ธีรศิลป์ แดงดา

ธีรศิลป์ แดงดา | มุ้ยซัง จากสนามฟุตบอลสู่สนามชีวิตใน J League เวทีลูกหนังที่ดีที่สุดของเอเชีย

บนเวทีลูกหนังที่ดีที่สุดในซีกโลกตะวันออก อย่าง J League ลีกฟุตบอลของประเทศญี่ปุ่น หากย้อนกลับไปเมื่อสี่ห้าปีที่แล้ว คงไม่มีแฟนบอลไทยกล้าคิดว่าวันหนึ่ง จะมีนักเตะจากแดนสยามบุกไปตะลุยแข้งได้อย่างเฉิดฉาย

จนกระทั่งเรามีชื่อของ ธีรศิลป์ แดงดา และผองเพื่อนนักเตะ ไปปักธงและยืนหยัดประกาศศักดาอยู่ที่นั่น จนกลายเป็นขวัญใจแฟนบอลแดนอาทิตย์อุทัยได้จริงๆ

ธีรศิลป์ แดงดา

     หลังจากที่ ธีรศิลป์ แดงดา ประสบความสำเร็จในบ้าน เขาก็ต่อสู้ดิ้นรนกับการค้าแข้งต่างประเทศมาตลอด มีผิดหวังมากกว่าสมหวัง เคยถูกปรามาสไว้เมื่อครั้งที่ไป แมนฯ ซิตี้ สมัยที่ทีมเรือใบมีเจ้าของเป็นคนไทย รวมถึงการได้รับฉายาว่า ‘ผู้บอบช้ำจากสเปน’

     ในปีนี้เขาเป็นหนึ่งในห้านักเตะไทยร่วมกับ ชนาธิป สรงกระสินธ์ (คอนซาโดเล ซัปโปโร) ธีราทร บุญมาทัน (วิสเซล โกเบ) จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์ (เอฟซี โตเกียว) และ เชาว์วัฒน์ วีระชาติ (เซเรโซ โอซากา) ที่มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองยัง J League ที่เปรียบเสมือนบันไดขั้นต่อไปสู่การไปตะลุยฝันค้าแข้งยังฝั่งยุโรป

     การจับตาดูเขาอยู่ห่างๆ ระยะทาง 2,454.48 ไมล์ นับว่าคงไม่ไกลเกินไป ที่จะร่วมกันลุ้นว่า ‘สำเร็จ’ หรือ ‘ล้มเหลว’ แต่สำหรับตัวนักเตะเอง ในฐานะ ‘นักฟุตบอลอาชีพ’ ขึ้นชื่อว่าการเล่นฟุตบอลในสภาพแวดล้อที่แตกต่างจากบ้านเกิดอย่างสิ้นเชิงนั้น ย่อมไม่ง่ายอยู่แล้ว…

     สำหรับ ‘มุ้ยซัง’ นี่คือโอกาสครั้งสำคัญของชีวิต ที่จะจุดไฟในตัวเขาให้ลุกโชนโหมกระหน่ำ

     ท่ามกลางอากาศอบอุ่นของ มิยาซากิ ระหว่างการเก็บตัวของ ซานเฟรซเช่ ฮิโรชิมา เรามีโอกาสได้พูดคุยกับศูนย์หน้าที่ว่ากันว่าเก่งที่สุด และมีโปรไฟล์การค้าแข้งที่เจ๋งสุดมากกว่าใครในอาเซียนยุคปัจจุบัน

     คอนนิจิวะ ‘ธีรศิลป์ แดงดา’

ธีรศิลป์ แดงดา

รู้สึกอย่างไรกับการได้โกอินเตอร์บนเส้นทางลูกหนังเป็นครั้งที่ 3

     ประสบการณ์แต่ละที่ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าวัฒนธรรมหรืออะไรก็แล้วแต่ ทุกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อย่างอังกฤษ มันก็เป็นแค่การไปช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไปอยู่แค่เดือนเดียวเอง ไม่ใช่การไปเล่นในลีกสูงสุดหรือได้เล่นในแมตช์ที่มีความสำคัญ มีแค่การฝึกซ้อมกับทีมสำรอง ความรู้สึกตอนนั้นคือเหมือนไปเก็บประสบการณ์ เข้าใจว่าตอนนั้นก็อายุยังน้อย

     ส่วนที่สเปน แน่นอนว่าได้เจอกับความเป็นมืออาชีพมากกว่าเดิม เพราะเราได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดใหญ่ของเขาจริงๆ ที่ อูเด อัลเมเรีย ก็อีกความรู้สึกถ้าเทียบกับที่อังกฤษ ด้วยอายุของเราที่มากขึ้น เป้าหมายก็ชัดเจนขึ้น เพราะเราต้องการลงเล่น

     พอมาครั้งนี้ก็แตกต่างออกไปจากสองครั้งก่อน ด้วยตัวเกมฟุตบอลเอง ด้วยประเทศเอง แต่ถามว่าต้องปรับตัวอะไรมากไหม ต้องบอกอย่างงี้ก่อนว่า การปรับตัวคือสิ่งที่นักฟุตบอลส่วนใหญ่ต้องเจอตลอด อย่างการไปเก็บตัวทีมชาติแต่ละครั้ง เปลี่ยนแคมป์ใหม่ หรือเจอโค้ชคนใหม่ ที่มีรูปแบบการเล่น การฝึกซ้อมที่แตกต่างไปจากเดิม ก็คิดว่าจริงๆ แล้วตัวเองก็อยู่ในสถานการณ์ของการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และปรับตัวตลอดอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่านี่ไม่ใช่ปัญหา
 

สองครั้งที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าไร และมีคนวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา สุดท้ายมันส่งผลอะไรต่อคุณโดยตรงบ้าง

     มีคนบอกว่าผมไปเพื่อขาย ส่วนตัวผมไม่ได้คิดหรอกว่าจะไปเพื่อขายข่าว หรือไปเพื่อการตลาด คิดแค่ว่าตัวเองไปแล้วจะได้เรียนรู้อะไรกลับมาบ้าง บางทีไม่ใช่แค่ว่ามีเงินก็สามารถก้าวไปอยู่ตรงจุดนั้นได้ ผมไม่ได้สนใจว่าเส้นทางข้างหน้าจะต้องเผชิญกับอะไร โอเค ผมไปเล่นอาชีพจริงๆ ได้เรียนรู้อะไรบ้าง จะเดินทางยังไง ได้เจอระบบอาชีพแบบไหน ไม่ได้แปลว่าเราเข้าไปในฐานะเด็กฝาก เพราะผมได้เข้าไปอยู่ในระบบเขาจริงๆ มุมดีๆ ที่ชัดเจนมากที่สุดก็นั่นแหละ ผมได้เรียนรู้คำว่า ‘ฟุตบอลอาชีพ’ จริงๆ

ธีรศิลป์ แดงดา

หลายคนพูดว่าเจลีกคือการเริ่มต้นครั้งใหม่ของคุณ แต่ในวัยที่คุณอายุใกล้แตะหลักเลขสาม กับเจลีก อะไรคือความรู้สึกแรกที่เข้ามาในการเริ่มต้นครั้งนี้

     ไม่ใช่การเริ่มต้นหรอก แต่เพราะมันคือฟุตบอลต่างหาก โอเค ตอนผมอยู่ในไทย ก็มีเป้าหมายในทุกๆ ซีซันอยู่แล้ว อยากจะคว้าแชมป์ อยากจะยิงประตู วางแผนว่าปีนี้จะเล่นยังไง อยากช่วยทีมในแบบไหน ทีมจะออกมาเป็นรูปแบบไหน ปีนี้ผมก็ยังมีเป้าหมายของตัวเอง เพียงแต่ว่าเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนสภาพแวดล้อมมากกว่า

     ผมพยายามโฟกัสเป้าหมายแบบจับต้องได้ เพราะผมเองก็คงตอบไม่ได้ว่าปีหน้าจะเป็นยังไง ปีหน้าจะย้ายไปอยู่ทีมไหน แค่อยากจะทำทุกๆ อย่างในปัจจุบันให้ดีที่สุด
 

การยิงประตูได้ในเกมอุ่นเครื่องช่วงพรีซีซัน ได้เพิ่มความมั่นใจให้กับคุณมากน้อยแค่ไหน

     แน่นอนว่าประตูนั้นทำให้มีความมั่นใจขึ้นมาอีกกระดับ แต่ว่าฟุตบอลไม่ใช่เพียงแค่การทำประตูได้เท่านั้น มันมีรายละเอียดเยอะมาก ซึ่งแบบ (ยิ้มเขิน) ผมก็ยอมรับว่ายังทำได้ไม่ค่อยดี โอเค มันแค่ยิงได้ แต่การเล่นร่วมกับเพื่อนร่วมทีม ความเข้าใจ การขยับหาช่องในแต่ละจังหวะมันยังไม่สมูธเท่าไหร่

     ก่อนผมจะย้ายมาซานเฟรซเช่ ฮิโรชิม่า ผมตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องลงเป็น 11 ตัวจริงให้ได้ มันเป็นธรรมชาติของนักฟุตบอลทุกคนอยู่แล้วที่อยากลงเล่น จนวันนี้เราเข้ามาอยู่ในทีม เรารู้สึกว่าอยากกลายเป็นส่วนหนึ่ง เราไม่ได้คิดว่ากองหน้าในทีมหรือคนที่มีบทบาทคล้ายๆ กันเป็นคู่แข่ง ผมมองว่าเขาคือเพื่อนร่วมทีมมากกว่า คือก่อนที่เราจะไปแข่งกับคนอื่น เรากับเพื่อนๆ ต้องหล่อหลอมให้เป็นก้อนเดียวกันก่อน

     มันคือการทำงานหนัก มันคือการทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมทีม ผมเองก็ต้องเรียนรู้วิธีการเล่นจากกองหน้าทุกคนในทีม การปรับจูนเพื่อทีม ถามว่าอยากเล่นไหม อยากเล่นสิ ผมอยากลงเป็นตัวจริง ก็ต้องทุ่มเททำทุกๆ อย่างให้ดีที่สุดเพื่อให้ทุกคนในทีมมั่นใจว่าเราดีพอที่จะได้รับโอกาสนั้น

ธีรศิลป์ แดงดา

คุณมีประสบการณ์ดวลกับนักเตะระดับท็อปๆ ของเอเชีย ส่วนตัวคิดว่าช่องว่างของฟุตบอลไทย กับระดับท็อปเอเชียต่างกันมากไหม

     ถ้าถามผมเรื่องของความต่าง… (ครุ่นคิดอยู่นาน) จริงๆ แล้วก็คือฟุตบอลเหมือนกันนะ มันไม่ได้ต่างอะไรมันมากมาย มันก็คือการเลี้ยง ส่ง โหม่ง ยิง ธรรมดานี่แหละ เพียงแต่ว่า ใครจะทำได้ดีกว่า ใครทำได้คุณภาพกว่า ใครทำได้เร็วกว่า รวมถึงสภาพร่างกาย และวินัยในการเล่น

     เรื่องฝีมือ ผมมองว่าถ้าในเอเชียเราสู้ได้ ไม่ใช่ว่าเราด้อยกว่าชาติอื่น เพียงแต่ว่าฟุตบอลเล่นเป็นทีม ไม่ใช่ว่าจะไปหวังใช้ความสามารถ หรือความเก่งของใครคนใดคนหนึ่งอยู่คนเดียวแล้วจะพาทีมชนะได้ มันต้องมีเพื่อนร่วมทีมที่ดี มีทีมที่ดี มีวินัยในการเล่น นั่นแหละความแตกต่างที่ผมมอง
 

สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณเรียนรู้จากฟุตบอลคืออะไร

     ฟุตบอลสอนผมทุกอย่าง ชัดๆ เลยก็คือวินัยในสนาม การปรับตัวใช้ชีวิตกับสังคมฟุตบอล ผมว่าสังคมฟุตบอลจริงๆ ก็เปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ เวลาไปเล่นในแต่ละที่เป็นประสบการณ์เป็นการเดินทางที่ทำให้เราได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ มันก็คือเส้นทางชีวิตรูปแบบหนึ่งที่ผมเอามาปรับใช้ในชีวิตจริง

     ถ้าเรามองว่าทุกอย่างคือการเรียนรู้ ฟุตบอลก็เป็นครูของชีวิต เพราะในสนามมันก็แค่ 90 นาที วันหนึ่งก็แค่สองชั่วโมง แต่นอกเหนือจากนั้นเราก็ยังสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ อย่าง วินัย การฝึกซ้อม การดูแลตัวเอง ถ้าเราอยากมีผลงานที่ดีเราก็ต้องตัวเอง มันเป็นการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องกันจากสนามฟุตบอลสู่สนามชีวิต

FYI

     J League เปิดฉากแล้วตั้งแต่วันนี้ (24 กุมภาพันธ์) อย่าลืมส่งกำลังใจให้ 5 นักเตะไทย กับการกรุยทางสู่อนาคตระดับทวีปของพวกเขา ร่วมกันลุ้นกันว่านักเตะไทยกลุ่มแรกจะปักธงที่แดนอาทิตย์อุทัยได้มั่นคงขนาดไหน

 

เรื่องและภาพ: Sansaicisco (สันทรายซิสโก)