เราเริ่มสนใจ ‘เอิ๊ต’ – ภัทรวี ศรีสันติสุข ตั้งแต่ครั้งที่เธอไปปรากฏตัวในซีรีส์วัยรุ่นชื่อดังอย่าง ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น เมื่อปี 2556 ซึ่งเธอรับบทเป็น ไนท์ นักร้องนำวง See Scape วงดนตรีขวัญใจของโรงเรียน ซึ่งถือเป็นบทบาทใกล้ตัวเธอ
เอิ๊ตเริ่มต้นการเป็นนักร้องที่มีคนรู้จักจากการการคัฟเวอร์เพลงมากมายลงบนยูทูบในแชลแนลของตนเองที่ชื่อ WishesontheEarth ตั้งแต่ปี 2552 สมัยที่เธอยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย จนมีผู้ติดตามจำนวนมาก ก่อนที่จะเซ็นสัญญาเป็นศิลปินและมีซิงเกิลแรกอย่าง You You You (2557) ที่ร้องร่วมกับ แอมมี่ The Bottom Blues ก่อนจะมีซิงเกิลอื่นๆ ที่ฮิตระดับล้านวิวไปจนถึงหลายสิบล้านวิว จนกระทั่งมี E.P. อัลบั้มแรกอย่าง About Time กับค่ายเพลง Muzik Move Records ต้นสังกัดปัจจุบันของเธอ
มาจนถึงวันนี้ เมื่อเราได้ยินชื่อศิลปินอย่าง เอิ๊ต ภัทรวี เรามักนึกถึงนักร้องตัวเล็ก เสียงหวานแต่มีพลัง สะพายกีตาร์ กับดนตรีท่วงทำนองเบาๆ ฟังสบาย ที่มาพร้อมเนื้อหาเพลงที่บอกเล่าเรื่องความสัมพันธ์ เวลา และความทรงจำ กับเสน่ห์เฉพาะตัวยามอยู่บนเวที กระทั่งซิงเกิลล่าสุด ‘ไม่ให้เธอหายไป’ เพลงจังหวะสบายๆ เสียงร้องใสๆ กับเอ็มวีโทนสีน่ารักๆ ที่หลังจากปล่อยไปหนึ่งเดือนยอดวิวก็ขึ้นแตะหลักล้านไปเรียบร้อย
นอกจากนี้ หากใครติดตามเอิ๊ตอย่างใกล้ชิดก็จะรู้ว่าเธอเป็นคนชอบถ่ายภาพ โดยเฉพาะกับกล้องฟิล์ม ที่เรามักเห็นรูปถ่ายจากสายตาอันซุกซนของเธอที่มีทั้งรูปตัวเอง ครอบครัว กลุ่มนักดนตรี และชีวิตประจำวัน ในเพจเฟซบุ๊กที่ชื่อ Small Things On Earth ของเธอเอง สิ่งที่เราสนใจไปมากกว่าภาพฟิล์มก็คือความทรงจำที่ซ่อนอยู่ในรูปถ่ายของเอิ๊ต ราวกับเธอต้องการบันทึกทุกช่วงเวลาของชีวิตลงบนแผ่นฟิล์ม และไม่ต้องการให้ความทรงจำเลือนหายไปเหมือนหลายครั้งในบทเพลงของเธอที่มักพูดถึงเรื่องการสูญหาย
“เราหมกมุ่นมากกับเรื่องของความทรงจำ เราจะไม่ยอมให้อะไรหายไป เมื่อเร็วๆ นี้มีรูปโพลารอยด์ที่ถ่ายไว้แล้วไม่รู้ว่าเอาไปวางไว้ไหน เราก็ใช้เวลาไปครึ่งวันเลยในการหาจนเจอ” เอิ๊ตบอกกับเราอย่างนั้นในตอนหนึ่งของบทสนทนา
ทั้งหมดคือความสนใจที่เรามี และชวนเอิ๊ตมาพูดคุยในครั้งนี้ ทั้งเรื่องดนตรี ความสัมพันธ์ สิ่งที่สูญหาย รูปถ่ายและความทรงจำ
ซิงเกิลล่าสุด ‘ไม่ให้เธอหายไป’ เป็นอย่างไรบ้าง คาดหวังว่าจะเหมือนซิงเกิลที่ปล่อยออกมาก่อนหน้าไหม
ฟีดแบ็กค่อนข้างดี แต่ไม่ได้หวังเลยว่าจะเหมือนกับซิงเกิลก่อนหน้า เพราะว่าเพลงนี้เราตั้งใจให้เป็นเพลงฟีลกู๊ด คือเราจะเป็นคนที่ขับรถบ่อย แล้วเวลารถติดเราจะรู้สึกว่าอยากหนีออกไปจากตรงนี้ เลยอยากให้คนฟังเพลงนี้แล้วผ่อนคลาย หรือว่าเวลาลืมตาตื่นนอนมากดฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกสดชื่นหรือสดใสขึ้นมา
