Great Men Academy

Great Men Academy | ทบทวนนิยามสุภาพบุรษที่แท้ ผ่านมุมมองของสุภาพบุรุษทั้งสี่ที่เรากำลังเลิฟสุดๆ

เมื่อสี่หนุ่มดาวรุ่งที่มาแรงที่สุดตอนนี้อย่าง ‘เจเจ’ – กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม, ‘เจมส์’ – ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ, ‘กัปตัน’ – ชลธร คงยิ่งยง และ ‘ไอซ์’ – พาริส อินทรโกมาลย์สุต จากซีรีส์ Great Men Academy สุภาพบุรุษสุดที่เลิฟ มารวมตัวกัน เราก็ไม่พลาดที่จะนั่งคุยกันในประเด็นที่ว่าด้วยความสัมพันธ์อันหลากหลาย พร้อมกับเปิดบทสนทนาให้พวกเขาได้ถกเถียงกันถึงเรื่องความหมายของชีวิต

Great Men Academy

 

ครั้งแรกที่เราได้เห็นตัวอย่างของซีรีส์ Great Men Academy สุภาพบุรุษสุดที่เลิฟ ยอมรับเลยว่าบรรยากาศของความวายนั้นรุนแรงมากๆ ซึ่งในกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างก็เห็นไปในทางเดียวกัน ถามตรงๆ เลยว่าตั้งใจเซอร์วิสออกมาให้เป็นแบบนี้ใช่ไหม

     เจมส์: ไม่ถึงกับเซอร์วิสหรอก แต่เราก็ปูไว้เพื่อให้คนดูได้จินตนาการกันเอง เพราะจริงๆ แล้ว เนื้อเรื่องก็ยังเป็นความรักระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย เพียงแต่ถูกนำเสนอในมุมที่แฟนตาซีว่าผู้หญิงคนนั้นต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่ตัวเองเป็นผู้ชาย แต่เราก็ไม่ปฏิเสธนะถ้าใครจะมองว่าเป็นซีรีส์วาย เพราะก็ไม่ได้เป็นเรื่องผิด แต่เราเชื่อว่านอกจากความมุ้งมิ้งมันยังมีเส้นเรื่องที่สนุก มีข้อความที่อยากเล่า ซึ่งเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ต่างๆ ทั้งพ่อ แม่ ลูก เพื่อน พี่น้อง คนรัก ซึ่งมีประเด็นเหล่านี้อยู่บนเส้นเรื่อง แต่ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าเราปฏิเสธว่าเราไม่เอาวาย เราไม่ชอบวายหรือเปล่า

 

เรื่องของแฟนเซอร์วิสจริงๆ ก็มีมานานมากแล้วทั้งในมังงะหรือหนังญี่ปุ่น ซีรีส์เกาหลีต่างๆ บ้านเราเองก็มีให้เห็นมานานแล้วแต่รับรู้หรือดูกันอยู่ในกลุ่มเล็กๆ เมื่อถูกสร้างโดย Nadao Bangkok เราสงสัยว่าพอคนดูวงกว้างคุ้นชินกับซีรีส์แนวนี้แล้ว ต่อไปงานของพวกคุณจะหนักหนาเพิ่มขึ้นไหม เพราะคงต้องแสดงโดยคำนึงถึงความต้องการของสาวๆ บางกลุ่มด้วย

     เจเจ: ผมว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่การเซอร์วิสนะ ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เราต้องทำคือแสดงให้ดี มีการพัฒนาอยู่เสมอ ส่วนเรื่องจะจิ้นไม่จิ้นหรือจะเซอร์วิสไหมเป็นความพอใจของคนดู ถ้าคนดูพอใจก็เป็นความรู้สึกของเขา แต่ไม่ใช่ว่าเราจะต้องมาคิดว่าทำอย่างไรให้คนดูจิ้นให้ได้

