‘อีกไกลแค่ไหนจนกว่าฉันจะใกล้… บอกที’
ท่อนฮุกของจากเพลงช้ายอดนิยมอย่าง ‘ไกลแค่ไหนคือใกล้’ ของ getsunova ที่เหมือนเป็นการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการให้คนฟังได้รู้จักเมื่อปี พ.ศ. 2555 กับสมาชิกอย่าง ‘เนม’ – ปราการ ไรวา นักร้องนำ, นาฑี โอสถานุเคราะห์ มือกีตาร์, ‘ณต’ – ปณต คุณประเสริฐ มือกีตาร์ และซินธิไซเซอร์ และ ‘ไปรท์’ – คมฆเดช แสงวัฒนาโรจน์ มือกลอง ก่อนจะตามมาด้วยเพลงฮิตอีกมากมาย และมีอัลบั้มแรกที่ชื่อ The First Album ในปี พ.ศ. 2559
แต่กว่าที่พวกเขาจะกลายเป็นวงคุณภาพที่มีเพลงฮิตติดหูมากมายเช่นทุกวันนี้ พวกเขาเคยเป็นวงที่เกือบจะเลิกเล่นดนตรี เพราะความกดดันที่ไม่สามารถทำเพลงให้ฮิตอย่างตั้งใจได้ รวมไปถึงการถูกแปะป้ายว่า ‘วงไฮโซ’ จากแฟนเพลงบางกลุ่มที่เป็นเหมือนภาพลักษณ์ซึ่งถูกสวมทับและพร้อมจะโดนเข้าใจผิดไปโดยปริยาย แต่เพราะความรักในเสียงดนตรี กับความเชื่อ และความฝันที่อยากพิสูจน์ให้คนเห็นว่าพวกเขาไม่ใช่แค่วงดนตรีทั่วไป พวกเขาจึงรวมพลังกันอีกครั้งและข้ามกำแพงที่ยากที่สุดมาได้
เพราะไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย
และวันนี้บนเส้นทางเดินที่ยาวไกลกว่า 12 ปี พวกเขากำลังเข้าใกล้อีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่สุดของวงอย่างคอนเสิร์ตใหญ่อย่าง getsunova Concert Atmosphere ในเดือนสิงหาคมนี้แล้ว
คอนเสิร์ตใหญ่ตอนนี้เตรียมการถึงไหนแล้ว
เนม: อยู่ในช่วงเตรียมการครับ ตอนนี้เรามีลิสต์เพลงที่เลือกกันได้แล้ว เริ่มวางโครงแล้วว่าเพลงไหนจะอยู่ส่วนไหนของคอนเสิร์ต ที่คิดไว้ก็จะมี 4 ส่วนหลักๆ คอนเสิร์ตเราใช้ชื่อว่า Atmosphere เราก็เลยพูดถึงชั้นบรรยากาศ เกทสึโนวาก็เหมือนพระจันทร์ อยากให้มันมีความรู้สึกเหมือนจะเดินจากพื้นโลกผ่านชั้นบรรยากาศไปสู่พระจันทร์ตามรอย นีล อาร์มสตรอง ซึ่งก็จะมีแขกรับเชิญแต่ละกลุ่มที่จะมาร่วมสร้างสีสันในแต่ละส่วน แล้วในคอนเสิร์ตก็จะมีมาสคอตที่ใส่หน้ากากเป็นตัวเดินเรื่อง คอนเสิร์ตครั้งนี้เหมือนเป็นเพอร์ฟอร์แมนซ์มากกว่าคอนเสิร์ตทั่วไป มันจะมีความเป็นเรื่องราวครับ
ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่จะมีเพลง ไกลแค่ไหนคือใกล้ ที่กลายเป็นเพลงสร้างชื่อให้วง ก่อนหน้านั้นบรรยากาศในวงเป็นอย่างไร
เนม: เราก็ปล่อยเพลงไปประมาณ 5-6 เพลง ก่อนจะถึง ไกลแค่ไหนคือใกล้ แต่เพลงเราก็ไม่ได้เป็นที่นิยมมากมายในช่วงนั้น งานก็ไม่ได้เยอะ คนก็ไม่ได้รู้จักเรามาก ไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนทุกวันนี้
ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะมีเพลง ไกลแค่ไหนคือใกล้ สำหรับวงหน้าใหม่อย่างเราตอนนั้นเคยคิดจะหยุดเรื่องดนตรี แล้วไปทำอย่างอื่นไหม เพราะอย่างที่ทราบ ทุกคนเองก็มีธุรกิจครอบครัวที่ดีอยู่แล้ว
เนม: ก็มีนะครับ มันเหมือนเป็นความจำเป็น ความจำใจ ที่เราพยายามทำงานตรงนี้แล้ว เราให้โอกาสมาหลายเพลงแล้ว ปล่อยมาหลายเพลงก็ไม่ดังสักที ก็คิดกันไว้ว่าถ้ายากขนาดนี้ มันอาจจะไม่ใช่ทางของเรา แต่ก็ยังมีความเชื่ออะไรบางอย่างว่าเราต้องทำได้สิ เราก็มีความฝันของเรา
ทุกวันนี้ยังให้ค่ากับคนที่มาพูดว่าเราเป็น ‘วงไฮโซ’ อยู่ไหม หรือมีมุมมองที่เปลี่ยนไปยังไงบ้าง
เนม: อันนี้พูดในมุมของผมเลยนะ คำถามนี้เป็นคำถามที่ถามมาตั้งแต่แรกเริ่มเลย จนทุกวันนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ ผมจะคิดว่า ‘เอาเลย’ คือไม่ได้จะพูดให้รู้สึกหมั่นไส้หรืออะไรนะ แค่รู้สึกว่าการที่เราถูกมองแบบนี้ หนึ่ง คือเราไม่ได้เลือกอยากจะเป็นอย่างนี้ สอง มันก็กลายเป็นความแตกต่างในสายตาของคนที่มองเข้ามา เพราะเราก็ไม่ได้อยากจะเป็นวงดนตรีทั่วไปที่คนไม่สามารถพูดถึงส่วนประกอบพิเศษอื่นๆ ให้กับเราได้ นึกออกไหม อย่างน้อยวงเราก็เป็นที่พูดถึงอะไรบางอย่าง ซึ่งมันก็จะติดอยู่กับเราไปตลอดนี่แหละ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือยอมรับมัน เพราะนี่คือเอกลักษณ์หนึ่งของวงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่เราเป็นแบบนี้ ก็ทำให้เราไม่เหมือนวงอื่น การที่เราไม่เหมือนวงอื่น ก็เป็นที่น่าจดจำมากกว่า
นาฑี: ผมว่าคำว่าลูกคนรวยมันถูกขยี้จนกลายเป็นวงที่ เฮ้ย วงเราดูมีคลาสนะ ดูมีสไตล์นะ ที่พี่เนมบอกว่ามันเป็นข้อดี ผมว่ามันเป็นเพราะแบบนั้นมากกว่า สุดท้ายไอ้คำว่าลูกคนรวยมันไปแตกหน่อออกเป็นข้อดีที่เราถูกมองว่ามีมูลค่ามากขึ้น มีแบรนดิ้งอะไรบางอย่างมากขึ้น คือสุดท้ายแล้วเราไม่ได้แบบ ‘โอ้ ดีมากเลย ที่ว่าเป็นลูกคนรวย’ แต่คำนั้นมันให้อะไรบางอย่างกับแบรนดิ้งของเรา
เพลง ไกลแค่ไหนคือใกล้ เปลี่ยนชีวิตวงมากขนาดไหน มันทำให้ต่อจากนั้นคุณทำเพลงง่ายขึ้นแล้วพร้อมจะฮิตทุกเพลงเลยหรือเปล่า
เนม: มันเปลี่ยนชีวิตเราเลย แต่แน่นอนว่ามันก็ไม่ใช่เพราะเพลงนั้นถึงทำให้เพลงทุกเพลงที่ปล่อยมาเป็นเพลงฮิต คือแต่ละเพลงที่ปล่อยออกมาก็มีความนิยมในตัวของมันเอง โดยที่ไม่ได้พึ่งพาเพลง ไกลแค่ไหนคือใกล้ มันจริงที่ไกลแค่ไหนคือใกล้เป็นเพลงที่ทำให้คนรู้จักเรา ทำให้คนอยากจะค้นหาวง อยากรู้จักเพลงต่อไปของเรา แต่ว่ามันไม่ใช่เป็นเพราะเพลงไกลแค่ไหนคือใกล้ ที่ทำให้ทุกเพลงต่อจากนั้นมันฮิต
ถึงตอนนี้เราได้เรียนรู้อะไรบ้างในการที่จะเริ่มต้นทำเพลงใหม่ๆ
นต: เราได้เรียนรู้ว่าเราควรจะต้องหาอะไรมาใส่ มาแต่งเติมวงตลอดเวลา มันต้องเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ จะย่ำอยู่กับที่ไม่ได้ ตอนเด็กๆ เราก็ไม่ค่อยเข้าใจนะ เวลาที่มีคำถามว่าวงที่เราชอบทำไมเขาต้องเปลี่ยนแนว ทำไมเขาไม่ใช่แบบเดิมที่เราชอบ ก็เริ่มเข้าใจในจุดนี้ว่า เออ มันไม่ใช่การทำแบบเดิม ย่ำอยู่กับที่ แล้วไม่ใส่อะไรใหม่เข้าไป เพราะความน่าสนใจ ความมีไฟในตัวของศิลปินเองจะค่อยๆ หายไปด้วยเช่นกัน ฉะนั้นถ้าขาดตรงนั้นไปก็จะรู้สึกว่ามันไม่มีความหมายเท่าไหร่ในการสร้างผลงานใหม่ๆ ขึ้นมา เกทสึโนวาก็เลยรู้สึกว่า ทุกๆ ครั้งที่เราจะปล่อยเพลง จะต้องมีเรื่องราวอะไรใหม่ๆ หรือมีความพิเศษอะไรบางอย่างที่ไม่ได้ย่ำอยู่กับที่ เพราะเราเดินหน้าไปเรื่อยๆ
พอเติบโตขึ้นมุมมองในการเขียนเพลงแตกต่างจากเมื่อก่อนไหม
นต: ถ้ามุมมองก็ไม่ได้เรียกว่าต่างหรือไม่ต่างนะ มันเป็นมุมมองที่ไปทิศทางเดียวกัน แต่กว้างขึ้นมากกว่า เราไม่ได้หันหลังกลับไป หรือไปในทิศทางอื่น เราก็ตรงไปเรื่อยๆ ครับ
เนื้อเพลงของเกทสึโนวามักพูดถึงการ ‘ออกไปใช้ชีวิต’ อยู่บ่อยๆ กระบวนการนี้มันสำคัญกับคนเราใช่ไหม
นต: แน่นอนว่าใช่ครับ แต่ในมุมของเราก็จะมีการพูดถึงความแตกต่าง การหาทางเลือกของตัวเองมากกว่า เพราะว่าในดีเอ็นเอของเกทสึโนวา เราไม่ใช่แบบพี่ยอด บอดี้สแลม ที่มาลีดกีตาร์ เราไม่ได้เก่งอะไรระดับนั้น เราไม่ได้มีเสียงสูงแบบพี่แหลม คือเราทุกคนเป็นนักดนตรีที่ชอบและรักดนตรี เพราะฉะนั้นเราจะหาแนวทางของตัวเองในวงมากกว่า คือเป็นวงร็อกก็จริงแต่เราไม่ได้ไปร็อกหนักสู้กับพี่ๆ คนอื่นเขา เราเป็นวงที่เอนเตอร์เทนกระโดดได้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ต้องไปกระโดดบอดี้เซิร์ฟแบบพี่ๆ วง Lomosonic อะไรแบบนี้ มันเลยจะพูดถึงการออกไปใช้ชีวิตที่ต้องมีทางเลือกของตัวเอง เราไม่ได้ต้องไปอิงเป็นเหมือนใครเขาให้ได้
พี่เนมเขาก็จะเคยพูดว่าเขาชอบพี่ป๊อด โมเดิร์นด็อก ชอบพี่น้อย วงพรู แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ออกไปเต้นแบบพี่ป๊อดหรือพี่น้อย ไม่ได้มีใครเปรียบเทียบด้วยซ้ำว่าพี่เนมกับพี่ป๊อดมาคู่กัน มันเป็นเรื่องอะไรแบบนี้ที่เราพยายามนำเสนอในเนื้อหาของเรา
พวกคุณเคยให้สัมภาษณ์ตอนช่วงที่ออกซิงเกิลที่สองว่าไม่อยากเป็นวงที่ One Hit Wonder ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ความคิดมันเปลี่ยนไปไหม
นต: ถามว่าเปลี่ยนไหม มันก็ยังติดอยู่สลักเดิมนะ ตอนนั้นไม่อยากเป็น One Hit Wonder แต่ตอนนี้ไม่อยากเป็น One Album Wonder (หัวเราะ) มันก็จะมีบางพวกที่ปล่อยอัลบั้มแรกแล้วอัลบั้มที่สองดรอป เราก็ต้อง เฮ้ย ไม่ได้ ผมก็มั่นใจว่าพอไปถึงอัลบั้มสามมันก็จะมีความรู้สึกเดิมแหละ เราก็รู้สึกว่าอยากจะเป็นเหมือนนักเตะที่ยิงประตูได้ทุกซีซันนะ ถ้ายิงไม่ได้ซีซันหนึ่งเดี๋ยวคนก็จะลืมเรา เราก็จะกลัว เพราะก็ไม่ได้เป็นพวกที่ตายใจแบบ ‘ยังไงล่ะ ฉันมีเพลงดังหลายเพลงแล้ว’ มันไม่ใช่ ก็ยังมุมมองเดิม คือยังอยากแต่งเพลงให้คนชอบ คนฮิต ยิ่งยาวไปมันก็จะยิ่งยาก เพราะเองก็โตขึ้น คือทุกยุคดนตรีมันก็เปลี่ยนไป มันเหมือนแฟชั่น เราก็ต้องแข่งกับตัวเองว่าฉันจะอยู่กับแฟชั่นของประเทศนี้ได้แค่ไหน
พูดถึงเพลงล่าสุด ‘ชีวิตที่มีชีวิต’ เบื้องหลังเพลงนี้เป็นอย่างไร
นต: จริงๆ อยากจะแต่งเพลงที่พาคนมาสนุก มากระโดดได้ เพราะว่าเกทสึโนวาอาจจะถูกจำได้ในโหมดเพลงช้า เพลงซึ้ง อกหักเสียส่วนใหญ่ เราก็อยากจะได้เพลงที่ออกไปเล่นแล้วคนมาสนุกด้วยกันได้ ร่วมกระโดดด้วยกันได้ แล้วไม่ค่อยมีเท่าไหร่ (หัวเราะ) ก็เลยนี่แหละ ต้องทำออกมา ข้อดีก็คือพอเราออกไปเล่นเพลงนี้ ขนาดเล่นแรกๆ ที่คนยังจำเนื้อร้องไม่ได้ แต่ว่าด้วยจังหวะที่มันสนุก คนก็สนุกตามได้ กระโดดตามได้ เหมือนใช้ดนตรีเป็นภาษากลาง
12 ปี ผ่านมาจนถึงวันนี้ คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งนี้มีความหมายยังไงกับพวกคุณบ้าง
ไปร์ท: ผมว่าการมีคอนเสิร์ตใหญ่ของวงครั้งแรกแม่งคือความฝันอีกอย่างของนักดนตรีทุกคนเลยนะ คือแน่นอนนักดนตรีที่ตั้งวงขึ้นมาสิ่งหนึ่งที่เขาอยากได้คืออัลบั้มของตัวเอง และผมเชื่อว่ามันต้องตามมาด้วยคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองแหละ ทุกคนมันต้องอยากมี ซึ่งมันเป็นถ้วยรางวัลอีกอันที่เรากำลังทำทุกอย่างเพื่อจะได้รับมัน แล้วมันก็เป็นเป้าหมายหนึ่งในชีวิตซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น ผมก็รู้สึกตื่นเต้น ดีใจ แล้วรู้สึกว่ามันมาในเวลาที่เหมาะสม เพราะถ้ามันมาก่อนเราปล่อยอัลบั้มแรกอาจจะไม่เวิร์กก็ได้ เพลงก็อาจจะยังไม่เยอะพอ ประสบการณ์ก็อาจจะไม่เยอะพอ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าเป็นจังหวะเหมาะสมแล้วที่จะมีคอนเสิร์ตใหญ่สักที
นาฑี: ตอนแรกก็ไม่เคยคิดว่าจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเอง แต่พอตั้งแต่เพลง ไกลแค่ไหนคือใกล้, คำถามซึ่งไร้คำตอบ กับ อยู่ตรงนี้นานกว่านี้ ก็เริ่มคิดแล้วว่า ยังไงวันหนึ่งก็น่าจะมีแน่ๆ แล้วแหละ เพลงมาแรงขนาดนั้น คือปกติแค่ไปเล่นคอนเสิร์ตเมื่อก่อนก็กลัวการขึ้นเวทีแล้ว การอยากเล่นคอนเสิร์ตใหญ่จึงไม่ได้เป็นอะไรที่ผมนับวันรอที่ เพราะจริงๆ แล้วคงเป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุดที่ต้องเจอ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นถ้าวันหนึ่งมีก็ดี แต่ก็ไม่เคยนับวันรอว่าเมื่อไหร่จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ ซึ่งตอนนี้กำลังจะมีแล้ว ก็ตื่นเต้นมาก
นต: สำหรับผมเป็นความท้าทาย เพราะน่าจะมีไม่กี่ประเทศในโลกมั้งที่จะมีคำว่าคอนเสิร์ตใหญ่ ผมเคยจะพยายามอธิบายให้ชาวต่างชาติฟัง เขาก็ไม่เข้าใจอะไรคือคอนเสิร์ตใหญ่ มันคือคอนเสิร์ตที่ต้องเป็นเรื่องเป็นราวแล้วต้องเล่นให้ได้ยาวๆ ต่างชาตินี่เราไปลากพวกระดับโลกมาก็มีไม่กี่คนที่ต้องทำอะไรแบบนี้ สองชั่วโมงอัพนะ แล้วต้องมีการเอาเพลงเก่าที่ไม่ค่อยได้เล่นมา มีการเอาแขกรับเชิญมา ผมว่ามันเป็นชาเลนจ์ระดับโลกเลยนะ (หัวเราะ) คือไม่ว่าคนดูจะเยอะหรือน้อย สิ่งที่ต้องทำบนเวทีมันมีความยาก ต้องเตรียมสคริปต์อะไรให้มันพอดีค่อนข้างเยอะมาก มันเลยเป็นอะไรที่ท้าทายครับ
เนม: ผมว่าคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองเป็นคอนเสิร์ตเพื่อสนองความต้องการอะไรก็ตามของวง ของเราทั้งสี่คน ในการที่จะได้มีโชว์ยิ่งใหญ่ของตัวเองครั้งหนึ่ง ที่เราต้องเตรียมการอะไรทุกอย่างเอง คิดเองหมดเลย เรามีส่วนร่วมในการคิดและสร้างสรรค์ในงานที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้มากที่สุดกว่าทุกโชว์ที่เคยได้เล่นมาก่อน ไม่ว่าจะเวทีใหญ่กว่า คนเยอะกว่าหรือน้อยกว่าก็ตาม นอกจากนั้นแล้วมันคือคอนเสิร์ตสำหรับแฟนเพลงของเกทสึโนวา และคอนเสิร์ตของเราที่จะโชว์ให้พ่อแม่พี่น้อง หรือเพื่อนเราที่อาจจะไม่ได้อินกับเพลงของเกทสึโนวามากมายได้มาเห็นว่าวันนี้เพื่อนมึงทั้งสี่คนนี้ได้ทำสิ่งนี้แล้วนะ
จากวันแรกที่เราแทบจะต้องไปขอร้องให้เขามานั่งฟังเราร้องเพลง จนวันนี้เหมือนเขาได้เห็นงาน เห็นผลผลิต ของทุกอย่างที่เราทำงานกันมา บางทีเขาก็จะมีคำถาม ‘เฮ้ย มึงจะร้องเพลงอีกนานหรือเปล่าวะ’ หรือ ‘มึงยังไงๆ’ ดังนั้นการที่เขาจะได้มาเห็นในวันนั้นมันจะเป็นคำตอบหรืออะไรบางอย่างที่ทำให้เขาเห็นว่า เฮ้ย พวกมึงแม่งของจริงว่ะ หวังว่าเขาจะคิดแบบนั้นนะ บางทีเขาก็ไม่ได้วิ่งตามไปดูเราทุกงาน แต่วันนั้นเขาจะได้มาเห็นทุกอย่างที่เราได้เตรียมการกันมาสิบกว่าปี จนเห็นเป็นรูปเป็นร่างเป็นเสียงเป็นภาพ ที่เขาจะได้เข้าใจว่า นี่แหละคือสิ่งที่พวกเราพยายามทำกันมาตลอดครึ่งชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นมันกดดันมาก ผมรู้สึกกดดันกับการที่จะต้องโชว์ให้คนกลุ่มนี้เห็นมากกว่าให้แฟนคลับเห็นด้วยซ้ำ เพราะว่าคนกลุ่มนี้ต้องใช้การโน้มน้าวใจมากกว่าแฟนคลับซึ่งเรามีรากฐานของคนที่ชื่นชอบเราอยู่แล้ว แต่การที่เราจะทำให้คนที่ไม่ค่อยได้ดูเรา หรือคนที่สนิทกับเรามากๆ อย่างเพื่อนสนิท น้องสาว พ่อแม่ ที่เห็นเราอยู่บ้านใส่กางเกงแพรเดินโป๊ คนที่เห็นเราในอีกมุมหนึ่งแบบนี้ ผมว่ามันต้องมีความซึ้งใจมากๆ ที่เขาได้เห็น แล้วเราก็คงซึ้งมากๆ ที่เราสามารถทำให้เขาเห็นเราเป็นแบบนี้ได้
จะหลั่งน้ำตาในคอนเสิร์ตไหม
เนม: หลั่งแน่นอน (พูดเสร็จหันไปคุยกับเพื่อนในวง) เฮ้ย ขนาดเมื่อวานตอนซ้อมอินโทรใหม่ กูน้ำตาคลอเลยนะ พูดจริงๆ มันตื้นตัน (เสียงเพื่อนแซวกลับ ‘เพราะมันเปลี่ยนอินโทรแบบใหม่สักทีใช่ไหม’ ตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างครึกครื้นทั้งวง) เออ คือมันฮึดว่ะ มันมาว่ะ
เราเชื่อแล้วว่ามันคงพิเศษมากๆ สำหรับพวกคุณ
เนม: พิเศษมาก คือการที่วงดนตรีจะมีคvนเสิร์ตใหญ่มันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแน่นอนมันต้องมีสปอนเซอร์ มีค่ายซัพพอร์ต มีสื่อซัพพอร์ต ทุกคนทำสิ่งนี้เพื่องานของเรา ทุกคนต้องยอมจ่ายเงินเพื่อมาดูเรา มันก็เป็นอะไรที่ซึ้งใจมากๆ
FYI
Chang Music Connection presents: getsunova Concert Atmosphere
วันที่: 25 สิงหาคม 2561 สถานที่: ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี
จำหน่ายบัตร: ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา / www.thaiticketmajor.com บัตรราคา: 3,000 / 2,000 บาท (บัตรนั่ง) และ 1,300 บาท (บัตรยืน)
รายละเอียดเพิ่มเติม: www.facebook.com/thegetsunova