให้ได้ 6-10 ชั่วโมง แล้วเข้าสู่โหมดหลับลึกให้ได้ 20-60% จากนั้นก็เข้าสู่หลับฝัน เขาเรียก REM (Rapid Eye Movement) คือตาของคุณกลอกไปกลอกมาอย่างรวดเร็ว ตรงจุดนี้จะเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ที่ค้าง ปลดปล่อยความเครียด ซึ่งจะต้องได้ 10-30% สุดท้ายหายใจเข้าออกเป็นปกติ 70% ขึ้นไป หากคุณกรนหรือหายใจตื้นก็หมายความว่าหายใจไม่ดีแล้ว ทีนี้พอครบสี่อย่าง ร่างกายเข้าล็อก แล้วก็เริ่มซ่อมตัวเอง ร่างกายคนเรามันมหัศจรรย์มาก ซ่อมได้ตั้งแต่สมอง ตับอ่อน ไต หัวใจ ซึ่งไม่ต้องไปรู้ว่าซ่อมอย่างไร ทีนี้เท่ากับว่า โรคต่างๆ ก็ต้องซ่อมได้เช่นกัน
เมื่อคุณทดลองกับตัวเองแล้วได้ผล คุณเริ่มเผยแพร่ให้กับคนอื่นอย่างไร
หลังจากทดลองกับตัวเองแล้ว ผมยังไม่ได้ให้คนอื่น ผมต้องพิสูจน์อีกนานก่อนจะบอกคนอื่น เพราะท่านพุทธทาสสอนว่า การจะสอนคนอื่นอย่างถูกต้อง วิธีที่ทำให้เป็นตัวอย่างให้ดูคือสิ่งที่ควรทำ ผมบอกว่ากัญชาดี ดีอย่างไรก็ให้มาดูที่ผม ตอนนี้อายุ 71 ปี แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ จากนั้นผมก็อธิบายให้กับคนใกล้ตัวผม ให้เขาลอง แล้วก็หาย ก่อนจะปากต่อปากกระจายไปเรื่อยๆ จนครบแวดวงรอบตัวผม แต่เพราะมันดี ผมเลยอยากเอาไปแจกคนทั่วไป แจกผ่านวัดเพราะง่ายที่สุด
แต่กัญชาผิดกฎหมายอยู่ ตอนนั้นทางไม่ลังเลที่จะเป็นต้นทางแจกยาเลยหรือ
เมื่อปีที่แล้วผมเริ่มที่วัดป่าวชิรโพธิญาณ อ.โพทะเล จ.พิจิตร ซึ่งทางวัดยินดีแจกทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไม่ถูกกฎหมาย เพราะต้องการช่วยเหลือคน การแจกในครั้งนั้นเราจึงได้เก็บเป็นข้อมูลไว้ทั้งหมด 4,000 คน ทุกคนจะต้องกรอกชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ โรคที่เป็น การรักษาที่ผ่านมา แล้วนำน้ำมันกัญชาไป ครั้งต่อไปดูว่าดีขึ้นไหม ทุกคนก็บอกว่าดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหาย เพราะมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย
แต่หลังจากนั้นคุณก็โดนจับในข้อหาครอบครองสิ่งผิดกฎหมาย
ผมไม่โดนจับ เรื่องเป็นอย่างนี้ ผมเองก็ไม่ใช่หมอทำยา ไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ การมาแจกยาแบบนี้ยังไงก็ผิดกฎหมายอยู่แล้ว พระท่านก็โดนไปด้วย แต่ผมพูดตั้งแต่แรกแล้วว่าผมไม่สนใจกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นผิดศีลธรรม แต่ช่วงที่เขามาจับนั้นผมอยู่ที่ประเทศลาว เจ้าหน้าที่ก็มาค้นตอนผมไม่อยู่ และมาจับเจ้าหน้าที่ของผมไป เอาต้นและเมล็ดที่เพาะกล้าอยู่ในถุงรอวันแจกจ่ายไปด้วย ส่วนน้ำมันกัญชาที่สกัดแล้ว ผมแจกวัดไปหมดแล้ว แต่เขาว่าคือโทษเดียวกัน ถ้ามีเกิน 10 กิโลกรัม ก็ถือว่าจำหน่ายแล้ว สุดท้ายผมก็ผ่านมาได้จนถึงทุกวันนี้
เมื่อกัญชาได้สร้างปัญหาให้คุณ ทำไมคุณถึงเลือกทำประโยชน์หรือว่าช่วยคนต่ออีก
