“มันถูกต้องแล้วล่ะที่นางแบบจะต้องวิตกกังวลเรื่องหุ่นของตัวเอง ไม่กลัวอ้วนเกินไปก็กลัวผอมเกินไป เพราะมันหมายถึงโอกาสของการทำงานในวงการนี้”
ต่อให้ได้รับพรอันประเสริฐเพราะกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ใช่ว่าเธอจะพึงพอใจกับร่างกายของตัวเอง บ่อยครั้งที่ส่องกระจกแล้วรู้สึกว่า ‘ผอมเกินไป’ จนวิตกกังวลไปทั้งวัน ขัดกับดีกรีนางแบบสุดเปรี้ยว ผู้คว้ารางวัลชนะเลิศจากเวทีไทยซูเปอร์โมเดลตั้งแต่อายุ 15 ปี ได้บินเดี่ยวไปเซ็นสัญญาเป็นนางแบบที่ประเทศเกาหลี แถมด้วยรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ตั้งแต่เล่นภาพยนตร์เรื่องแรก อย่าง App War แอปชนแอป แต่ตัวจริงของ ‘จิงจิง’ – วริศรา ยู กลับเป็นคนขี้นอยด์ วิตกกังวลสูง แถมยังมีปมวัยเด็กที่ย้อนกลับมาบั่นทอนความมั่นใจอยู่บ่อยๆ
ความวิตกกังวลต่อรูปลักษณ์ภายนอกยังไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวภายในจิตใจ… ชีวิตในวัยมัธยมสอนให้เธอรู้ว่า คนชอบเต้นชอบรำ รักการขึ้นเวที ควรสงวนความอยากแสดงออกของตัวเองไว้ เพราะมันคือคุณสมบัติที่ไม่เข้าตาพวกรุ่นพี่ในโรงเรียน แต่กว่าจะรู้ตัว เธอก็โดนพวกเขายืนล้อม รุมด่า กล่าวหาว่าอยากเด่นอยากดัง ลามไปถึงการด่าพ่อล่อแม่จนกลายเป็นปมฝังใจมาถึงทุกวันนี้ หากเจอสถานการณ์ใดมาสะกิดโดนแผลเก่า ความหวาดกลัวในวันนั้นจะย้อนกลับมาทันที
“แม้กระทั่งตอนไปเรียนที่มหาวิทยาลัย เราก็มักจะทำตัวนิ่งๆ ไม่สุงสิงกับใคร กลัวที่สุดคือสายตาของรุ่นพี่ที่จะมองว่าเราอยากเด่น ทำตัวไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เชื่อไหมว่าสิ่งที่เราเจอตอนอยู่มหาวิทยาลัยตรงข้ามกับวัยมัธยมอย่างสิ้นเชิง เฮ้ย มันมีคนที่มาจากหลากหลายโรงเรียน แล้วโรงเรียนพวกเขาก็ยอมรับในความสามารถของคนคนนั้น ใครชอบเต้นก็เต้นไปสิ สังคมมหาวิทยาลัยพร้อมให้โอกาส มีชมรมให้คุณได้เข้าไปเจอกับเพื่อนที่ชอบเต้นเหมือนๆ กัน เลยทำให้เข้าใจว่า อ๋อ สังคมที่บูลลีคนชอบทำกิจกรรมที่เราเคยเจอมา เป็นแค่สังคมในโรงเรียนหญิงล้วนเท่านั้นเอง”
แล้วมุมมองต่อชีวิตในอนาคตล่ะ หญิงสาวผู้ตัดสินใจละทิ้งการเรียนเพื่อออกไปทำงานที่เกาหลีเพียงลำพังรู้สึกหวาดกลัวต่ออะไรบ้างหรือเปล่า? เราสงสัย
“เราเป็นคนเบื่อชีวิตง่าย และไม่กลัวความลำบากเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว ถ้าได้แลกกับประสบการณ์ที่มีค่า ดีกว่าลำบากเพราะไม่มีงานทำ รวมถึงการต้องทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ บนกราฟชีวิตที่ราบเรียบ เรากลัวชีวิตแบบนี้”
แม้การเลือกใช้ชีวิตตามความฝัน ทำให้ต้องผจญภัยไปกับความลำบาก พบเรื่องราวทุกข์ยากจนทำให้เสียน้ำตา แต่เธอยืนยันว่าชีวิตแบบนี้ดีกว่าการก้มหน้าก้มตาเรียนตามความฝันของคนอื่น แต่กลับหวาดกลัวต่อการมีชีวิตเป็นของตัวเอง
นางแบบส่วนใหญ่มักจะกลัวอ้วน แล้วจิงจิงล่ะกลัวหรือเปล่า
ไม่เลย ไม่เคยกลัวอ้วนเลย แต่เรากลัวผอม กลัวมาก (เน้นเสียง) คนกลัวอ้วนมักจะไม่ค่อยเข้าใจว่าคนกลัวผอมเขารู้สึกอย่างไร เราจึงอยากจะบอกว่า ความกลัวผอมมันทำให้เกิดความเครียดไม่น้อยไปกว่ากันเลย ในชีวิตจะมีบางช่วงเรากินอะไรไม่ลงเลย หรือต่อให้เป็นช่วงที่อยากกิน แต่กินเข้าไปเท่าไหร่น้ำหนักก็ไม่เพิ่ม มันอยู่แค่นี้ ซึ่งพอใส่เสื้อผ้าแล้วมันไม่สวย เพราะว่าผอมไป
เราสูง 174 ซม. และพยายามจะลิมิตน้ำหนักไว้ที่ 50-52 กิโล ปัจจุบันก็อยู่ราวๆ นี้ แล้วเราก็เป็นคนที่เอนจอยกับการกินอาหารมาก อาจเป็นเพราะว่าโชคดีที่เป็นคนลำไส้ตรง กินปุ๊บถ่ายปั๊บ ซึ่งต่อไปถ้าอายุมากขึ้นเราอาจจะไม่ต้องมาพะวงกับเรื่องกลัวผอมเกินไปแล้ว อาจจะกลายเป็นคนอ้วนง่ายด้วยซ้ำ ช่วงนั้นก็คงต้องใช้วิธีเข้าฟิตเนส ออกกำลังกายเพื่อรักษาหุ่นแทน
ที่เราเห็นข่าวว่านางแบบเขากินสำลีชุบน้ำหวานกัน ในแวดวงของคุณมีคนทำแบบนี้บ้างไหม
โห ลองเข้าไปดูในห้องแต่งตัวได้เลย จะเห็นว่านางแบบทุกคนจะมีข้าวกล่องกันคนละ 2 กล่อง เอามาตั้งวงแบ่งกันกิน เอากับอันนู้นมากินคู่กับอันนี้ สนุกสนานมาก วันนี้เราเพิ่งกินข้าวผัดพริกปลาดุกเพิ่มไข่ดาว ซึ่งไม่ใช่อาหารของคนกลัวอ้วนเลย (หัวเราะ) ส่วนนางแบบบางคนที่เฮลตี้หน่อยก็จะนำอาหารของตัวเองมา อาจจะเป็นพวกเมนูสลัดหรืออาหารเพื่อสุขภาพ
มันถูกต้องแล้วล่ะที่นางแบบจะต้องวิตกกังวลเรื่องหุ่นของตัวเอง ไม่กลัวอ้วนเกินไปก็กลัวผอมเกินไป เพราะมันหมายถึงโอกาสของการทำงานในวงการนี้ ซึ่งคนที่อ้วนง่ายก็จะใช้วิธีเข้าฟิตเนส ออกกำลังกายแทน ถ้าใครปล่อยปละละเลยจนตัวเองอ้วนเกินไปก็จะถูกสไตลิสต์หรือผู้จัดการเตือนว่าให้ไปลดน้ำหนักได้แล้ว เพราะถ้าอ้วนจนถ่ายแบบไม่สวยก็คือไม่มีงาน เพราะฉะนั้น นางแบบจึงรักร่างกายของตัวเอง แต่ไม่จำเป็นต้องทรมานตัวเองด้วยการอดอาหารจนผอมโซ
แล้วคุณหวงแหนร่างกายของตัวเองมากแค่ไหน เพราะทุกวันนี้ต้องใช้แขน ขา และผิวที่สวยงามในการทำมาหากิน
โห เราเป็นคนที่ซุ่มซ่ามและตามร่างกายมีแผลเป็นเยอะมาก เลยป้องกันตัวเองด้วยการไม่ใส่ขาสั้น เพราะไม่ชอบใส่ขาสั้นอยู่แล้ว กระโปรงก็ไม่ชอบใส่ เราชอบเสื้อผ้าที่ใส่สบายๆ ออกจะเป็นลุกส์แมนๆ ด้วยซ้ำ ความชอบแบบนี้จึงช่วยคนซุ่มซ่ามอย่างเราได้ประมาณหนึ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องผิว เราชอบทาครีมอยู่แล้ว ต้องทาทุกคืนก่อนนอน ไม่ชอบปล่อยให้ผิวแห้ง
บางทียังขี้เกียจแต่งหน้า ช่วงไหนที่ขี้เกียจมากๆ เวลาออกไปไหนจะใช้วิธีใส่แว่นอันเดียวก็จบแล้ว ส่วนสิวก็ไม่ใช่ปัญหา ฉีดสิว โปะยา แป๊บเดียวก็หาย
ไม่กลัวอ้วน ไม่ห่วงสวย แล้วอะไรคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับชีวิตการเป็นนางแบบ
กลัวไม่มีงานทำ (นิ่งคิด) เพราะว่าทุกปีจะมีนางแบบหน้าใหม่เข้ามาตลอด วงการนี้จึงมีตัวเลือกมากมาย เรากลัวว่าวันหนึ่งเราจะช้ำจนไม่มีงานทำ เราจึงต้องหามาตรฐานการทำงานใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา เช่น เรารู้ว่าการได้ไปทำงานเป็นนางแบบที่เกาหลีจะทำให้คนไทยชอบเรามากขึ้น career path ที่หลากหลายจะทำให้คนมองเห็นว่าการทำงานของเรามีการพัฒนาตลอด และรู้สึกว่าเรามีอะไรใหม่ๆ เข้ามาเสมอ
ธรรมชาติของการทำงานในวงการนางแบบก็เหมือนกับวงการบันเทิงอื่นๆ ที่จู่ๆ ก็จะมีนางแบบสักคนที่เปรี้ยงขึ้นมาเป็นช่วงๆ แล้วก็จะค่อยๆ หายไป หรือพอเป็นจนถึงช่วงอายุหนึ่งก็จะเป็นนางแบบต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ก็จะมีบางคนที่เราเห็นว่าเขาเป็นนางแบบที่อยู่ไปได้จนถึงช่วงที่อายุเยอะๆ เราเองอยากเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
ช่วงที่น่ากลัวที่สุดตั้งแต่เราทำงานในวงการนี้คือช่วงแรกๆ ของการทำงาน ที่ยังไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับชีวิต ไม่แน่ใจว่ามาถูกทางแล้วหรือยัง เราเข้าวงการตั้งแต่ตอนอายุ 15 ปี จากการประกวดไทยซูเปอร์โมเดล 2012 แล้วก็เริ่มมีงานเดินแบบเข้ามา จนกระทั่งถึงช่วงเข้ามหาวิทยาลัย เราเรียนเอแบค ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เรียนหนักจนไม่สามารถทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยได้ เรารู้ว่าใจเราอยากไปทำงานที่ต่างประเทศ คอยมองหาหนทางที่จะได้ไปอยู่ตลอด แต่ช่วงที่ลังเลสงสัยและไม่แน่ใจในอนาคตของตัวเองคือช่วงที่ทำให้สับสน คนรอบข้างเห็นไม่ตรงกัน บางคนแนะนำให้อยู่เรียนไปก่อน บางคนบอกว่าโอกาสดีมาแล้วให้รีบทำงานเก็บเงิน ส่วนพ่อแม่อยากให้เราเรียนมากกว่า แต่เขาเองไม่ได้บังคับและบอกกับเราว่า อายุของลูกยังไม่เยอะมาก มีโอกาสก็ไปลองดูแล้วกัน เราจึงออกจากเอแบคมาสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง จนกระทั่งได้เดินทางไปทำงานที่เกาหลี
เจออะไรที่เกาหลีบ้าง
นับตั้งแต่ได้เซ็นสัญญาให้ทำงานอยู่ที่เกาหลีเป็นเวลา 2 ปี เชื่อไหมว่า 8 เดือนแรกของการทำงานเราไม่ได้เงินเลย เพราะติดปัญหาเรื่องวีซ่า ทางนั้นซีเรียสเรื่องนี้มาก จึงไม่กล้าจ่ายเงินให้เรา แถมในแต่ละวันยังต้องทำงานหนักมาก ที่เกาหลีมีแมกกาซีนเยอะ โครงการแฟชั่นจึงเยอะ จนบางวันเจองานถ่ายแบบติดต่อกัน 3 งานเลยก็มี
ช่วงหนึ่งเราป่วยติดเชื้ออาหารเป็นพิษจากไทย แล้วต้องบินไปเกาหลีทันทีเพื่อถ่ายแบบในวันรุ่งขึ้น ตอนอยู่บนเครื่องเราท้องเสีย แล้วก็อ้วกไปตลอดทาง กระทั่งลงเครื่องก็ยังไม่หยุด ต้องไปหลบในห้องน้ำที่สนามบิน รอให้ผู้จัดการมารับไปหาหมอ คืนนั้นนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นไปถ่ายแบบ โพสท่าไป ถ่ายรูปไป สลับกับการเข้าไปอ้วกไปขับถ่ายในห้องน้ำภายใต้อุณหภูมิ -14 องศา (หัวเราะ) เป็นอย่างนั้นอยู่อาทิตย์หนึ่ง นี่คือช่วงที่หนักหน่วงที่สุดในเกาหลี
อยู่ที่นั่นคนเดียว เหงาไหม
เหงา… เหงามาก ตอนแรกเราอยู่กับรุ่นพี่คนหนึ่งที่เขาทำงานเป็นนางแบบเหมือนกัน แต่ตอนหลังเขาเลือกที่จะกลับมาเมืองไทย เราก็เลยเหลือแต่เพื่อนๆ ที่ไปเรียนต่อหรือทำงานอาชีพอื่นอยู่ที่นั่น หลายครั้งรู้สึกว่า ‘กูมาทำอะไรตรงนี้’ พ่อโทร.มาหา เราร้องไห้ใส่เลย ได้ยินแบบนั้น เขาเองก็บอกว่าถ้าไม่ไหวก็กลับบ้านนะ แต่ว่าเราเลือกที่จะดรอปเรียน ออกจากบ้านมาแล้ว เราอยากพิสูจน์ตัวเอง เราอยากไปต่อ
พอผ่านช่วงแรกที่ยังไม่ค่อยมีงาน เข้าสู่ช่วงที่มีงานให้ทำมากมาย ผู้จัดการแฟชั่นรักเรา คนที่นั่นรักเรา เราก็แฮปปี้ หลังจากผ่านงานเดินแบบช่วง Seoul Fashion Week ทุกคนเห็นหน้าตาเราจากเวทีนั้นและใช้งานเราต่อมาเรื่อยๆ เราก็เลยทำงานไม่ได้หยุด เป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ จนกระทั่งหมดสัญญา 2 ปีแรก ก็ต่อสัญญาอีกครั้ง โดยคราวนี้เราเลือกที่จะต่อสัญญาในรูปแบบที่เราอยู่เมืองไทยเป็นหลัก ถ้ามีงานที่เกาหลีก็ค่อยบินไป
แล้วเรื่องการเรียนล่ะ เห็นจิงจิงบอกว่าตอนแรกเลือกที่จะทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย
หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะบินไปเซ็นสัญญาทำงานที่เกาหลี เราก็ยังไม่ได้กลับไปเรียนอีกเลย กลับมาอยู่ที่ไทยพักหนึ่งตอนถ่ายหนังเรื่อง App War แอปชนแอป แล้วก็บินกลับไปอยู่ที่เกาหลีอีก ส่วนตอนนี้กำลังถ่ายซีรีส์เรื่องใหม่ที่ไทย คิดว่าคงไม่ได้เรียนเร็วๆ นี้แล้วล่ะ เราเป็นคนเบื่อๆ ใจร้อน ไม่ชอบให้ชีวิตอยู่นิ่งๆ ต้องมีอะไรขึ้นลงหรือมีงานใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าไม่มีงานนะ แต่ช่วงที่มีงานซ้ำๆ เป็นแบบเดิมๆ ตลอดเวลา เราก็ไม่ชอบ เรากลัวชีวิตแบบนี้
แล้วการเติบโตแบบไหนคือสิ่งที่คุณต้องการ
ไม่รู้ว่านางแบบแต่ละคนคิดเหมือนกันหรือเปล่านะ แต่สำหรับเราคือการเริ่มต้นจากนางแบบหน้าใหม่ เป็นนางแบบหน้าใหม่มาแรง เป็นตัวท็อปของประเทศไทย สักพักต้องกระจายชื่อเสียงออกไปสู่ประเทศอื่นๆ เช่น ให้คนในเอเชียได้รู้จักตัวเราก่อน ข้ามสายมาเป็นนักแสดงด้วย หลังจากนั้นค่อยไปสร้างชื่อที่ประเทศอื่นๆ ต่อ แบบนี้คือชีวิตที่ได้ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ
อีกปีเดียวสัญญาที่เกาหลีก็จะหมดแล้ว เรารอดูว่างานซีรีส์ที่ไทยจะทำให้เราไปต่อได้หรือเปล่า ถ้าไม่ เราก็ตั้งใจว่าจะไปนิวยอร์ก ไปเดินแบบที่นั่น เพราะพูดจริงๆ นะ เราว่าเราไม่มีความมั่นใจด้านการแสดงของตัวเองเลย ไม่ใช่ไม่ชอบการแสดง แต่เราคิดว่าเราไม่ใช่คนที่แสดงได้ดี หลายๆ ครั้งที่รู้สึกว่าเราเหมาะกับงานนางแบบมากกว่า แล้วก็กลัวจะมีคนวิจารณ์ว่าเล่นแข็งทื่อเป็นไม้เลย เล่นห่วยอย่างนี้กลับไปเดินแบบอย่างเดียวเถอะ เราไม่ชอบให้ใครมาดูถูก
จะกลัวทำไมในเมื่อคุณผ่านการเล่นหนังใหญ่อย่าง App War แอปชนแอป มาแล้ว แถมยังได้รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมซะด้วย
โห ตอนแรกเครียดมากเลยนะ เพราะมีเวลาเวิร์กช็อปแค่อาทิตย์เดียว แล้วยังเป็นหนังที่เกี่ยวกับสตาร์ทอัพด้วย สิ่งที่เราคิดตอนนั้นคือสตาร์ทอัพคืออะไร? เรางง เขาก็เลยให้คนทำสตาร์ทอัพมาเล่าให้ฟัง วันนั้นนักแสดงทุกคนต่างนั่งมองหน้ากันแล้วถามว่า เข้าใจหรือเปล่าวะ? ไม่มีใครเข้าใจ จนกระทั่งเล่นไปได้สักแป๊บหนึ่งถึงเกิดความเข้าใจว่า อ๋อ สตาร์ทอัพเป็นอย่างนี้นี่เอง