เราอยากให้เป็นเพลงซาวนด์แทร็กที่อยู่ในชีวิตประจำวันมากกว่าจะเป็นเพลงที่ต้องเศร้ามากหรือมีความสุขมากถึงจะเปิด อย่างเพลงก่อนหน้า ‘ถ้าฉันหายไป’ มันค่อนข้างจะมีสถานการณ์ที่ชัดเจน อาจจะรู้สึกอกหักมากๆ ถึงจะเปิดฟัง แล้วก็จะทำให้เรารู้สึกบรรเทา หรือพ้นไปจากสถานการณ์ตรงนั้นได้ แต่เพลงนี้ไม่ได้มีสถานการณ์ที่พิเศษอะไร อยากให้อยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิตมากกว่า
ถึงดนตรีจะฟีลกู๊ดแต่เนื้อหาก็ยังพูดถึงการหายไปของอะไรบางอย่างอยู่
ใช่ เราชอบประโยคหนึ่งที่เขาบอกว่า ‘เราสามารถโกรธและคิดถึงคนคนเดียวกันได้’ แล้วรู้สึกว่ามันจริงนะ เราสามารถรู้สึกได้มากกว่าหนึ่งอย่างในเวลาเดียวกัน เราสามารถโกรธเขา คิดถึงเขา หรือบางทีเจอกันแล้วไม่ต้องมีเหตุผลก็ได้ แค่อยากที่จะมีความสุขด้วยกัน ทั้งที่จริงๆ แล้วยังรู้สึกว่าเคยโกรธมาก่อน มันเลยเหมือนเป็นสถานการณ์บางอย่างที่อยู่ในเพลงนี้
อย่างเช่น พอเจอคนคนหนึ่งที่ไม่ได้คุยกันมานาน แล้วอาจจะโกรธกัน แต่ไม่รู้ว่าโกรธกันเรื่องอะไรเพราะมันผ่านมาสักพักแล้ว ทีนี้พอมาเจอกัน เราก็แค่อยากคุยกับเขา เราไม่ได้อยากจะตามหาเหตุผลแล้วว่ามันคือเรื่องอะไรที่ทำให้เราทะเลาะกัน หรือเนื้อเพลงตอนต้นที่เราชอบมากที่พูดถึงว่า พอมีอะไรบางอย่างที่หายไปจากชีวิตเรา เพลงที่ฟังก็ไม่เพราะเหมือนเดิม ท้องฟ้าก็ไม่ได้ดูแล้วรู้สึกดีเหมือนเดิมพอบางคนหายไป
คุณเป็นคนที่อินหรือให้ความสำคัญกับเรื่องของความสัมพันธ์มากขนาดไหน
(นิ่งคิด) เราเป็นคนที่คิดเยอะกับเรื่องทำนองนี้ แต่ก็รู้สึกนะว่าค่อนข้างมีความคิดว่าตัวเองเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ ที่แบบ อ๋อ ที่เรารู้สึกอย่างนี้ ก็เพราะอย่างนี้แหละ หรือจะชอบคิดว่าเป็นคนที่อธิบายความรู้สึกตัวเองได้ดี แต่ขณะเดียวกัน ความเข้าใจกับความรู้สึกมันก็ไม่ได้ไปด้วยกันขนาดนั้น บางทีเราเข้าใจบางอย่าง ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่รู้สึก นึกออกไหม
บางทีเราเข้าใจว่าความสัมพันธ์ก็จะดำเนินไปแบบนี้แหละ มันมีเหตุผลของมัน มีเหตุผลที่ต้องจบ มีเหตุผลที่ต้องเลิก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่รู้สึกถ้าเราเข้าใจ ก็เลยเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองเซียน ค่อนข้างเข้าใจอะไรบางอย่าง นี่คิดเองนะ ก็ไม่รู้ว่าจริงไหม (หัวเราะ) แต่จริงๆ ไม่ได้เป็นคนที่เจอเรื่องอะไรโหดร้ายในชีวิตมา แค่ชอบความรู้สึกแบบนี้ ชอบความโรแมนติกบางอย่าง เหมือนดูหนังแล้วก็จะอิน อย่างเพลงแต่ละเพลงที่ทำมาจะมีความรู้สึกว่ามันไม่ได้เต็ม มันมีอะไรหายไป ซึ่งสิ่งที่หายไปนั่นแหละทำให้ทุกอย่างมันโรแมนติก
ความรักที่เรารู้สึกว่าเป็นอุดมคติที่สุดก็คือความรักที่อยู่แค่ในใจเรา เหมือนเราแอบชอบเขาแต่เราไม่ได้บอก มันจะเพอร์เฟ็กต์ที่สุดเสมอ เพราะมันยังไม่เคยเกิดอะไรขึ้น เรายังไม่เคยทะเลาะกันเลยด้วยซ้ำ ก็เลยเป็นความสัมพันธ์ที่เราว่าบริสุทธิ์ที่สุด
จริงๆ ก็อาจจะกลัวก็ได้ แต่เราก็จะคิดว่าเราทำแบบนี้มันสวยงามแล้ว มันก็จะมีเหตุผลบางอย่างมารองรับ คือตัดสินใจไปแล้ว แต่เราก็อาจจะหาเหตุผลมาครอบมันอีกที
แปลว่าคุณสามารถดีลกับความสัมพันธ์ที่มีแววว่าจะไม่รอดได้ดีใช่ไหม แล้วถ้าสมมติคุณไปอยู่ในสถานการณ์เหมือนในเพลงของคุณเองล่ะ
จริงๆ แล้วไม่เคยมีเหตุการณ์ที่โหดร้ายขนาดในเพลง ไม่ได้มีใครที่ทำให้เรารู้สึกด้อยค่า แต่เราพูดกับทุกคนตลอดเลยว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เราต้องตั้งสตินะ เราต้องไม่ไปอยู่ในที่แบบนั้น แล้วเราก็จะบอกตัวเองว่า ถ้าเป็นเราจะไม่ทำแบบนั้นหรอก เราจะไม่ยอมอยู่ในสถานการณ์นั้นหรอก แต่ในความเป็นจริง การให้คำปรึกษาคนอื่นน่ะมันง่าย (หัวเราะ) เพราะสมมติว่าถ้าเราต้องไปอยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ ก็อาจจะทำไม่ได้เหมือนกัน คืออาจจะไม่ได้ในระยะหนึ่ง แต่ว่าเราเป็นคนที่ถ้ามีปัญหา เราจะต้องหาทางออกให้ได้ ระหว่างการหาทางออกอาจจะทรมานมาก แต่ยังไงก็ต้องหาทางออก เราเป็นคนไม่สามารถอยู่กับความทุกข์ได้ เพราะว่าไม่มีความอดทนขนาดนั้น
ก็เลยยอมหนีจากทุกข์ไป ยอมหายไปดีกว่า
ใช่ สำหรับเราการหายไปคือการแก้ปัญหานะ อย่างในเพลง ‘ถ้าฉันหายไป’ คือเราหายไปเพื่อพิสูจน์ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเรา ซึ่งถ้าเราไม่หายไปเลย หรือถ้าเรายังอยู่ให้เขาเห็น ก็เหมือนเรารู้อยู่แล้วว่ากฎมันเป็นยังไง แต่เราก็ยังไปอยู่ในวังวนแบบเดิม แต่ถ้าเราหายไป มันหมายถึงเรายังพยายามอยู่นะ พยายามที่จะออกมาจากวังวนอะไรแบบนั้น
เวลามีอะไรบางอย่างหายไปจากชีวิต คุณเป็นคนประเภทไหน ตามหา หรือ ปล่อยวาง
เราหมกมุ่นมากกับเรื่องของความทรงจำ เราจะไม่ยอมให้อะไรหายไป เมื่อเร็วๆ นี้มีรูปโพลารอยด์ที่ถ่ายไว้แล้วไม่รู้ว่าเอาไปวางไว้ไหน เราก็ใช้เวลาไปครึ่งวันเลยในการหาจนเจอ ก็เลยรู้สึกว่าเราให้คุณค่ากับความทรงจำมากๆ จริงๆ มันก็อาจจะไม่ได้ต่างจากเดิมด้วยซ้ำ เหมือนเราก็จำได้เหมือนเดิม แต่เราเป็นคนขี้งก สมมติว่าเรามีฮาร์ดดิสก์ที่ในนั้นมีข้อมูลเยอะมาก เราก็จะชอบไปนั่งค้นอะไรเก่าๆ วันดีคืนดีก็ไปนั่งอ่านไดอารี่ตัวเอง เราชอบให้ความสำคัญกับอดีต หรือถึงแม้จะเป็นความรักที่จบไปแล้ว เราก็รู้สึกว่าไม่มีทางที่เราจะลบฮาร์ดดิสก์อันนั้น เสียดายมาก แล้วเราก็จะต่อสู้เพื่อจะไม่ลบด้วย ถ้าคนรักเก่าเราอยากจะลบ เราก็จะบอกว่าไม่ เธอไม่มีสิทธิ์มาลบ
เรารู้สึกว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเราเราอยากจะมาร์กมันไว้ในชีวิต แล้วมาร์กไว้เป็น physical เป็นวัตถุ เราเป็นคนที่แอบยึดติดเหมือนกันนะ ขนาดตุ๊กตาตัวแรกที่แฟนคนแรกให้เรายังมีอยู่เลย คือรู้สึกว่าสิ่งพวกนี้ตอนได้มาเราดีใจมาก แล้วก็ไม่เห็นต้องทิ้งไปเลย หรือแบบลูกอมจูปาจุ๊ปส์ เราก็แช่ตู้เย็นไว้จนมดขึ้น (หัวเราะ) หรือช้อนไอติมที่กินกันครั้งแรกก็เก็บไว้ ตอนนี้ยังมีอยู่เลย อย่างฮาร์ดดิสก์ที่บอกไป เราไม่รู้ด้วยซ้ำนะว่าในนั้นมันยังมีรูปอยู่มั้ย (หัวเราะ) แต่ถ้าลองได้รู้ว่ามันไม่มีรูปในนั้นสิ เราจะแพนิกเลย
เราเคยดูหนังเรื่อง 36 ของพี่เต๋อ นวพล เขาบอกว่าสิ่งที่มันไม่ได้บันทึกเอาไว้ เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลย แต่จริงๆ แล้วมันเกิดขึ้น อย่างช่วงนี้เราเป็นคนถ่ายทุกอย่างลงไอจี จริงๆ ทุกคนก็ทำ แต่เรารู้สึกว่าบางทีเราอินกับการลงไอจีมาก ซึ่งบางทีก็เยอะไปจนทำให้เราถามตัวเองว่าเราเอ็นจอยกับสิ่งหนึ่งเพราะอะไร เช่น เวลาเราไปเที่ยวเราเอ็นจอยเพราะไปเที่ยวหรือเพราะเราได้โพสต์ให้คนอื่นเห็น
จะเล่าให้ฟังว่าความคิดในเรื่องนี้มันเกิดขึ้นตอนฝัน มีวันหนึ่งเราฝันว่าเราไปดูคอนเสิร์ตที่อยากดูแต่ดันไปสาย ในฝันก็รีบวิ่งเลย เหนื่อยมาก หอบเลย แล้วสิ่งแรกที่ทำในฝันคือหยิบวิดีโอขึ้นมาถ่ายแล้วโพสต์ว่า ‘มาถึงแล้ว’ เราก็รู้สึกว่า บ้าไปแล้ว ในฝันก็ยังโพสต์เลยเหรอ พอตื่นมาก็รู้สึกงงๆ ว่า เฮ้ย เราอยากดูคอนเสิร์ตจริงหรือเปล่าเนี่ย ก็เลยรู้สึกว่าหลายๆ อย่างมันก็เป็นแบบนี้นะ เหมือนทำไมเราถึงอยากร้องเพลง เราอยากร้องเพราะอยากร้องหรืออยากได้ชื่อเสียงจากการร้อง
การหมกมุ่นของคุณดูโรแมนติกมากเลยนะ
แต่จริงๆ แล้วมันเหมือนย้ำคิดย้ำทำนะ เราจะชอบกลับมานั่งคิดว่าวันนั้นเราไม่น่าพูดประโยคนั้นเลย เราทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกแย่ไหม มันทำให้เรารู้สึกผิดกับอะไรที่เกิดไปแล้ว แต่ว่าจริงๆ แล้ว มันคือการ waste of energy มาก เราไปเสียใจกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นไปแล้วไม่ได้ เพราะเราแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่มันก็ทำให้ได้เพลงอย่าง ‘Timehop’ กับ ‘มีไว้เป็นแค่ของเธอ’ ขึ้นมา ซึ่งก็คือสิ่งนี้เลย คือการหมกมุ่นกับอดีต อย่าง Timehop คือตรงมาก สมมติเรามานั่งดูรูปแล้วเราไม่ได้เสียดายเวลานั้น แต่เสียดายตัวเองในตอนนั้นที่เคยมั่นใจกว่านี้ เคยยิ้มกว้างกว่านี้ หรือเคยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นมากกว่านี้ เราเคยเป็นคนแบบนั้นนะ ซึ่งมันก็ดีที่เราได้กลับไปย้อนดูว่าเป็นแบบนั้นก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องคิดกลับไปกลับมาเหมือนทุกวันนี้เลย แต่ถ้าเสียดาย ก็คงเสียดายที่มันจะไม่ย้อนกลับมา เพราะว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นซ้ำไม่ได้