เพราะผมรู้จุดยืนของตัวเอง ผมไม่ได้เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่ได้เป็นนักธุรกิจ แต่ผมทำทั้งหมดในฐานะนักปฏิบัติธรรม เป้าหมายของผมคือการสร้างกุศล ช่วยผู้ป่วยที่มีความทุกข์มาก หากผมสามารถทำให้เขาทุกข์น้อยลงได้ ก็จะทำ อีกอย่างต้นทุนก็ไม่สูง ผมทำหนึ่งซีซีไม่ถึงสามบาท ผมเองก็กินไม่ถึงสามบาท เมื่อเป็นแบบนี้ ไม่มีเหตุผลใดเลยที่ผมจะไม่ช่วย ผมแค่ใช้กัญชาเป็นเครื่องมือ และรู้ว่ากำลังทำเพื่ออะไร
สำหรับผมแล้ว การทำงานที่เป็นประโยชน์กับคนอื่นและเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ไม่เบียดเบียนตนเองและสังคมถือว่าเป็นงานปฏิบัติธรรม ทำแล้วผมเองก็มีความสุขควบคู่กันไปด้วย แต่ก่อนที่จะทำแบบนี้ สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้จักตัวเองว่างานนี้เหมาะกับตัวเองหรือไม่ ซึ่งงานนี้เหมาะกับผม และผมก็จะทำมันต่อไป เพื่อให้อาการเจ็บป่วยได้หายหรืออย่างน้อยได้บรรเทาความเจ็บปวดต่อได้
เหมือนคุณกำลังจะทำให้เห็นภาพว่า กัญชากำลังจะกลายเป็นความหวังสุดท้าย เพราะความตายมันน่ากลัว
โอ้โฮ สุดท้ายทุกคนก็ไม่กลัวอะไรเท่ากับความตาย มันหนีไม่พ้น ซึ่งเราเองก็ไม่ได้บอกให้หนีความตาย ยังไงก็มาแน่ เพียงแต่ว่าให้ตายอย่างสงบ ตายอย่างมีศักดิ์ศรี และไม่สร้างภาระทิ้งไว้ให้กับครอบครัวภายหลัง ผมกำลังจะบอกว่า การกินน้ำมันกัญชาจะทำให้ไม่ปวด ทำให้กินข้าวได้ ทำให้นอนหลับได้ ทำให้อารมณ์คงที่ สุดท้ายคุณก็จะตายแบบสงบ ตายดี ไม่ต้องเสียเงินมาก และได้อยู่กับครอบครัว แถมยังมีความหวังกับโอกาสที่จะหาย 10-20 เท่าด้วย
เหมือนคุณไม่ได้มองว่า ปัญหาที่อยู่รอบตัวคุณคือความทุกข์เลย
คงไม่มีใครต้องการความทุกข์หรอก แต่ถ้าเราอยากได้ความสุขก็ต้องรู้ที่มาของสุข หลายคนอาจจะคิดว่า ความสุขคือความสนุกสนาน ความสะดวกสบายต่างๆ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ สิ่งนั้นคือสุขเวทนา ซึ่งไม่ใช่ความสุขจริง สุขจริงคือสุขที่ไม่เปลี่ยนแปลง หากเทียบให้เห็นภาพ ความสุขทุกข์เหมือนวิทยาศาสตร์ อย่างเรื่องความร้อนที่ไม่มีจำกัดอุณหภูมิ ส่วนความเย็นลงไปที่ศูนย์องศาเคลวินก็จะไม่เย็นไปกว่านั้น เพราะว่าความเย็นขึ้นอยู่กับความร้อน เมื่อความร้อนหมดไป ความเย็นก็สูงสุด ความสุขก็เหมือนความเย็น ไม่มีทางหาได้ถ้าไม่รู้จักความทุกข์ ทุกข์น้อยลงเท่าไหร่ ความสุขก็จะเกิดขึ้น นี่คือหลักการแห่งความสุข
คุณมองสุดท้ายของปลายทางบนเส้นทางสายนี้อย่างไรบ้าง
มองว่า ธรรมชาติให้กัญชาเรามา กฎธรรมชาติ ตัวสารในกัญชามันสามารถรักษาโรคได้ ทำให้คนพัฒนาตัวเองได้ ทำให้สมองดี ทำให้อารมณ์ดี เรามีสิทธิ์ที่จะใช้ให้เต็มประสิทธิภาพที่ธรรมชาติให้มา เราทุกควรจะเข้าถึงธรรมชาติได้โดยไม่มีสิ่งใดมากีดขวาง เพราะฉะนั้น เป้าหมายของผมคือให้ทุกคนสามารถปลูกกัญชาได้ ใช้ประโยชน์ได้ เพื่อรักษาตัวเองได้ถ้าเขาต้องการ แต่ถ้าไม่สามารถปลูกเองหรือทำน้ำมันกัญชาเองได้ ก็ไปรับฟรีที่วัด โดยผมตั้งเป้าว่า อย่างน้อย 1 อำเภอ จะต้องมี 1 วัดที่แจกจ่ายฟรี ถ้าทำแบบนี้ได้ ผมคิดว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนไปเลย