Golf Fukking Hero

กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่: เรียนรู้และประคองตัวให้จบชีวิตได้สวยที่สุดโดยไม่ฆ่าตัวตายในสังคมแห่ง Hate Speech

ในแวดวงแร็ปเปอร์ไทย ชื่อของ กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ (F.Hero) เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ หนวดเคราครึ้มเข้ม กับสไตล์การแร็ปที่ทรงพลัง ถือว่าไม่เป็นสองรองใครในยุทธภพ

     ประสบการณ์ในการทำเพลงมาอย่างยาวนาน บทบาทอื่นๆ ในการรันวงการแร็ปไทยที่เขาได้รับ รวมไปถึงการเป็นคุณพ่อที่แสนอ่อนโยนของเด็กหญิงตัวน้อยอย่างน้องชูใจ ต่างหล่อหลอมให้เขาเติบโตขึ้นในสายอาชีพ เขียนเนื้อเพลงได้คมคายและกระทบจิตใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่ว่าศิลปินคนไหนก็อยากให้เขาไปร่วมฟีเจอริงในเพลงด้วยสักครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะในยุคที่แร็ปเปอร์กำลังครองเมือง

 

กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่

 

     ไม่นานมานี้กอล์ฟโพสต์สเตตัสเล่าถึงประสบการณ์สุดพิเศษในการได้ร่วมฟีเจอริงกับวงไอดอลสายเมทัลระดับโลกของญี่ปุ่นอย่าง BABYMETAL ที่เขาได้มีโอกาสไปเขียนท่อนแร็ปเป็นภาษาไทยและร่วมร้องในเพลง PA PA YA!! พร้อมกับนำพาเสียงดนตรีไทยสไตล์อีสานเข้าไปผสมผสานจนกลายเป็นบทเพลงที่น่าสนใจ

     สารภาพว่าเมื่อเห็นเขาค่อยๆ ปรากฏกายบนเวทีพร้อมท่อนแร็ปภาษาไทยในมิวสิกวิดีโอของเพลงนี้ เราถึงกับขนลุกไปพร้อมๆ กับบรรยากาศของแฟนเพลงหลายหมื่นคนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานจนเต็ม Yokohama Arena 

     แต่เบื้องหลังกว่าที่กอล์ฟจะได้ขึ้นไปยืนหยัดเปล่งสำเนียงแร็ปเป็นภาษาไทยบนเวทีวันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย BABYMETAL เป็นวงที่มีฐานแฟนเพลงทั่วโลก และเป็นที่จับตามอง การมีศิลปินแปลกหน้าสักคนไปร่วมฟีเจอริงในเพลงด้วย โดยเฉพาะกับภาษาไทย จึงต้องผ่านด่านสำคัญอย่างการยอมรับจากแฟนเพลง ยิ่งมาเจอประเด็นที่บทเพลงหลุดออกไปสู่โลกภายนอกก่อนวันที่ทางทีมงานวางแผนจะเปิดตัวเขาให้สาธารณชนเห็นในคอนเสิร์ต ยิ่งเป็นชนวนให้แฟนเพลงเริ่มตั้งคำถามถึงตัวเขา ลุกลามไปถึงการโจมตีด้วย Hate Speech ต่างๆ นานา ถึงขนาดที่ทำให้เขาตั้งใจจะขอถอนตัวจากการแสดงในวันนั้น และขอให้ทางค่ายตัดท่อนแร็ปออกจากเพลงไปทั้งหมด

     “ในทวิตเตอร์ด่าผมเต็มไปหมด เขาเรียกเราว่า ‘The guy who ruin BABYMETAL song’ แล้วตั้งแฮชแท็ก ทำเป็นรูปการ์ตูนล้อเลียนผมทำนองว่า ‘อ๋อ เพลงดีใช่ไหม เดี๋ยวกูจะทำลายมันเอง’”

     อย่างไรก็แล้วแต่ กำลังใจจากคนรอบข้างและผู้ร่วมงานฝั่งญี่ปุ่น คือสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เขาทลายกำแพง Hate Speech ลงไปได้ ก่อนจะขึ้นไปยืนหยัดแสดงให้โลกได้เห็นไรห์มแบบไทยๆ ที่เขาได้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ขึ้นในบทเพลง หลังจากการแสดงวันนั้น Hate Speech ที่มีในโลกโซเชียล กลับกลายเป็นคำชื่นชมในตัวศิลปินแร็ปชาวไทยคนนี้ทันที

     บทเรียนสำคัญหลังเหตุการณ์ที่ผ่านมาย้ำเตือนกับเขาอีกครั้งว่า โลกโซเชียลฯ เป็นดาบสองคมที่ต้องระมัดระวังทั้งคนโพสต์และคนเสพ เพราะมันเต็มไปด้วย Hate Speech ที่พร้อมจะทำลายคนคนหนึ่งให้ราบคาบลงได้ด้วยคำพูดหรือคอมเมนต์

     “ผมรู้สึกว่าการเล่นอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องที่เหมือนการขับถ่ายในส้วม อะไรที่อยู่ในนั้นแล้วก็จะอยู่ในนั้นตลอดไป เพราะฉะนั้น จากนี้ไปผมถึงคิดมาตลอดว่า จะโพสต์อะไรลงไปแต่ละทีต้องคิดแล้วสามสี่ตลบว่าดีหรือไม่”

     เมื่อโลกแต่ละยุคต่างก็มีปัญหาให้ต้องเผชิญ สิ่งที่เราพอทำได้คือการพยายามประคับประคองจิตใจและระมัดระวังก่อนที่จะลงมือโพสต์อะไรก็ตาม โดยเฉพาะในโลกโซเชียลฯ ที่ทุกอย่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนบางครั้งขาดการกลั่นกรองถึงผลที่จะตามมา ประเด็นสำคัญที่สุดจะเป็นการระลึกไว้เสมอว่าโลกโซเชียลฯ เป็นเพียงแค่โลกเสมือนจริงเท่านั้น อย่าได้พึงเอาชีวิตทั้งหมดของเราไปฝากไว้

“ถ้าข้างในนั้นมันหนัก ก็ออกมาข้างนอกซะ” น้ำเสียงหนักแน่นของศิลปินแร็ปบอกกับเราในช่วงหนึ่งของบทสนทนา

 

 

ช่วยเล่าให้เราฟังทีว่าโอกาสในการฟีเจอริงกับ BABYMETAL เกิดขึ้นได้อย่างไร

     ทุกอย่างเริ่มจากคุณ Key Kobayashi ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและโปรดิวเซอร์ของวง BABYMETAL อีเมลมาหาผู้จัดการผม และบอกว่าอยากเชิญมาพูดคุยเพื่อร่วมงานกัน ทีแรกผมก็คิดว่า เอ๊ะ เรื่องจริงหรือเปล่า ใครมาอำหรือเปล่า แต่พอไปค้นหาชื่อในอินเทอร์เน็ตจึงรู้ว่าเขามีตัวตนจริงๆ ตอนไปเจอตื่นเต้นมาก วันนั้นได้เจอกับคุณ Takeshi Moteki ซึ่งเขาเป็นเหมือนผู้บริหารของค่ายที่นู่นด้วย เขามาด้วยตัวเองเลย แล้วเราก็ได้นั่งคุยกัน

     รายละเอียดและไอเดียในการทำเพลงเริ่มจากตอนที่เขามาเที่ยวประเทศไทย และชอบบ้านเรามาก เขาก็เลยอยากจะทำเพลงเกี่ยวกับมะละกอ ทีแรกเขาบอกว่า Papaya ผมยังงงว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะไม่เคยคิดว่าจะมีธีมที่เอามะละกอมาทำเป็นเพลงได้ ทีนี้เขาก็เปิดเดโมให้ฟัง แล้วก็มีท่อนที่ร้อง “Papaya Papaya Papaya…” ผมก็ อ๋อ ส้มตำใช่ไหม เขาก็บอก ใช่ เขาอยากให้มีความ Spicy มีความ Summer ซึ่งผมคิดว่าถ้าอย่างนั้นก็ลองแจมกันดู ผมก็เสนอเขาไปว่ามีพิณอีสาน มีเครื่องดนตรีอีสาน เพิ่มด้วยน่าจะดีนะ ซึ่งเขาก็รับฟังเราดีมากๆ

 

เขาบอกคุณไหมว่าทำไมถึงเลือกคุณ

     ตอนที่เขาคิดจะทำเพลงนี้ เขาพยายามหาแร็ปเปอร์ไทย แล้วก็นั่งไล่ฟังไปเรื่อยๆ แต่เขาบอกว่าชอบเสียงของผม อีกอย่างคือคาแรกเตอร์ผม เขาคิดว่าถ้าอยู่กับ BABYMETAL แล้วมันขัดแย้งกันดี (หัวเราะ)

     ตอนที่รู้ว่าจะได้ร่วมงานผมตื่นเต้นมาก เพราะจริงๆ ผมเคยฟัง BABYMETAL มาบ้าง อาจจะไม่ใช่สาวกขนาดนั้น แต่แน่นอนว่าต้องรู้จักเพราะว่าเป็นวงที่ดัง แล้วผมชอบเพลง Catch Me if You Can เพราะรู้สึกว่าแปลกดี ตอนแรกที่ได้ฟังเพลงนี้ก็ได้ยินเสียงว้าก (เสียงเมทัล) ผมก็คิดว่า อ๋อ คงเป็นเอกลักษณ์ของวง เขาคงอยากให้เราไปแทนเสียงผู้ชายนั้น แต่ทีนี้พอไปฟังเพลงอื่นๆ ของวงก็ไม่ได้มีเสียงว้ากทุกเพลงนะ

 

อะไรคือความท้าทายในการร่วมงานกับเขา

     เราเจอกันครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ทำงาน คุยงาน ส่งงานผ่านอินเทอร์เน็ตหรือในไลน์เป็นหลัก ก็เลยค่อนข้างช้า เพราะต้องผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอน แต่ตอนทำงานในห้องอัดทุกอย่างง่ายมากเลยนะ

     ตอนที่เขียนแร็ปส่งไป เราตั้งใจเขียนแร็ปให้เป็นเสียงครกกับสากตำกัน ป๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ อะไรแบบนี้ คิดอยู่นะว่าเขาจะชอบไหม เขาจะเข้าใจไหม พอส่งไป ปรากฏว่าเขาไม่แก้อะไรเลย เขาบอกว่าดีแล้ว คุณแม็ก (ธิติวัฒน์ รองทอง) ที่เป็นโปรดิวเซอร์เรียบเรียงดนตรีอีสานส่งไป เขาก็ไม่แก้อะไร นัดอีกทีก็มาเจอกันที่สตูดิโอเลย แล้วเขาก็บินมาคุมการอัดเสียง รอบเดียวจบ ทุกอย่างง่ายมาก เหมือนเขาให้เกียรติความคิดและไอเดียเรามาก

      การทำงานค่อนข้างง่าย แต่เรื่องที่ยากที่สุดคือเรื่องกระแสที่โจมตีมา อย่างที่บอก ทีแรกผมนึกว่าวงมีเสียงผู้ชายมาโดยตลอด ซึ่งจริงๆ แล้วสมาชิกหลักเขาไม่ได้มีผู้ชาย เขามีน้องผู้หญิงสามคน ก่อนหน้านั้นน้องคนหนึ่งในวงก็ลาออกไปแล้ว พอเกิดเรื่องน้องคนหนึ่งลาออก แฟนเพลงเขาก็รออย่างมากว่าอัลบั้มใหม่จะกลับมาเป็นอย่างไร

     ทีนี้ทีมงานก็วางแผนกันหมดแล้วว่าจะเปิดตัวเพลงนี้วันที่ 28 มิถุนายน ในงานคอนเสิร์ตเปิดตัว ซึ่งทุกอย่างเก็บเป็นความลับหมด ขนาดผมกับภรรยาไปถึงญี่ปุ่นเร็วขึ้นเพื่อจะเที่ยวก่อน เขายังห้ามเราลงรูปเลย เพื่อที่จะรอไปเปิดตัวเราข้างบนเวที แต่เพลงดันหลุดไปก่อนประมาณวันที่ 24-25 คนก็ได้ฟังทั้งโลกเลย ทีนี้เขาก็เริ่มมีคำถามกันขึ้นมาว่า ‘ไอ้เนี่ยเหรอ จะมาแทนสมาชิกที่ลาออกไป’

 

ก่อนที่จะตัดสินใจร่วมงานกับ BABYMETAL คุณเคยมีความกังวลไหมว่าอาจเจอฟีดแบ็กโจมตีเช่นนี้

     ไม่ได้รู้สึกกังวลมาก่อนเลย ไม่ได้คิดว่าจะเป็นกระแสตีกลับขนาดนี้ อย่างที่บอกว่าผมก็รู้จัก BABYMETAL แต่ไม่ได้เป็นถึงขั้นสาวก ก็เลยไม่รู้ว่าแฟนเพลงเขาค่อนข้างจะแรง พอมาศึกษาจริงๆ จึงรู้ว่าแฟนเพลงเขาคล้ายๆ โอตะด้วยนะ นอกจากโอตะแล้วเป็นเมทัลด้วย เพราะฉะนั้น สุดยอดแล้ว

 

แล้วก็เป็นอย่างที่เห็น คือคุณโดนโจมตีจาก Hate Speech ในโลกโซเชียลฯ มากมาย สิ่งเหล่านี้รุนแรงหรือบั่นทอนคุณขนาดไหน

     ทีแรกผมไม่ได้สนใจ ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่เราทำงานตรงนี้ รู้อยู่แล้วว่าต้องมีทั้งคนชมและคนด่า จะให้เอาใจไปใส่คนด่าตลอดเป็นไปไม่ได้หรอก ในเฟซบุ๊กก็เริ่มด่า ปกติเราก็จะไม่เข้าไปอ่าน คือทางแก้ง่ายๆ เลย อย่าเข้าไปอ่านคอมเมนต์ก็จบ

     แต่ทีนี้ในทวิตเตอร์เริ่มมีการด่าถึงผมเต็มไปหมด เขาเรียกเราว่า ‘The guy who ruin BABYMETAL song’ แล้วตั้งแฮชแท็ก ทำเป็นรูปการ์ตูนล้อเลียนผมทำนองว่า ‘อ๋อ เพลงดีใช่ไหม เดี๋ยวกูจะทำลายมันเอง’ ปกติคอมเมนต์เฟซบุ๊กผมไม่เข้าไปอ่าน แต่ทวิตเตอร์จะเลื่อนๆ อ่านบ้าง คราวนี้พอเข้าไปดูก็เลยเห็นว่า โห มันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ ที่สำคัญคือหลายภาษา ปกติอยู่ในประเทศของเรา เจอแค่ภาษาไทยก็เฉยๆ อ๋อ โอเค วุฒิภาวะเขาคงเป็นแบบนั้น แต่ว่าอันนี้มาหลายภาษามาก ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส อาหรับ ไปจนถึงบาห์เรน ตกใจมาก โห มาจากบาห์เรนเลยเหรอวะ (หัวเราะ) ผมไม่เคยเจอหลากภาษาด่าขนาดนี้มาก่อน พอเจอก็เลยทำให้ผมตั้งคำถาม

     ปกติอยู่ในบ้านเรา คนด่าเป็นปกติ แต่อันนี้เราไม่รู้ เพราะเราเอาภาษาไทยไปใส่ในเพลง แล้วก็โดนคนหลากประเทศด่า ผมก็เลยมาคิดว่า เอ๊ะ หรือเราไม่เหมาะสมจริงๆ ภาพเราอาจจะดูไม่ดี สไตล์เราอาจไม่ใช่ระดับสากล หรือเรามันกระจอกจริงๆ คือ 98 เปอร์เซ็นต์ในทวิตเตอร์บอกให้เอาแร็ปเราออกไป เพราะเขาบอกเพลงนี้ดี ยกเว้นพาร์ตแร็ป

     อีกอย่างคือผมรู้สึกว่า ถ้ามันจะเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ อาจไม่ควรจะเป็นเรา แต่ควรจะเป็นคนที่เข้าใจภาษาอังกฤษอยู่บ้าง แต่อันนี้เราไม่เข้าใจอะไรเลย ภาษาอังกฤษพังมาก

 

กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่

 

ถึงขั้นที่ทำให้คุณคิดจะถอนตัวจากการแสดงที่ Yokohama Arena เลยใช่ไหม ตอนนั้นตั้งใจจริงๆ หรือเปล่าว่าจะไม่ขึ้นเล่นแล้ว คุณมีเวลาคิดถึงผลที่จะตามมาขนาดไหน

     ผมคิดแค่ว่าถ้าไม่ขึ้นจะดีกว่า เพราะหนึ่ง ผมไม่อยากให้เขาดูถูกบ้านเราอีกต่อไปแล้ว มันมีคำหลายคำบอกว่า ‘นี่เหรอแร็ปภาษาไทย’ ‘ทำได้แค่นี้เหรอ’ แล้วผมรู้สึกว่าถ้าเป็นคนอื่นไปทำจะดีกว่าไหม ผมรู้สึกว่าไม่คู่ควรเลย ถ้าออกไปแล้วคนอื่นต้องด่าประเทศเราขนาดนี้ ไม่ไปดีกว่าไหม คือกลายเป็นว่าผมไปทำให้เขาขายหน้าหรือเปล่า ผมเอาสกิลแย่ๆ ของตัวเองที่คิดว่าเจ๋งมากไปทำให้ประเทศชาติขายหน้าหรือเปล่า ตอนนั้นคิดแค่นี้ แต่ก็ได้มีการปรึกษาพี่มอย (สามขวัญ ตันสมพงษ์) กับพี่บอล (ต่อพงศ์ จันทบุบผา) ซึ่งเป็นบอสที่ค่าย What the duck ทุกคนก็บอกไม่มีอะไรหรอก แต่ผมก็ยังไม่เคยไปบอกทางญี่ปุ่นนะว่าอยากให้เขาถอนตัวเราออก

 

แน่นอนว่าบุคคลที่มาช่วยพูดให้กำลังใจคุณคือแสตมป์ เล่าเบื้องหลังที่คนอาจไม่รู้ให้เราฟังหน่อยว่าการพูดคุยครั้งนั้นเป็นอย่างไร สำคัญขนาดไหน

     ผมตัดสินใจปรึกษาคุณแสตมป์ (อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข) เพราะว่าเขาเป็นศิลปินที่เซ็นสัญญาค่ายเดียวกับ BABYMETAL (Toy’s Factory) ผมถามเขาว่า ปกติแล้วเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ค่ายเขาต้องทำยังไง แสตมป์ก็เล่าให้ฟังว่า “เฮ้ย คนที่ควรจะแคร์คือคนที่เลือกเรา ถ้าที่ญี่ปุ่นเลือกแล้วคือเลือกนะ เขาคิดมาดีแล้วไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้าทำ ถ้าเขาจะไม่เลือกคือเขาไม่เลือก ต่อให้ทำมาเป็นโปรเจ็กต์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน อยู่ๆ ถ้าเขารู้สึกว่าออกไปแล้วไม่เหมาะสม เขาก็พร้อมจะล้มตลอด แต่ถ้าเลือกแล้ว ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะทำ” ผมก็เลย โอเค ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็จะไปที่โยโกฮามา เพราะว่าเขาเลือกเราแล้ว

     ตอนนั้นผมก็คิดก็ย้อนกลับไปว่า เฮ้ย เขายอมรับไอเดียเราหมดเลยนะ ที่เคยเสนอไอเดียเครื่องดนตรีอีสานไป ซึ่งจริงๆ เขาไม่ต้องฟังเราก็ได้ แต่เขาก็กลับไปศึกษาดนตรีอีสานจริงๆ เขากลับไปศึกษาโปงลาง เขากลับไปศึกษาพิณ แล้วเขาก็ส่งไอเดียกลับมา ค่อยๆ ช่วยกันตัดทอน เป็นแบบนั้นแบบนี้ เพราะฉะนั้น เขาให้เกียรติบ้านเรา เขาให้เกียรติเรา โอเค ไป ใครจะด่าอะไรไม่รู้แล้ว ผมจะไป

     วันที่ไปโยโกฮามาผมเดินทางไปกับพี่มอย พี่บอล ผมก็ให้พี่ๆ ช่วยแปลให้เขาฟังว่า ตอนนี้คนเกลียดผมมาก กระแสคนโจมตีผมมาก เขาก็หัวเราะแล้วบอก “ไม่มีอะไร ปกติ” (หัวเราะ) ผมเคยมานั่งคิดดูตอนที่ทุกอย่างมันผ่านไปแล้วนะ ว่าในวันที่เขาทำ BABYMETAL เขาน่าจะโดนมาหนักกว่าเรา เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่หลุดกรอบไปเลย คือเอาไอดอลมาใส่เมทัล ตอนนั้นคนเมทัลจริงๆ คงจะไม่ชอบเขาอยู่แล้ว แต่เขาก็ต่อสู้จนกลายเป็นกระแส กลายเป็นที่ยอมรับของทั้งโลก แปลว่าแรกๆ เองเขาก็ต้องอดทนกับคำด่า คำเสียดสี แบบนี้มาโดยตลอด ผมก็เลยบอกคุณ Key ว่า “ผมไม่รู้ว่าข้างนอกจะเป็นอย่างไร แต่ขอบคุณมากๆ ที่เลือกผม วันนี้ผมจะทำให้ดีที่สุด”

 

ช่วงก่อนแสดงที่คุณ Key มาตบไหล่บอกว่า ‘You are my pride’ มันปลดปล่อยคุณจากความกังวลขนาดไหน

     เหมือนเขามาให้พลังเลย คือเขารู้ว่าเรากลัวมาก ผมก็สู้นะ แต่ก็มีความกลัวในจิตใจ ผมจินตนาการไปต่างๆ นานาเลยว่า ‘เชี่- ถ้ากูทำไม่ดี เขาจะเอารองเท้าเขวี้ยงกูไหมวะ’ หรือ ‘ถ้าเกิดเป็นกระแสที่เขาโห่ไล่แล้วเราจะรู้สึกยังไง’

     ผมจำได้เลยว่าตอนขึ้นไปซาวนด์เช็ก ผมก็เอา Earplugs (อุปกรณ์ป้องกันเสียงสำหรับนักดนตรี) ใส่ขึ้นไป เวทีก็ยกขึ้นมา เขาบอกว่าคุณรอตรงนี้นะ ขึ้นตรงนี้นะ พอเวทียกขึ้น คุณก็แร็ปไปนะ ผมก็คิดว่า โห วงระดับนี้จะต้องซ้อมนานแน่ๆ ผมไม่เคยเจอเขามาก่อนเลย ได้เจอเขาวันนั้นวันแรก ผมก็ขึ้นไป แร็ปๆๆ เอ้า ลงมา เขาขออีกที แร็ปๆๆ ลงครับ จบ… หา แค่นี้เลยเหรอ เอาแค่นี้จริงๆ เหรอ เขาก็บอก แค่นี้แหละ จบแล้ว ลงได้ (หัวเราะ) ผมก็แบบ อ้าว ฉิบหาย กลัวมากเลย ซ้อมแค่นี้จริงเหรอ แล้วอีกสามชั่วโมงต้องขึ้นจริงแล้วนะ กลัวๆๆ อยู่ในห้องพักก็กลัวๆๆ ซ้อมๆๆ (หัวเราะ)

     เขาคงเห็นแหละว่าผมกังวล ก่อนขึ้นเวที ตอนที่ผมถ่ายรูปกับน้องๆ BABYMETAL เสร็จ เขาก็เดินมาบอก “You are my pride” คือคนที่สร้าง BABYMETAL เลือกเราแล้ว เหมือนคุณพ่อเขาเลือกเรามาร้องกับลูกสาวเขา วงก็เลือกเราแล้ว ทีมงานทุกคนที่ญี่ปุ่นเลือกเราแล้ว ผมก็คิดว่า เอาวะ ใครจะโห่ไล่ ใครจะเกลียดอะไร มา เข้ามาเลย

 

เราเห็นในมิวสิกวิดีโอ บรรยากาศคนดูเดือดดาลมาก จริงๆ แล้ววินาทีที่คุณอยู่บนเวทีเป็นอย่างไร

     วันนั้นพอเวทียกขึ้นปุ๊บ ผมยืนร้องอยู่บนนั้นแค่สองนาที แต่รู้สึกว่าเป็นสองนาทีที่ยาวมาก ข้างหน้าแม่งโคตรเดือดเลย เรารู้ว่าเขาสนุกมาก ไปๆ มาๆ ผมก็ เฮ้ย สนุกเฉยเลย พอลงเวทีมาปุ๊บ มันคือเหตุการณ์ที่เหมือนเพิ่งนั่งรถไฟเหาะมา หัวใจเต้นตุบๆๆๆ ลงเวทีมารอบแรกผมเข้าห้องน้ำอ้วกเลย รู้เลยว่าใช้พลังเยอะมาก คือพลังร้องไม่เท่าไหร่ แต่มันคือพลังความกลัวที่เหมือนแบกน้ำหนักสิ่งนี้ขึ้นเครนไป โอ๊ย แล้วลงมาก็อ้วกแตก แต่ก็เริ่มมีคำชมเข้ามาเป็นภาษาญี่ปุ่น ผมก็ให้ไกด์ที่มาด้วยแปลให้ฟัง ผมก็รู้ว่าเขาชมกันใหญ่เลย พอวันที่สองเริ่มผ่อนคลาย เริ่มสบายขึ้น พอลงมาก็ปกติ

     พอจบสองรอบปุ๊บ ไม่มีคำด่าอีกเลย หรือว่ามีก็น้อยมาก กลายเป็นว่าแฟนเพลงจริงๆ ของ BABYMETAL น่ารักมาก ให้เกียรติเรามาก เหมือนที่คุณ Key ให้เกียรติเรา เหมือนที่วงให้เกียรติเรา เหมือนที่ค่ายให้เกียรติเรา แฟนเพลงตัวจริงเขาให้เกียรติเราเหมือนอย่างที่ทุกคนทำหมดเลย เขามีคำหนึ่งบอกว่า ‘Fox god choose you’ เหมือนเขาจะมีความเชื่อว่าเทพจิ้งจอกของเขาเป็นคนเลือกเรามา ผมก็เลยคิดว่าสักวันหนึ่งอยากไปสักการะเทพจิ้งจอกของเขาเหมือนกัน

 

ถือเป็นคำชมที่จำได้ดีที่สุดเลยหรือเปล่า

     ใช่ๆ และอีกคำที่ผมชอบมากเป็นชื่อเพลง No Rain, No Rainbow ของ BABYMETAL ซึ่งคำนี้ผมก็เอาไว้ใช้ปลอบตัวเองเหมือนกันว่า เออว่ะ ถ้าเรายอมแพ้ฝนไปตั้งแต่ตอนนั้น วันนี้คำชมพวกนี้คงไม่ได้เห็นแน่นอน แล้วเราคงไม่ได้การยอมรับแบบนี้ คราวนี้คือการเอาภาษาไทยไปให้เขาฟังจริงๆ เพราะปกติการโกอินเตอร์เราจะคิดถึงการเขียนเพลงเป็นภาษาอังกฤษ แร็ปโดยชาวไทย แต่นี่คือคำไทยแท้ๆ

     มีอีกเรื่องหนึ่ง ผมจำได้ว่าเขาเล่นที่โยโกฮามาเสร็จ ยังไม่ทันร่ำลาอะไรกันมากมาย เขาก็ต้องเก็บของแล้วบินไปเล่นที่เทศกาล Glastonbury ที่อังกฤษเลย แล้วผมกลับมาถึงไทย เขาเล่นงานนั้นจบ พออีกวันก็มีคนส่งคลิปมาให้ดูว่าตอนเขาไปเล่นที่อังกฤษ ท่อนที่เราแร็ปก็ไม่มีคนไปแร็ป แต่ว่ามือกีตาร์เขาลีดเป็นเสียงพิณอีสาน โอ้โฮ นี่แหละ ที่ผมอยากเห็น คือเขานำความเป็นไทยไปเล่นอย่างภาคภูมิใจและเท่มาก เราเห็นมือกีตาร์เขาลีดเป็นพิณอีสานแล้วสเกลเดียวกันกับที่ผมแร็ปเลย นี่คือความภาคภูมิใจมากๆ เลยว่าจากนี้ไปเมื่อไหร่ที่เขาไปทัวร์ ซึ่งในตารางทัวร์เขาไปทุกทวีปทั่วโลกเลย แสดงว่าท่อนลีดพิณอีสานก็จะได้ไปถึงตามแต่ละที่ด้วยด้วย

 

 

คุณเคยคิดไหมว่าทำไมเพลงที่เกี่ยวข้องกับมะละกอหรือส้มตำที่เป็นของในบ้านเราถึงถูกใจชาวต่างชาติมาก

      ผมเคยคุยกับคุณนีโน่ที่เป็นโปรดิวเซอร์ฮิปฮอปในวันเดียวกับที่ปรึกษาคุณแสตมป์ด้วยว่า “เฮ้ย โน่ กูโดนเขาด่าเยอะมากเลย ทำยังไงดี แล้วก็ยังงงอยู่เลยว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะทำเพลงเกี่ยวกับส้มตำ แล้วทำไมเขาถึงเลือกกูวะ” โน่พูดมาได้น่าสนใจมาก เขาบอกว่า จริงๆ แล้วเราอาจจะอยู่กับส้มตำเสียจนรู้สึกว่ามันไม่เท่ คือเราอยู่ใกล้กับเรื่องนี้มากเกินไป อยู่ใกล้จนเป็นชีวิตประจำวัน จนอาจจะรู้สึกว่า เฮ้ย ส้มตำ บ้านนอกว่ะ โลคอลว่ะ แต่ในขณะเดียวกันที่คนที่อยู่ไกลกว่าเราอย่างญี่ปุ่นมาชิมแล้วเขารู้สึกว่า เฮ้ย อยากทำเพลงที่เกี่ยวกับส้มตำเว้ย (หัวเราะ)

     ถ้าเป็นบ้านเรา ทำเพลงเกี่ยวกับส้มตำไปคนก็อาจจะคิดว่า เฮ้ย จะดีเหรอ แต่สำหรับญี่ปุ่นเขามองว่า ถ้าจัดวางเรื่องนี้ดีๆ มันเท่ได้นะ ผมเลยเข้าใจคำเฉลยหมดเลยว่าทำไมเขาถึงมองเรา เพราะเราไม่ได้แร็ปอย่างที่ประเทศอื่นเขาแร็ป เราแร็ปอย่างที่เราเป็นเรา เราแร็ปแบบเสียงครกเสียงสาก ซึ่งฟังดูประหลาดมาก ผมยังรู้สึกเลยว่าไรห์มนี้ประหลาดดี เอ้า ลองดู ลองทำอะไรประหลาดๆ ดู ซึ่งปกติผมก็ไม่เคยทำอย่างนี้ พอไปอยู่ในพิณอีสาน ในเพลง เขาก็ยอมรับ มันก็เป็นความภาคภูมิใจว่าอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตเราได้ส่งพิณอีสานไปอยู่ใน Glastonbury สำเร็จ แล้วเล่นโดยคนญี่ปุ่นด้วยนะ (หัวเราะ)

 

พอเล่นจบ ทุกอย่างคลี่คลาย มองกลับไปคุณได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้บ้าง

     อย่างแรกเลยในแง่การทำงานกับคนญี่ปุ่นนี่ดีมากนะ ผมได้เห็นการตรงต่อเวลาของเขามากๆ สมมติเขาบอกเริ่มประมาณ 5 โมง 20 พอถึงเวลา ของทุกอย่างขึ้นเลย มหัศจรรย์มาก (หัวเราะ) ซึ่งไม่เคยเห็นอย่างนี้ในคอนเสิร์ตเรา อันนี้ผมไปนั่งดูอยู่หลังเวทีด้วย ได้เห็นว่าทุกอย่างตรงตามเวลาทุกนาที ไม่มีขาด ไม่มีเกิน บอกจะเลิกทุ่ม คนดูข้างนอกจะไม่รู้ แต่ผมจะเห็นในตารางว่าเริ่มกี่โมง จบกี่โมง ถึงเวลาเลิกปุ๊บ อย่างกับดีดนิ้ว ทุกอย่างหายวับเลย คนออกจากอารีนา เฮ้ย เป็นไปได้เหรอ มันเป็นไปได้จริงๆ นะ คือวินัยเขาสูงมาก

     สองคือการให้เกียรติ เขาจัดห้องพักให้อย่างดี จัดโรงแรมห้าดาวให้ จัด Business Class ให้เราบิน อันนั้นไม่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่เรารู้สึกประทับใจมากๆ คือผู้บริหารเขาทุกคน เดินเข้ามาสวัสดี เดินเข้ามาโค้งให้เราหมด ผมก็จะรู้สึกว่า โห ต้อนรับดีมาก ไม่ว่าเขาจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน เขาก็ให้เกียรติมาก กับอีกสิ่งที่ได้เรียนรู้คือ อย่าเข้าไปอ่านคอมเมนต์ รีบปิดมันซะ (หัวเราะ)

 

กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่

 

คุณผ่านการโดนใช้วาจาสร้างความเกลียดชังมา คิดว่ามันรุนแรงขนาดไหนต่อสังคมหนึ่ง เพราะบางทีเรายังเห็นคำพูดที่ว่า คนอีสานขี้เกียจ คนใต้น่ากลัว คนจีนสกปรก หรือคนอินเดียตัวเหม็น หรือทุกวันนี้ก็วาทกรรมแบ่งฝักฝ่ายทางการเมืองเต็มไปหมด

     อย่างแรกเลย การแสดงความเห็นเป็นสิ่งที่ดีนะ คือผมรู้สึกว่าในทางกลับกัน คอมเมนต์ที่ติบางครั้งช่วยก่อ เราห้ามติไม่ได้ เพราะในขณะนี้โลกเป็นแบบนี้ ทุกอย่างมาถึงตัวเราไว ซึ่งถ้ามองให้มันดี มันก็เป็นน้ำที่พยุงเรือได้เหมือนกัน ถ้าติเพื่อก่อ หรือถ้าด่าให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมทำอย่างนี้ล่ะ คุณทำอย่างนี้มันจะเป็นอย่างนี้นะ แล้วเรารู้สึกว่าเป็นเรื่องจริง เราก็ยอมรับนะ บางครั้งหลายคนคอมเมนต์ว่าทำไมเอาลูกมาถ่ายรายการ แล้วเขาก็บอกเหตุผลถ้าเกิดว่าเอาเด็กมาถ่ายรายการมันจะมีข้อเสียแบบนี้ตามมานะ ผมถึงพิจารณาลดโซเชียลฯ ของชูใจลง ซึ่งไม่ใช่ไม่ดีนะ มันสะท้อนหลายอย่างเหมือนกันในคำติ

     แต่คำด่าที่ทำเพราะวุฒิภาวะหรือทำเพราะการระบายอารมณ์ ทำเพราะรู้สึกว่ากดคนอื่นลงแล้วจะสูงขึ้น อันนี้น่ากลัว มีเพื่อนผมหลายคนเป็นซึมเศร้าเพราะเข้าไปอ่าน ช่วงหนึ่งที่ผมชอบเข้าไปอ่านก็รู้สึกจิตตกเหมือนกัน จนรู้สึกว่า… (นิ่งคิด) จากนี้ไปนะ สิ่งที่สอนผมที่สุดจากเหตุการณ์ BABYMETAL คือ งานของเราไม่ใช่การอ่านคอมเมนต์ งานของเราสมมติว่าจบในสตูดิโอหรือคอนเสิร์ตจบแล้ว ก็คือจบ ให้มองไปที่การงาน

     สมมติถ่ายรายการ The Rapper งานผมคือทำงานกับเวิร์คพอยท์ และทำงานเป็นโค้ช เรื่องในอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องที่ตามมาเท่านั้น ผมทำงานจบแล้วคือจบ พรุ่งนี้ต้องทำงานต่อ ถ้ามัวไปสนใจเรื่องในอินเทอร์เน็ตจะฉิบหายกันทั้งหมด เพราะฉะนั้น ท่องไว้ ใครจะด่าอะไรเรา อันนั้นเป็นเรื่องของเขา รับมาแต่คำติที่มีประโยชน์ รับมาแต่คำชมที่มีประโยชน์ แต่คำชมบางทีก็ไม่ดีเหมือนกันนะ ถ้าชมแบบไร้เหตุผลก็จะทำให้เหลิง ต้องประคองตัวไป นี่คือสิ่งที่ผมใช้สอนน้องๆ ในวงการมาตลอด ว่าเรื่องในอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราคืองานของเรา

 

ถ้าเกิดเราหลีกเลี่ยงที่จะเห็นคอมเมนต์ไม่ได้ล่ะ

     อย่างเช่นทวิตเตอร์ใช่ไหม ก็คงต้องท่องแล้วล่ะ (หัวเราะ) ท่องว่า ‘เคารพงานตัวเองให้มากที่สุด’ แต่ถ้าเราทำผิด เราก็ต้องยอมรับนะ บางอย่างถ้าเกิดว่าเขาด่าเพราะเราผิดจริงๆ เราก็ต้องปรับปรุงเรื่องนั้น

 

ดังนั้น Hate Speech อาจไม่ได้เป็นแค่การด่ากันอย่างรุนแรงเท่านั้น แต่รวมไปถึงคำพูดที่ใกล้ตัวมาก และเราเองก็ไม่ทันตระหนักถึง เช่น การพูดจาส่อเสียด ล้อเลียน หรือดูถูก

     มันใกล้ตัวและมีผลกับความรู้สึก เพราะจริงๆ แล้วทุกวันนี้เราอยู่ในโลกของโทรศัพท์มือถือมากกว่าโลกความเป็นจริง เราอยู่ในโลกของอินเทอร์เน็ตมากกว่า เราสไลด์กันทั้งวัน ตัวตนเราอยู่ในนั้นกันหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ถามว่ามีผลในนี้ไหม (ชี้ไปที่หัวใจ) มันมีผลต่อตรงนี้โดยตรง เขาอาจจะไม่ได้มาตีเรานะ อันนั้นมันเป็นทางกายภาพ แต่คำพูดมันมีผลในหัวใจไง การมีผลต่อข้างในมันน่ากลัวมากกว่านะ

 

เป็นไปได้ไหมว่าคนที่โดน Hate Speech อาจกลายเป็นคนที่พ่น Hate Speech เสียเอง

     เป็นไปได้ทั้งคู่ แล้วโลกน่ากลัวตรงที่คนไม่ได้มีแค่ตัวตนเดียวในอินเทอร์เน็ต บางทีเขาอาจจะมีบัญชีหลุม เราเห็นหน้ากันแบบนี้ คุณอาจจะมีบัญชีหลุมที่สร้างขึ้นมาอีกสิบตัวตนเพื่อเข้าไปสลับสับเปลี่ยนก็ได้ มันน่ากลัวตรงนี้ คือไม่รู้ว่าตัวตนจริงๆ แล้วเขาเป็นใคร ไอ้ชื่อโอมาตาคุ โอมาตาเกะ มันอาจจะเป็นเพื่อนเราก็ได้ อาจจะเป็นรุ่นน้องเราก็ได้ ซึ่งอาจจะอยากด่าเรา แต่ก็กลัวว่าเราจะรู้ว่าเขาเป็นใคร ซึ่งมันสามารถทำได้ ผมก็เลยไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ ประคองตัวกันให้รอดก็พอ

 

กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่

 

คุณคิดว่าจุดเริ่มต้นความคิดของคนคนหนึ่งที่จะมี Hate Speech มีต้นตอมาจากอะไร

     ต้นตอคือตอนนี้ทุกคนคิดว่าการให้ความเห็นเป็นเรื่องที่กูจะทำก็ได้ กูมีสิทธิ์ที่จะทำ ในยุคของอินเทอร์เน็ต ทุกคนเชื่อในสิทธิ์ของตัวเองอย่างมาก เพราะว่าพอเริ่มมีอินเทอร์เน็ต การแสดงความเห็นเป็นไปอย่างเปิดเผย แล้วทำที่ไหนก็ได้ ทำเมื่อไหร่ก็ได้ ทำโดยไม่ต้องบอกว่ากูเป็นใครยังได้เลย แล้วทุกคนก็เชื่อว่าตัวเองมีสิทธิ์ แน่นอนว่าทุกคนมีสิทธิ์ มันคือความอิสระ แต่ความอิสระตรงนี้น่ากลัวว่าสิทธิ์ของเรากำลังไปทำลายสิทธิ์ของคนอื่นหรือเปล่า ความอิสระนี้ไปทำลายความรู้สึกคนอื่นหรือเปล่า ทุกอย่างมีดาบสองคม อินเทอร์เน็ตทำให้คนกล้าพูดการเมืองกันมากขึ้น แต่ก็ทำให้ทุกคนกล้าด่ากันเรื่องการเมืองมากขึ้นเช่นเดียวกัน

 

ถ้ารู้ตัวว่าเรากำลังจะมีนิสัยอย่างนั้น เราจะมีวิธีระงับได้อย่างไร

     (นิ่งคิด) ไม่รู้แฮะ คือทุกวันนี้ไม่กล้าแสดงความเห็นอะไรเรื่องนี้ เพราะว่าตั้งแต่มีเรื่องอินเทอร์เน็ต แล้วก็มีการแสดงความคิดเห็นขึ้นมา ผมรู้สึกว่าการเล่นอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องที่เหมือนการขับถ่ายในส้วม อะไรที่อยู่ในนั้นแล้วก็จะอยู่ในนั้นตลอดไป เพราะฉะนั้น จากนี้ไปผมถึงคิดมาตลอดว่า จะโพสต์อะไรลงไปแต่ละทีต้องคิดแล้วสามสี่ตลบว่าดีหรือไม่ 

     โพสต์คำนี้ผิดปุ๊บ เฮ้ย คำนี้สะกดผิด ต้องรีบกลับไปแก้เลยนะ คือผมเป็นคนเล่นอินเทอร์เน็ตอย่างระมัดระวังมาก (หัวเราะ) เพราะว่าโพสต์ผิดคำเดียวชีวิตเปลี่ยนก็มี เฮ้ย มึงโพสต์ไว้อย่างนี้ อย่ามาแก้นะ ซึ่งบางทีเราไม่ได้ตั้งใจหมายถึงอย่างนี้เลย ตามมาแก้แล้ว แต่คนที่แคปแล้วเอาไปทำอะไรต่อมันก็มี ฉะนั้น จะทำอะไรต้องคิดแล้วคิดอีกอย่างมาก เพราะมันจะอยู่ในนั้นตลอดไป ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามไม่มีวันลบออก มันคือส้วมที่ไม่มีสายชำระ เพราะฉะนั้น จะระบายอะไรก็ต้องคิดดีๆ

 

เวลาจะโพสต์อะไรสักครั้งหนึ่ง ใช้เวลา คิด-ลบ-แก้ ขนาดไหน

     สังเกตดูว่า เวลาผมจะโพสต์อะไรที ผมจะโพสต์ดึก ตีสามตีสี่เลย มันคือช่วงที่ยังไม่มีใครอ่าน แล้วผมก็จะอ่านมันซ้ำๆๆ แก้คำนี้ ดูว่าตรงไหนมีสิทธิ์สุ่มเสี่ยง กว่าทุกคนจะตื่นมาอ่านก็หกโมงนู่น (หัวเราะ) ซึ่งผมจะใช้วิธีนี้ เพราะมันอันตรายจริง

 

คุณเองมีลูกน้อย กังวลว่าลูกคุณอาจจะต้องเติบโตและถูกปลูกฝังในสังคมที่ Hate Speech เป็นเรื่องง่ายตามโลกโซเชียลฯ แบบนี้ไหม

     ผมคิดว่าเราชอบเอายุคสมัยของปัจจุบันมาบอกว่ามันเลวร้ายกว่ายุคสมัยของเรา ซึ่งในยุคสมัยของเรามันก็เลวร้ายมาก่อน จริงๆ แล้วโลกไม่ได้แย่ลงนะ อินเทอร์เน็ตทำให้เรารู้มากขึ้นต่างหากว่าโลกกำลังแย่ มันอาจจะแย่แบบนี้มาตั้งนานแล้ว อาจจะมีการฆ่าหั่นศพแบบนี้มาตั้งนานแล้ว อาจจะมี Hate Speech แบบอื่นมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าทุกวันนี้คนมีกล้อง พอคนตีกันปุ๊บก็ถ่าย หรือมีคน ‘ฮั่นแน่’ แล้วก็ถ่ายเลย ซึ่งฮั่นแน่เนี่ย แถวบ้านผมก็มีเป็นประจำ นึกออกไหม เพียงแต่ว่าทุกวันนี้เรารับรู้เรื่องนี้มากขึ้นมากกว่า

     เพราะฉะนั้น ผมบอกลูกตลอดว่า ยุคของลูกก็ยุคของลูก ยุคของพ่อก็ยุคของพ่อ ทุกอย่างบนโลกมันสีเทาหมด เอาตัวยังไงให้รอด สิ่งที่ผมจะสอนคือไม่ใช่ว่าผมจะต้องไปนั่งกลัวมัน ผมจะต้องมองบริบทของเด็กยุคนี้ว่า อ๋อ เขาเป็นแบบนี้ อินเทอร์เน็ตมันเป็นอย่างนี้ สอนลูกว่ามันเป็นอย่างนี้ เทาๆ ไว้ อย่าไปขาวหรืออย่าไปดำ รู้สิ่งที่ดี รู้สิ่งที่ร้าย แล้วก็เลือกเอา แค่นั้นเอง รู้อยู่ว่าทำแบบนี้คนจะโพสต์ด่า ก็อย่าไปทำสิ โลกมันเป็นแบบนี้ แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องไปทำแบบนั้นซะหน่อย

 

ร้ายแรงที่สุดหากผู้คนยังใช้ Hate Speech มันจะนำพาสังคมไปถึงจุดไหน

     ผมว่าการที่แค่คำพูดสามารถทำให้คนตายได้นั่นก็น่าจะต้องเป็นเรื่องที่รุนแรงที่สุดแล้ว มีคนที่เป็นโรคซึมเศร้าแล้วพร้อมจะฆ่าตัวตายอยู่อีกเยอะ เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมไม่เคยเห็นโรคซึมเศร้าเลย ผมเพิ่งมารู้จักโรคนี้เมื่อประมาณห้าหกปีนี้เองว่ามันมีจริงๆ ซึ่งผมคิดว่าอินเทอร์เน็ตมีส่วนอย่างมาก ในการที่ทำให้คนสมัยนี้เป็นโรคซึมเศร้าสูง เพราะได้รับการกดลงไปเรื่อยๆ จนเหมือนการบูลลีทางสังคม ผมก็เลยรู้สึกว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวกว่าการที่คำพูดเราไปฆ่าคนแล้ว ถึงเราจะไม่ได้เอามีดไปแทงเขาเอง แต่เราก็ทำให้เขาตายได้ด้วยคำพูด

 

กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่

 

มันทำให้สังคมทุกวันนี้ทุกข์ง่ายขึ้น เศร้าง่ายขึ้นไหม เพราะเราเห็นคนฆ่าตัวตายกันง่ายมากๆ

     ทุกข์ง่ายขึ้น แล้วก็การกลั่นกรองก็น้อยลง สาเหตุคือทุกอย่างกลั่นกรองมาให้หมดแล้ว เมื่อก่อนเวลาคุณจะต้องไปหาเรื่องของโสคราตีส คุณจะต้องเข้าห้องสมุด ซึ่งต้องเดินทาง ขับมอเตอร์ไซค์ไป เข้าไปหาบรรณารักษ์ ถามว่าโสคราตีสอยู่ไหน หยิบมาเล่มหนึ่ง เป็นเล่มปรัชญากรีกและโรมัน ต้องเปิดนั่งหา

     แต่ทุกวันนี้คุณพิมพ์โสคราตีส โสคราตีสขึ้นมาให้คุณทั้งหมด คุณไม่ต้องกลั่นกรองอะไรแล้ว ทำให้สมองไม่ต้องคิดมาก พออะไรที่ไม่ได้ใช้มันก็จะหายไป เหมือนเมื่อก่อนเราเป็นลิงมีหาง เมื่อหางไม่ได้ใช้ มันก็หายไป ตอนนี้คนกลั่นกรองน้อยลงๆ เพราะฉะนั้น จะรู้สึกเร็วขึ้น ซึมซับเร็วขึ้น ใจร้อนขึ้น มันถึงมีผลที่ว่า เฮ้ย เสียใจว่ะ ตายดีกว่า คือก็จะไม่คิดถึงว่า พ่อเราล่ะ แม่เราล่ะ หรือว่าเราอยู่ต่อดีวะ มันไม่มีการเดินทางแบบนั้นแล้ว ผมก็เป็นนะ เสียใจว่ะ ทุกข์ว่ะ ไม่ไปแม่งละโยโกฮามา เลิก อะไรแบบนี้

 

เราควรมีทัศนคติยังไงในการรู้เท่าทันหรือประคับประคองจิตใจในสังคมที่เต็มไปด้วยคำพูดแย่ๆ

     อย่างแรกเลยคือยอมรับก่อนว่ามันเปลี่ยนอะไรไม่ได้ ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นก่อน นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง โอเค ถ้าเปลี่ยนไปไม่ได้ สอง จะอยู่กับมันอย่างไรให้ประคองตัว ให้จบชีวิตได้สวยที่สุดโดยที่เราจะไม่ฆ่าตัวตาย

     เพราะฉะนั้น ผมจะบอกภรรยาเสมอว่า รู้ว่าในนี้เขาคอมเมนต์ไม่ดี อย่าเข้าไปอ่าน สมมติมีงานลูกค้า โพสต์จบแล้วจบ อย่าเข้าไปอ่าน รู้ว่าตำแหน่งนี้ไม่ดี ตำแหน่งนี้มีขี้กองเบ้อเริ่มเลย คนแม่งขี้ไว้ๆๆ รู้ว่ามันเหม็น อย่าเดินเข้าไปเหยียบ ออกไปซะ เราทำงานในดงขี้ เพราะฉะนั้น เอาของไปวางแล้วเดี๋ยวคนจะมาขี้ ก็ไม่ต้องเข้าไป หน้าที่เราคือวางเสร็จก็จบ

 

มีบางคนที่รู้สึกว่าพอโดนคำพูดแย่ๆ แล้วอยากตอบโต้มากๆ แต่สำหรับคุณการมองข้ามคือสิ่งที่ควรทำมากที่สุด

     ใช่ สำหรับผมการตอบโต้คือการจุดไฟลามทุ่ง ผมรู้สึกว่ามองข้ามไปเป็นเรื่องที่ดี อันนี้มองในฐานะศิลปินนะ ผมว่าศิลปินไม่ได้มีหน้าที่ในการออกไปตอบคำถามของคอมเมนต์ เพราะว่ามันเยอะ แล้วจะไม่สิ้นสุด ทางที่ดีคืออย่าตอบอย่างนั้น ถ้าเกิดว่าจะตอบ ไปคิดแล้วมาตอบกับนักข่าวทีเดียว หรือตอบในโพสต์ของตัวเองโพสต์เดียว ซึ่งผมรู้สึกว่าอย่างนี้ดีกว่า แต่เมื่อไหร่ที่ต้องไปตอบทีละเล็กละน้อย จะยิ่งบั่นทอนตัวเองไปเรื่อยๆ เพราะมันไม่รู้จักจบสิ้น

 

เคยคิดว่ามันทำให้คุณใช้ชีวิตเหนื่อยมากขึ้นไหมกับการที่ต้องระแวดระวังอยู่ตลอด

     ไม่เลย คืออย่างที่บอก ยุคไหนก็เหนื่อยนะ บริบทมันคนละยุค ถ้าไม่ได้มีอินเทอร์เน็ตผมอาจจะเหนื่อยอีกแบบ ผมอาจจะไม่มีแบบนี้ก็ได้ BABYMETAL จะไม่รู้จักผมเลยนะ เพราะเขาจะไม่สามารถหาได้ว่าผมคือคนไหน เสียงเป็นอย่างไร นี่คือข้อดีของมัน เพราะฉะนั้น มันก็เหนื่อยคนละแบบ

 

คุณอยากแนะนำอย่างไรกับกลุ่มวัยรุ่นในฐานะที่เขาเป็นกลุ่มที่ใช้โซเชียลมีเดียเยอะ แต่อาจจะยังมีวุฒิภาวะน้อย และรับมือกับ Hate Speech ในโลกออนไลน์ได้ไม่ดีพอ

     เรามีตัวตนอยู่ข้างในนั้นจริง แต่อย่าเอามันไปทิ้งในนั้นทั้งหมด คนที่ด่าผมในอินเทอร์เน็ตหมื่นคนพันคน ผมไม่เคยเห็นใครเดินเข้ามาพูดกับผมจริงๆ สักคน ต่อให้ผมท้านะ คือผมอยู่ในที่โล่งแจ้ง ผมโพสต์ตารางงานทั้งเดือน ตามหาผมไม่ยากหรอก จะตามฆ่าหรือตามกระทืบผมก็ไม่ยากเลย ถ้าเขาเจ๋งจริง เขาไม่โพสต์ในนั้นหรอก เขาเดินเข้ามาหาผมแล้ว

     แล้วคนที่เดินเข้ามาหาผมเพื่อที่จะด่าผม อันนี้ผมจะยิ่งนับถือ เพราะถือว่าเขาจริงใจแล้วก็กล้ามาพูดกับเราตรงๆ ว่าทำไมเขาถึงเกลียดเรา แสดงออกความเกลียดก็ยังแสดงออกอย่างเปิดเผย แต่คนในโซเชียลมีเดียนั้นไม่เปิดเผย เป็นใครก็ไม่รู้ แล้วนั่งอยู่ที่บ้านทำอะไรก็ได้ ไม่ได้มีความรู้สึกเลย คืออยู่ๆ อารมณ์ไม่ดีแล้วอยากระบายอะไรก็ระบายออกมาโดยไม่คิดหรือกลั่นกรอง ‘มึงมันแย่ ไอ้อ้วน มึงมันไม่คู่ควร’ อะไรแบบนี้ เขาจะทำอะไรก็ได้ ทุกอย่างมันเป็นในชั่วขณะจิตเดียว

     แต่ในโลกของความเป็นจริง ผมไม่เคยเลยนะ ร้อยคนพันคนหมื่นคนที่ด่าผม ผมไม่เคยเห็นใครเดินเข้ามาประจันกับผมสักคน ผมเลยอยากบอกว่า ถ้าข้างในนั้นมันหนัก ก็ออกมาข้างนอกซะ

 

เรายังมีความหวังที่จะเห็นสังคมดีขึ้นหรือมีความเข้าใจกันมากขึ้นบ้างไหม

     ผมว่าเราเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก เพราะในความเป็นจริง มีดำก็ต้องมีขาว มีขาวก็ต้องมีดำ เพราะฉะนั้น รู้ว่าอะไรดำอะไรขาวพอแล้ว สิ่งที่ผมพูดได้ก็คือบอกเล่ากัน แต่ทำได้จริงหรือไม่ในตัวผมยังยากเลย ต้องดูแลตัวเองกันให้หนักนะ เพราะมันน่ากลัว