ตอนมัธยมมีครั้งหนึ่งที่อกหัก แล้วเพื่อนไปทะเลกัน แต่เราไม่อยากไปเพราะแฟนเก่าไป ทุกวันนี้ผ่านมาแล้วสิบปี ทุกคนก็ยังพูดถึงทริปนั้น ซึ่งเราไม่ได้ไป ก็เลยรู้สึก โอ้ย ถ้าเราไปอาจจะมีเรื่องราวให้เล่านะ ทุกวันนี้เวลาเขาพูดเรื่องนี้กันก็จะรู้สึกหงุดหงิด (หัวเราะ)
เคยมีอะไรที่หายไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ไหม
คงเป็นเวลาที่เราใช้กับใครสักคน อย่างช่วงนี้จะคุยกับคนอื่นบ่อยมากเรื่องที่คุณยายเราเสีย มันเป็นเรื่องที่หงุดหงิดที่สุด ตอนนั้นเรารู้สึกว่าชลบุรีมันไกลมาก ทั้งที่เราไปเล่นคอนเสิร์ตที่ระนองมาแล้ว แต่กลับรู้สึกว่าชลบุรีมันไกล มันเหนื่อย อยากจะพักอยู่บ้าน ไม่อยากเดินทางตอนวันหยุด เราเสียดายวันเวลาพวกนั้นมากกว่า คือเราทำใจไว้แล้วว่าสักวันหนึ่งคุณยายก็ต้องเสีย เพราะท่านก็แก่แล้ว เรารู้สึกหงุดหงิดกับตัวเองมากที่เราแก้อดีตไม่ได้ ถ้าเรื่องอื่นเราอาจจะตีว่ามันสวยงาม เช่น ณ จุดจุดนั้นเราเป็นคนแบบนั้น เราก็เลยตัดสินใจแบบนั้น เพราะฉะนั้นเราโทษตัวเองไม่ได้ แต่เรื่องนี้ยังไงมันก็กลับไปไม่ได้แล้ว คือความเศร้ามันจะค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ แต่ความหงุดหงิดมันยังอยู่
ทุกครั้งที่เราขึ้นมอเตอร์เวย์ก็จะมีความคิดว่า ‘มันไม่ได้ไกลเลยเว้ย’ แล้วบ้านเราอยู่บางนา ชลบุรีก็ใกล้นิดเดียวเอง อยากจะทำลายข้าวของเลยเวลาหงุดหงิด นี่ก็ถือเป็นปัญหาของเรานะ เรื่องเวลามีปัญหาแล้วหาที่ลงไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องหาทางแก้ เช่น คิดว่าตอนนี้เราทำอะไรได้ ยังมีคนอื่นที่ยังอยู่กับเรา ก็บอกตัวเองว่าอย่าทำให้ตัวเองเสียใจกับคนอื่นอีก เรียกว่าเรื่องนี้คงเป็นความหงุดหงิดที่จะค้างคาในใจไปอีกสิบปียี่สิบปีไม่มีวันหมดเลย
แล้วปัจจุบันมีอะไรที่เราอยากให้หายไปมากๆ บ้างไหม
ก่อสร้างตรงศรีนครินทร์ (หัวเราะ) ที่ทำรถใต้ดินน่ะ อยากให้หายไปมาก คือเราเติบโตมาเส้นนั้น แล้วตั้งแต่เกิดมาก็จะมีก่อสร้างอะไรสักอย่างตลอด อุโมงค์มุดแค่นิดเดียว ทำตั้งแต่เราเด็กจนโต คือพอเสร็จแล้วเราดีใจมาก แต่ผ่านไปไม่ถึงปี มาอีกแล้ว เสียใจมาก (หัวเราะ) เหลือเลนเดียวอีกแล้ว อันนี้เศร้าจริง เพราะว่ากลับจาก RCA ก็ต้องผ่านศรีนครินทร์ถึงจะถึงบ้านเรา อันนี้เจ็บปวดมาก
อย่างในชีวิตการเป็นศิลปิน มีอะไรที่ทำหล่นหายไปบ้างไหม ความสัมพันธ์ หรือช่วงชีวิตวัยรุ่น เพราะคุณก็เริ่มงานในวงการมาตั้งแต่ช่วงยี่สิบต้นๆ เลย
เพื่อนเราน้อยมาก (หัวเราะ) คือเรารู้ว่าการทำงานเราไม่เหมือนกับคนอื่นอยู่แล้ว บางคนเขามี offfiice hour แต่อย่างเราทำงานหลังจาก offfiice hour ไป เราก็จะไม่เคยเจอใคร เพื่อนๆ นัดกันเราก็ไม่ได้ไปเจอ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราห่วย หรือว่าเราไม่สนุก เราจะปลอบใจตัวเองว่า เธอไม่ใช่คนน่าเบื่อนะ เธอไม่ใช่คนไม่สนุก แค่เธอทำเพื่อนหล่นหายไป เพราะว่าการมีเพื่อนมันหมายถึงการที่เราได้มีความทรงจำร่วมกัน การที่เราได้ทำอะไรร่วมกันมันคือการลงทุน ซึ่งเราไม่ได้ลงทุนไปตรงนั้น เราไปลงทุนตรงอื่น เราก็จะมีเพื่อนกลุ่มใหม่ที่ไม่ได้เหมือนเพื่อนกลุ่มเดิม แต่ก็จะเสียใจเหมือนกันที่รู้ว่าเราเคยสนิทกันมากเลยนะ เราก็ยังรักกันอยู่นะ แต่เรากลับไม่รู้จะคุยอะไรกัน ไม่ใช่ว่าเกลียดกัน แต่แค่รู้สึกว่า จะคุยอะไรกันดี ไม่เจอกันนานมาก ถามสารทุกข์สุขดิบไปหมดแล้ว เป็นแบบนั้นมากกว่า
ตอนนี้ส่วนใหญ่ในชีวิตปกติก็จะเป็นเพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกัน หรือเป็นเพื่อนของเพื่อนที่เล่นดนตรีเหมือนกัน ใช้ชีวิตในช่วงเวลาคล้ายๆ กัน เหมือนเรารู้ว่าถ้าเขาบอกว่าช่วงนี้ท้อ เราจะเข้าใจเขา แต่ถ้าเป็นเพื่อนที่ใช้เวลาในชีวิตคนละแบบ เราก็จะไม่เข้าใจเขาเท่าที่เราเข้าใจกลุ่มนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่หรอก แต่มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
เห็นคุณชอบถ่ายรูปแถมมีเพจ Small Things On Earth ด้วย เริ่มถ่ายรูปตั้งแต่ตอนไหน
ตั้งแต่ซิงเกิลแรกเลย จำได้ว่าซื้อกล้องฟิล์มอันแรกตอนเพลง You You You แต่จริงๆ ถ่ายรูปกล้องธรรมดาก็ถ่ายมาตั้งแต่ม.ปลายแล้ว เราชอบถ่ายเก็บบรรยากาศ ตอน ม.ปลาย ก็จะมีวิชาที่ให้ทุกคนไปถ่ายวิดีโอเป็นสารคดี เราก็จะเป็นตากล้อง ตัดต่อบ้าง ก็จะรู้สึกว่าดีนะเนี่ย จริงๆ ไม่ได้คิดว่าตัวเองถ่ายรูปสวยอะไร แต่ชอบเวลาได้มาดูรูป ยิ่งถ้าเป็นรูปตอนเด็กๆ จะตลกดี ในสมัยที่เราน่าเกลียดมากๆ (หัวเราะ)
แล้วทำไมตอนนี้ถึงใช้กล้องฟิล์ม
เพื่อนเขาฮิตกัน ก็อยากมีบ้าง เลยซื้อตาม (หัวเราะ) แต่ช่วงแรกมันก็นอนค้างอยู่บ้านพักใหญ่เลย ไม่ค่อยได้เอามาใช้ จนเขากลับมาฮิตกันอีกทีถึงได้เอามาใช้ ไม่ได้มีจุดยืนเลย (หัวเราะ) แต่พอใช้ไปสักพัก เราสังเกตว่าชอบนิสัยตัวเองเวลาถ่าย เรามีกล้องดิจิตอลที่ชอบอยู่ที่บ้าน แต่ว่าเราจะถ่ายสะเปะสะปะกว่านี้เยอะ รูปหนึ่งมีสิบท่าอะไรแบบนี้ แต่ว่าอันนั้นจะอยู่ในเมมโมรีการ์ดนานมาก ไม่ค่อยเอาออกมาโพสต์เลย นอกจากเพื่อนต้องการเราก็จะเอาออกมาให้ แต่ถ้าเป็นกล้องฟิล์มจะรู้สึกว่า ‘ฉันจะลงเดี๋ยวนี้ เพราะว่าฉันตื่นเต้นกับ 36 รูปนี้ ฉันภูมิใจ’ จริงๆ ก็ไม่ได้หลงรักมันมากขนาดนั้น แต่ก็ติดมันไว้ในกระเป๋าตลอด
ถ้าเราไม่ได้หลงใหลขนาดนั้น ทำไมต้องมีกล้องฟิล์มติดกระเป๋า ทั้งที่ใช้โทรศัพท์มือถือก็ได้
เหตุผลเดียวกับที่เล่าเรื่องฝันให้ฟัง อันนี้เหมือนดัดนิสัยตัวเองด้วย ปกติเราใช้กล้องดิจิตอลถ่าย แล้วเราก็ต้องหาที่นั่งเพื่อโหลดไฟล์แล้วก็ลงเดี๋ยวนั้น รู้สึกว่าเราทนไม่ได้ที่จะไม่ลงทันที (หัวเราะ) หลังจากฝันก็เลยมีความรู้สึกว่า จริงๆ แล้วเวลาเราไปเที่ยวเหมือนเราหนี เรามีความสุขมากกับตรงนี้ มีความสุขมากเป็นพิเศษเวลาที่เราปิดทุกอย่าง ไม่ต้องอวดใคร เพื่อจะรู้สึกว่าเรามีความสุขจริงๆ ชอบตรงนั้นมากกว่า ดูคลีเช่นะเวลาเราพูดอะไรแบบนี้ แต่มันคือเรื่องจริง
ยกตัวอย่างเวลาเที่ยวกับครอบครัวนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย แม่จะชอบอยากดูรูปเดี๋ยวนั้น สุดท้ายก็จะไปนั่งอยู่ที่คาเฟ่กันสี่คน แล้วก็ ‘ลงจ้า เอ้า ลงรูปจ้า’ (หัวเราะ) แต่ก็สนุกดี อันนั้นเราโอเค เพราะมันก็เป็นกิจกรรมอันหนึ่งที่ครอบครัวจะทำกัน แต่ว่าในขณะเดียวกัน พอเที่ยวกับกล้องฟิล์มแล้วมันต่างกันเยอะเลย เราจะรู้สึกว่า ‘ใจเย็นๆ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วค่อยว่ากัน’ แล้วทำให้เราใจเย็นขึ้นเยอะเลย เพราะความจริงเป็นคนใจร้อนมาก พูดก็เร็ว (หัวเราะ)
ชอบถ่ายอะไรเป็นพิเศษ
ก็จะมีรูปคนที่ถ่ายบ่อยๆ เราชอบถ่ายให้คนไม่รู้ตัว ชอบให้มันดูเหมือนเป็นภาพที่มาจากหนัง เหมือนแคปมาจากหนังโดยที่ไม่ต้องเซตมาก พอได้รูปมาแล้วส่งให้เขาจะรู้สึกว่ามันดีจัง เวลาทักเขาไปก็จะไม่ได้ทักเฉยๆ แต่มีรูปส่งไปด้วย หรือถ้าไม่ใช่คนก็เป็นพวกสัตว์ หมา แมว ท้องฟ้า แล้วมีเรื่องตลกคือ พอเรามาเริ่มร้องเพลง เราจะเป็นคนระวังแบรนด์มาก จะพยายามไม่ถ่ายอะไรที่มีโลโก้ มันก็จะกลายเป็นว่าเราพยายามมองหาที่โล่งๆ ที่ไม่มีโลโก้ทุกที่ สมมติไป RCA ก็จะมองหาว่าตรงไหนที่จะไม่มีป้ายโฆษณา ซึ่งก็ยากมาก เราก็เลยเป็นคนติดนิสัยหาจุดนิ่งๆ ในที่ที่เต็มไปด้วยป้ายหรืออะไรแบบนั้น ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่
ส่วนใหญ่ที่บ้านเราก็จะมีอัลบั้มรูปถ่ายเก่าๆ คุณมีไหม
มีเยอะนะ เต็มสองตู้เลย คิดว่าพ่อน่าจะเป็นคนถ่าย ตั้งแต่ก่อนที่เราจะโตจนจำความได้ เพราะว่ารูปเยอะ แล้วตอนเด็กๆ เราก็ชอบเอากล้องพ่อมาถ่าย มีครั้งหนึ่ง เราคิดว่าตัวเองเป็นศิลปินมากๆ ไปจับน้องถอดเสื้อผ้า เอาปากกาแบบลบได้ 12 สีมาเขียน ระบายทั้งตัวเลย ตอนนั้นน้องยังเด็กเล็กๆ อยู่ ส่วนเราโตประมาณนึงแล้ว ห่างจากน้อง 5 ปี เราก็เอาน้องที่มีลวดลายเต็มตัวไปจับวางตามที่ต่างๆ แล้วกดถ่าย เป็นภาพนู้ด ทุกวันนี้น้องยังเกลียดอยู่เลย (หัวเราะ)
มีรูปช่วงเวลาไหนที่เราชอบย้อนกลับไปดูมากๆ ไหม
มีๆ ช่วงก่อนจะเป็นภูมิแพ้ เป็นช่วงที่เรายังเด็ก พ่อแม่ยังหนุ่มๆ สาวๆ อยู่ เขาก็จะสนุกกับการเอาลูกไปแต่งตัวเป็นตุ๊กตา เป็นตัวต่างๆ เย็บเสื้อผ้าให้ใส่ แต่รู้สึกว่าพ่อแม่ดูสนุกกับการไปทะเล พาไปว่ายน้ำ แล้วก็รู้สึกว่าตอนนั้นพ่อตัวใหญ่มาก แม่ก็เป็นสาวสวย ผมยาว ดูแล้วตื่นเต้น ตอนนั้นไม่เป็นภูมิแพ้ ยังมีรูปวิ่งเล่นกับหมา กอดหมาได้ แล้วคิดว่าตอนนั้นตัวเองหน้าตาน่ารักมาก (หัวเราะ)
รู้สึกอย่างไรกับเรื่องการเปลี่ยนแปลง เพราะไม่ว่าคนเราหรืออะไรก็ตามจะต้องพบเจอความเปลี่ยนแปลงเสมอ ยกตัวอย่างเปรียบเทียบง่ายๆ เช่น จากกล้องฟิล์มสู่กล้องดิจิตอล
(นิ่งคิด) จริงๆ แล้วเป็นคนขี้เสียดายแหละ แต่ก็มีความเข้าใจเหมือนกัน อย่างเช่น เรื่องโรงหนังลิโด้ปิด พอเราโตมาก็รู้สึกว่าคงเป็นเรื่องธุรกิจแหละ สุดท้ายมันก็คงอยู่ที่ demand supply อะไรแบบนี้ มันไม่มีใครที่สามารถรักษาสิ่งสวยงามได้เพียงเพราะว่ามันสวยงาม เราโตแล้ว เรารู้แล้วว่ามันก็คือการอยู่รอด หรือไม่รอด แค่นั้น แต่ถ้าถามว่ารู้สึกเสียใจมั้ย ก็เสียใจ แต่ถ้าถามว่าเข้าใจมั้ย ก็เข้าใจ ก็เลยไม่ได้เป็นคนโลกสวยงามขนาดนั้น
แล้วถ้าเจอเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลง เราชอบตั้งคำถามว่าเพราะอะไรไหม หรือแค่ยอมรับ
จะรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจ เหมือนเอาความเข้าใจมาลบความเศร้าด้วย หมายถึงว่าจะพยายามคิดว่า ก็ตอนที่มันอยู่ ไม่ได้มีใครชอบมันสักหน่อย ถ้าลองปล่อยข่าวลือว่าโรงหนังจะปิดตั้งแต่สิบปีที่แล้ว คนก็จะมาให้ค่าเต็มเลย แต่ถ้าคนให้ค่าไปสักสิบปีแล้วโรงหนังยังไม่ปิด สุดท้ายเขาก็จะไม่ให้ค่าอยู่ดี มันเป็นเรื่องของสิ่งที่เราเห็นเป็นของตายมั้ง ไม่รู้นะ เราก็คงไม่ได้ไปสนใจมันมาก ถ้าเราจะสนใจเราก็จะสนใจมันจริงๆ ไปเอง แสดงว่าคนส่วนใหญ่มากๆ ไม่ได้สนใจ อาจจะมีแค่กลุ่มเดียว อันนี้คือสิ่งที่เราพยายามคิดหรือไตร่ตรองในหัวนะ ว่ามันก็เป็นแบบนี้แหละ เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจ มันเป็นโลกธุรกิจ แล้วถ้ามีคนโพสต์อะไรเศร้าๆ ก็จะบอกตัวเองว่า มันคือธุรกิจ แล้วก็กดข้ามไป จะไม่ค่อยยอมให้ตัวเองไม่ชอบ อะไรที่ทำร้ายความรู้สึกเราเราจะหนีเลย
ถ้าให้เลือกถ่ายรูปหนึ่งรูปในฟิล์มม้วนสุดท้าย แล้วเป็นรูปสุดท้าย ก่อนที่กล้องฟิล์มจะหมดไปจากโลก คุณจะออกแบบรูปถ่ายใบนั้นยังไง คนในรูปจะมีใครบ้าง สถานที่ไหน จะทำท่ายังไง
ถ้าเป็นเรา เราจะไม่ถ่ายเลย ยอมไม่ได้ถ้าจะต้องถ่ายแล้วมารู้สึกเศร้ากับมันทีหลัง เหมือนถ้าเราไม่ถ่ายมันก็จะอยู่ตรงนั้นแหละ ทำใจไม่ได้ สมมติว่าเราต้องคิดเยอะมากๆ เพื่อจะให้มันกลายเป็นความทรงจำที่ดี มันก็คงไม่ได้ดีเท่ากับตอนที่มันไม่เคยคิด สำหรับเราฟิล์มม้วนนี้พอถ่ายเสร็จไม่มีทางที่มันจะมีคุณค่ากับเราเท่ากับม้วนตอนห้าปีที่แล้วที่ถ่ายไปแบบไม่ได้แคร์อะไร ไม่มีทางเลย ไม่มีทางที่เราจะเค้นให้ทุกอย่างเป็นความทรงจำ ถ้ามันไม่ได้เป็นความทรงจำขนาดนั้น ปล่อยมันไว้ดีกว่า ให้มันสวยของมันอยู่อย่างนั้นดีแล้ว