     กัปตัน: เราไม่ได้ตั้งใจจะทำเป็นซีรีส์วายออกมาเพื่อสร้างกระแส ในการอ่านบทครั้งแรกพวกเราก็มีการถกเถียงกันว่าตกลงมันซีรีส์วายหรือเปล่า แล้วเราก็ปรับความเข้าใจกันว่านี่ไม่ใช่ซีรีส์วายนะ บทมันเป็นแบบนี้ ทุกอย่างมันมีจุดเริ่มต้นและดำเนินมาถึงจุดจบ ซึ่งจุดเริ่มต้นจริงๆ ก็คือผู้หญิงที่กลายร่างมาเป็นผู้ชาย

     เจเจ: ซีรีส์เรื่องนี้มี message ของมัน เพียงแต่ว่าผู้กำกับเขาอยากเล่าในแนวนี้ 

 

เราเชื่ออย่างหนึ่งว่าถ้ามุ่งมั่นแล้วก็ต้องไปให้สุด จะวายหรือไม่วายก็ตามเมื่อตกลงรับเล่นแล้วก็ต้องแสดงให้ถึงให้ได้

     เจมส์: ใช่เลย ผมรู้สึกว่าการทำซีรีส์วายก็ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ได้เป็นเรื่องแปลก แต่ช่วงนี้กระแสวายกำลังมา แน่นอนว่าคนคงมองว่าเราทำวายตามกระแส แต่ผมรู้สึกว่าซีรีส์นี้มีเส้นเรื่องที่ผู้กำกับเขาอยากเล่าในการที่ผู้หญิงได้กลายร่างเป็นผู้ชายแล้วเข้าไปในโรงเรียนชายล้วน ก็ยังยืนยันว่าเราไม่ได้ทำตามกระแส แต่เหมือนกับตอนที่นาดาวเคยทำฮอร์โมนฯ ซึ่งซีรีส์เรื่องนั้นก็ยืนยันได้ว่าไม่ได้ทำตามกระแส

     ไอซ์: เราตั้งใจในการแสดงจริงๆ อย่างเจมส์ที่ต้องเล่นเป็นผู้หญิง ซึ่งในการตีความไม่ใช่คิดจากความรู้สึกของผู้ชายไปชอบผู้ชาย แต่คือความรักของคนปกติแค่เขาอยู่ในอีกร่างหนึ่ง ตอนที่พวกเราจะรับเรื่องนี้ เราเห็นความแปลกใหม่ และความท้าทายในการแสดง

 

Great Men Academy

 

การเป็นคู่จิ้นคือความกระชุ่มกระชวยอย่างหนึ่งของแฟนๆ อยากรู้ว่าพวกคุณวางตัวเองกันไว้อย่างไรให้การแสดงออกนี้ยังในความพอดีไม่มากไปไม่น้อยไป

     เจเจ: ขึ้นอยู่กับคาแร็กเตอร์ของตัวละครมากกว่าว่าตอนนั้นตัวละครรู้สึกอย่างไร ไม่ใช่มาคิดว่าต้องเล่นกันเท่านี้คนดูถึงชอบ แต่ก็ยอมรับนะว่าสถานการณ์ปัจจุบันมีเรื่องของความสัมพันธ์ที่หลากหลายถูกเปิดเผยออกมามากขึ้น สังคมยอมรับกับเรื่องนี้มากขึ้น การเกิดคู่จิ้นในสังคมไทย ในวงกว้าง จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ หลายคนที่เพิ่งรู้จักก็จะมีอาการตื่นเต้นกับความสัมพันธ์แบบนี้

     กัปตัน: พวกเรา 9×9 ทุกคนเป็นคนค่อนข้างเปิดรับอะไรใหม่ๆ อยู่แล้วด้วย เราจึงมองว่าความหลากหลายในความสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องธรรมดามาก นั่นคือการให้เกียรติคนอื่นทั้งความคิดและการกระทำ

     เจมส์: ทุกอย่างเปิดกว้างหมดแล้ว ถ้าใครก็ตามหรือแม้แต่ตัวผมจะเป็นเพศที่ 3 ก็ไม่ใช่เรื่องผิด เรื่องของเพศสภาพกลายเป็นเรื่องเฉยๆ ของคนยุคนี้แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ประเทศของเราจะเปิดกับเรื่องนี้กันอย่างจริงจังเสียที เพราะเรายังเห็นกันอยู่ว่าการกระทำบางอย่างเราถูกตัดสินไปแล้วโดยที่คุณไม่ได้รู้จักตัวตนของผมเลย เรื่องนี้มันบ่งบอกได้เลยนะว่าคุณโตมายังไง (หัวเราะแห้งๆ)

     เจเจ: ใช่ สิ่งที่น่าอายคือการที่เราไม่กล้ายอมรับตัวเองแล้วก็เอาแต่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น แทนที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุดนั่นคือการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น แล้วก็ใช้ชีวิตให้เต็มที่โดยที่ไม่ก้าวก่ายคนอื่น

     ไอซ์: การที่ใครสักคนตัดสินคนอื่นหรือไปว่าคนอื่นมันสะท้อนสิ่งนั้นกลับมาหาเขาเองหมดเลยนะ ทุกอย่างที่เขาพูดออกไป

 

พวกคุณคิดว่าถ้าสังคมเรายอมรับความแตกต่างได้จริงๆ บ้านเมืองเราจะดีได้อีกแค่ไหน

     เจมส์: สังคมไทยยังยอมรับเรื่องพวกนี้ในตอนนี้ไม่ได้หรอก ถึงประเทศเราจะเปิดกว้างมากขึ้นแต่ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า เรื่องบางเรื่องไม่ได้เปิดกว้างจริงๆ เรายังติดกับความคิดว่าทุกอย่างต้องเป๊ะ ทุกอย่างต้องเป็นอะไรที่ตายตัว อายุ 19 ต้องทำอย่างนั้น อายุ 25 ต้องทำอย่างนี้

     เจเจ: แต่ผมก็เข้าใจนะ เพราะขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของบ้านเรามีความอ่อนช้อยงดงามและมันแข็งแกร่งมาก แต่ในทางกลับกันก็เป็นสิ่งที่ยึดเราไม่ให้ไปไหนสักที

     ไอซ์: ปัญหาหลักคือคนจะติดกับคำว่าต้องทำตาม ทำตามไปเรื่อยๆ เหมือนทุกคนต้องทำตามประเพณีให้เป๊ะ ห้ามมีการดัดแปลง อย่างเรื่องของการศึกษา ซึ่งมีอะไรหลายอย่างที่ควรจะปรับได้ เช่น เรื่องที่ได้ยินกันมาตลอดว่าการศึกษาไทยสอนให้เด็กท่องจำ ต้องท่องกลอนไปสอบกับครู หรือวิชาคณิตศาสตร์ก็ต้องเขียนคำตอบขีดเส้นใต้ 2 เส้น ต้องตอบเป็นเลขไทยเท่านั้น

     แต่พอดูที่ต่างประเทศ เขาจะให้เด็กหาวิธีอะไรก็ได้ในการจะตอบคำถามนั้นให้ถูกต้อง หรือมีการจับกลุ่มกันให้โจทย์เลขมาหนึ่งโจทย์ ต้องหาวิธีแก้โจทย์ให้ได้ 5 วิธี ให้พยายามคิดนอกกรอบ แต่ของบ้านเรา ผมรู้สึกว่ายังตีกรอบให้เด็กไว้เยอะ แล้วทำให้เราซึมซับโดยไม่รู้ตัวว่าห้ามออกจากกรอบตรงนี้ เราไม่ได้บอกว่าให้ทิ้งประเพณีทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ประเพณีนั้นเป็นเรื่องดีทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ไม่ใช่เก็บไว้แล้วก็อยู่กันแค่นั้น

     เจมส์: การอยู่ในกรอบไม่ได้ผิดนะ ที่มีการทำตามกันมาก็เพราะเรื่องนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ดีในยุคสมัยนั้น และสมัยนี้ก็มีสิ่งที่ดีในสมัยนี้ แต่สิ่งที่สังคมไทยเราขาดคือทำไมคุณถึงไม่เปลี่ยนตามโลก ทำไมคุณถึงไม่ปรับตามให้ดีขึ้น ทำไมเราต้องอยู่กับอะไรเก่าๆ ที่มันโบราณ ซึ่งบางอย่างก็มีข้อเสียแต่เราทำให้มันดีกว่านี้ได้ แล้วทำไมเราไม่ทำ

 

ข้อดีของวัยรุ่นคือความกล้าได้กล้าเสีย กล้าที่จะปะทะกับอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วถ้าพูดถึงเรื่องความเสี่ยงสำหรับพวกคุณล่ะ 

     กัปตัน: ทุกคนมีความชอบส่วนตัวกันอยู่แล้ว แค่บางคนอาจจะโดนบังคับให้ไม่ชอบในสิ่งๆ นั้น เขาเลยไม่กล้าที่จะชอบ ดังนั้น คำว่ากล้าเสี่ยงของผมคือกล้าจะสนุกไปกับสิ่งที่ชอบ ซึ่งเราก็ควรจะชอบไปกับมันหรือเปล่าถ้าสิ่งนั้นแสดงออกถึงความเป็นตัวของเรา

     เจมส์: ผมกล้าเสี่ยงที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ตลอดเวลา กล้าที่จะรับบทแปลกๆ กล้าที่จะทำชิ้นงานที่ไม่รู้ว่าจะมีใครสนใจหรือเปล่าแต่ว่าตัวเราชอบ

     ไอซ์: แค่เรากล้าเสี่ยงไปทำอะไรที่เราชอบจริงๆ ไม่ต้องไปยึดติดแต่ว่าต้องเรียนแต่อาชีพที่จบมาแล้วทำงานได้เงินเยอะๆ เมื่อเราคิดแบบนี้ได้ พาตัวเองให้หลุดออกไปจากกรอบนี้ได้ ผมเชื่อว่าทุกวงการ ทุกสาขาอาชีพนั้น คนไทยจะไปได้ไกลมาก เราจะมีคนที่กลายเป็นตำนานมากขึ้นกว่านี้ เพราะผมเชื่อว่ายังมีคนเก่งอีกเยอะมากๆ เพียงแต่อาจจะถูกผู้ใหญ่ตีกรอบไม่ให้เขาเลือกทางเดินของตัวเอง อยากให้ไปทำอาชีพที่มีรายได้มั่นคง

     เจมส์: แต่เราก็เข้าใจมุมมองนี้ของผู้ใหญ่ ทำไมถึงต้องให้เด็กเรียนหมอหรือวิศวะ เพราะแต่ก่อนงานศิลปะไม่ได้เปิดกว้างขนาดนี้ เรียนศิลปะจบมาอาจจะตกงานก็ได้ ต้องยอมรับว่าเม็ดเงินที่หมุนเวียนในสาขาอาชีพนี้ของไทยน้อยมาก ขนาดงานในวงการบันเทิงที่มองกันว่ารายได้ดี ตัวผมเองที่อยู่ตรงนี้ก็พบว่าไม่ได้เยอะมากขนาดนั้น ดังนั้น สมัยก่อนก็ไม่ได้เงินเยอะแน่นอน ผมจึงเข้าใจเลยว่าผู้ใหญ่เขามองที่ความมั่นคงเป็นหลัก แต่พอทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างที่ควรเปิดรับได้ก็ควรเปิด ประเทศเรามีดีตั้งหลายอย่าง

 

Great Men Academy

 

พอพูดถึงปัจจัยสี่ มันทำให้ชีวิตหดหู่เหลือเกิน จนเราต้องไปนั่งเสิร์ชหาในกูเกิลว่าทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุข

     เจเจ: ล่าสุดผมโหลดแอพฯ ปรึกษาจิตแพทย์มาเลย (หัวเราะ) เพราะบางทีเราหาคำตอบไม่ได้ว่าสิ่งที่เรารู้สึกอยู่มันคืออะไร หรือว่าแท้จริงแล้วเราต้องการอะไรกันแน่ ผมคิดว่าไม่ว่าเราจะมีมากเท่าไหร่ก็ไม่พอสักที

     ไอซ์: ผมเคยไปหาจิตแพทย์ 2 รอบ ซึ่งชอบนะ ที่ไปหาเพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่คุณพ่อเพิ่งเสีย เป็นช่วงที่รู้สึกแย่ คุณแม่ก็เลยพาไปหาหมอ ผมชอบการที่เราไปคุยกับคนคนหนึ่งที่เขาไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับเรา แล้วเขาไม่ได้ตัดสินผมด้วย เป็นแค่การได้พูดออกไป ผมรู้สึกว่าจริงๆ การเป็นจิตแพทย์มันซับซ้อนนะ เขาให้เราพูด แล้วเราก็จะตระหนักของเราเอง ผมอยากแนะนำหลายๆ คนว่า เลิกคิดว่าการไปหาจิตแพทย์แล้วจะกลายเป็นคนบ้าได้แล้ว

     เจมส์: ตอนผมไป ผมเช็กโรคซึมเศร้าก่อนเลย แต่จริงๆ ก็แค่เครียด ความรู้สึกช่วงนั้นแค่ดิ่งๆ ขับรถไปก็ร้องไห้ ชีวิตมันดาร์ก แต่จริงๆ ไม่มีอะไรเลย (หัวเราะ)

 

ในเมื่อเดี๋ยวนี้ผู้หญิงก็มีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชายแล้ว การเป็นสุภาพบุรุษยังจำเป็นอยู่ไหม

     เจเจ: ไม่ใช่ความเท่าเทียมกันจริงๆ หรอก สุดท้ายแล้วผู้ชายก็เป็นเพศที่แข็งแรงกว่า อะไรที่ผู้ชายทำให้ผู้หญิงได้ก็ควรจะทำ มันเป็นบริบททางสังคม

     ไอซ์: ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องของความรู้สึก ถ้าอยากทำก็ทำ ไม่ได้แปลว่าถ้าเราไม่ลุกให้ผู้หญิงนั่งแล้วเราจะเป็นคนแย่ เอาจริงๆ ก็มีผู้หญิงที่ชอบผู้ชายอีกแบบหนึ่งที่ไม่ต้องสุภาพ เรียบร้อย มีน้ำใจขนาดนั้น แต่เป็นเรื่องของความรู้สึกว่าเราอยากทำให้เขารู้สึกดีหรือเปล่า ผู้หญิงหลายคนเขาก็ไม่ได้ต้องการให้ผู้ชายลุกให้นั่งหรอก

     เจเจ: แต่ผมไม่ชอบเลย ความเท่าเทียมแต่ไม่เท่าเทียมกันจริงๆ ในสังคมไทยไม่ใช่ยุคที่ผู้หญิงเสียเปรียบอีกต่อไปแล้ว ผู้ชายต่างหากที่เสียเปรียบ ปัจจุบันผู้หญิงไม่ได้ให้เกียรติผู้ชายขนาดนั้น ไม่ได้ให้ความเท่าเทียมกับผู้ชายขนาดนั้น เหมือนบางจังหวะ บางสถานการณ์ เขาใช้ความเป็นผู้หญิงในการเรียกร้องผลประโยชน์จากผู้ชายเสียด้วยซ้ำ

     กัปตัน: เขาไม่ได้รู้ไงว่าผู้ชายบางคนอาจจะเจอเรื่องหนักมากๆ ในชีวิตมาแล้ว เขาอยากนั่งนิ่งๆ ของเขาก็ได้ คุณไปตัดสินว่าเขาไม่ดีแค่เขาไม่ลุกให้คุณนั่งไม่ได้ เพราะคุณไม่รู้ว่าเขาไปเจออะไรมา แต่ถ้าสมมติว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ ใครที่อยู่ตรงนั้นก็ควรลุกให้นั่ง

คุณเล่นซีรีส์ Great Men Academy สุภาพบุรุษสุดที่เลิฟ กันแล้ว ตอนนี้ตีความเรื่องการเป็นสุภาพบุรุษของผู้ชายในยุคนี้อย่างไร

     เจมส์: คุณสุภาพหรือเปล่า สุภาพบุรุษต้องสุภาพอย่างที่ไอซ์บอก มีความสุภาพอ่อนโยน อย่างที่สองคือทัศนคติคุณดีหรือเปล่า สุดท้ายผมว่ารูปลักษณ์จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ อยู่ที่คนชอบ ถ้าคุณดูแลตัวเองให้ดูสะอาดสะอ้านหน่อย ก็อาจจะเป็นหนึ่งในวิธีที่ดูเป็นสุภาพบุรุษ แล้วแต่คนมอง สุภาพบุรุษเป็นได้ล้านแบบ อยู่ที่เป็นในแบบของใคร เหมือนที่ Great Men Academy สอนว่าให้คุณเป็นผู้ชายที่ดีขึ้นในแบบของตัวคุณเองทั้งภายในและภายนอก

 

คำเปรยของซีรีส์ที่บอกว่า ‘เพราะความรักสอนให้ ‘เรา’ เป็นคนที่ดีขึ้น’ พวกคุณเชื่อในคำนี้ไหม

     เจเจ: สำหรับผมเป็นแค่ช่วงโปรโมชันครับ เราก็อยากดีขึ้นเพื่อเขานะ แต่ในช่วงโปรโมชันเราจะดีเป็นพิเศษ แต่เรายังไงก็จะดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน เพราะว่าพอเรามีความรัก เราก็จะอยากทำอะไรเพื่อคนคนหนึ่ง พอเราทำอะไรไม่ดี เขาไม่ชอบ เราก็จะปรับตัวให้ตัวเองดีขึ้น ผมว่านั่นคือสิ่งที่คำเปรยพูด

     เจมส์: ความรักต้องทำให้เราดีขึ้นนะ ถ้าเราอยากให้เขาชอบ เราก็ต้องทำให้เขาประทับใจ ไม่ใช่แค่ช่วงเดียว แต่ถ้าจะทำให้สม่ำเสมอ คุณก็ต้องทำตัวดีไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าถ้าเจอคู่ที่ใช่จริงๆ การคบกันจะมีแต่เสริมกัน จะดีขึ้นด้วยกันทั้งคู่ ทั้งเรื่องชีวิต ทั้งเรื่องการทำตัว และเรื่องอะไรหลายๆ อย่าง

     กัปตัน: ความรักอยู่ที่ความเข้าใจ ความลงตัวมากกว่า ถ้าคนหนึ่งมากเกิน อีกคนหนึ่งไม่ชอบ สุดท้ายก็ต้องแยกกัน เอาจริงๆ การที่เราทุ่มเทเพื่อใครสักคน เราก็อยากให้อีกคนหนึ่งเติมเข้ามาเท่ากัน แต่บางทีถ้าเข้ามาเท่ากันช้าไปความอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองก็จะลดลง

     ไอซ์: สำหรับผมความรักคือการทำให้เขาและตัวเรามีความสุข เลยทำให้เราดีขึ้น เพราะทุกๆ ครั้งที่เรามีความสุข เราจะได้รับพลังบวกมาเรื่อยๆ จากการได้ทำอะไรสักอย่างให้กับคนคนหนึ่ง ซึ่งไม่จำเป็นต้องมาจากการเป็นคู่รัก ความรักจากครอบครัวเป็นความรักที่จริงที่สุด มากกว่าคู่รักบางคู่เสียอีก

 

เรื่องของความรักนั้น ระหว่างหัวใจกับสมอง พวกคุณเลือกจะเชื่ออะไรมากกว่ากัน

     กัปตัน: เชื่อหัวใจ เพราะผมชอบทำในสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ อะไรที่ไม่ชอบก็จะไม่ฝืน

     เจมส์: ต้องทำให้ลงตัวสิ สมมติเรารักเขามากๆ แต่คบกันแล้วมันไม่เวิร์กก็ไม่ดีนะ คบกันแล้วต้องลาออกจากงานมาอยู่ด้วยกันก็ไม่ได้ เราต้องใช้สมองและสติ มีความรักได้แต่ต้องมีสติ

     ไอซ์: มันคือการ follow your heart but bring your brain with you.

 


Great Men Academy