ส่วนเรื่องการแสดง เราโชคดีที่ได้ทั้งผู้กำกับและแอ็กติ้งโค้ชที่ใจดีมากๆ เราสบายใจเพราะผู้กำกับบอกว่า เหตุผลที่เขาเลือกให้เรามาเล่นหนังเรื่องนี้เพราะว่าบุคลิกของจูน (ตัวละครในภาพยนตร์ App War แอปชนแอป) คือบุคลิกของเราเลย ทั้งความเป็นแฟชั่น รวมถึงนิสัยลึกๆ ของเราด้วย
ก่อนหน้านี้เราผ่านการแคสต์หนังมาบ้างเหมือนกัน แต่เรารู้สึกว่าเราไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ ตอนเขาบอกให้เล่นเป็นคนนั้นคนนี้ เราไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ไม่มีความเข้าใจว่าการแสดงคืออะไร เราจึงไปแคสต์หนังเรื่องนี้ด้วยความสบายใจ เพราะคิดไว้ว่ายังไงก็คงไม่ได้เล่น ตั้งใจว่าหลังจากแคสต์เสร็จแล้วจะบินกลับเกาหลีทันที ปรากฏว่าเขาเลือกเราเฉยเลย จากการที่เราเล่นเป็นตัวเองนี่แหละ (ยิ้ม)
แต่ต่อให้เขาเลือกเรามาเล่นแล้ว ด้วยความที่พื้นฐานเป็นคนขี้นอยด์ (หัวเราะ) เราก็ยังเครียดอยู่ดีว่าจะเล่นได้หรือเปล่า นี่เป็นการถ่ายหนังครั้งแรกในชีวิต มันจะเป็นยังไงวะ ก็เอาแต่คิดอยู่ในหัวว่ากลัวทำไม่ได้ แต่ด้วยความโชคดีที่ได้เจอกองถ่ายที่ดี การทำงานของกองนี้เป็นเหมือนครอบครัว ทุกคนรู้จักกันและรักกัน ทำให้เราสบายใจในการไปทำงาน รวมทั้งการที่ได้เจอแอ็กติ้งโค้ชเก่งๆ ทำให้เรากล้าเล่นออกไป
เวลาเกิดความกลัว คุณมักเปิดเผยหรือเลือกที่จะเก็บไว้
เวลากลัวเรามักจะบอกเลยว่ากลัว เราเป็นคนไม่เก็บ และมักจะเป็นแบบนี้กับทุกๆ เรื่องในชีวิต “พี่เสือ หนูกลัวมากเลย กลัวเล่นไม่ได้” พี่เสือก็จะคอยบอกว่า “เฮ้ย เอาน่า” การเจอผู้กำกับที่เป็นเหมือนพี่ชายใจดีช่วยเราได้เยอะ แต่ถ้าเป็นเรื่องการทำงานนางแบบ เราไม่กลัวเลย อาจจะเป็นเพราะว่าเราได้เรียนรู้ประสบการณ์การทำงานมากมายมาจากเวทีไทยซูเปอร์โมเดล ซึ่งพี่อุ๋ม (อาภาศิริ นิติพน) เป็นคนคอยสอน และสิ่งที่เราเรียนรู้ก็เอามาใช้ในการทำงานทุกวันนี้ได้เลย ความกลัวในเรื่องการเดินแบบจึงไม่มี
เย็นวันนี้เราต้องเดินแบบในเวทีเครื่องเพชร มันก็จะไม่เหมือนการเดินแบบปกติ คือมันต้องช้ากว่า เวลาอยู่บนเวทีจะต้องหมุนให้ครบ 4 รอบ หมุนให้สวยงามพร้อมกับโชว์เครื่องเพชรให้ครบด้วย ทุกอย่างที่เราใช้ในปัจจุบันนี้คือสิ่งที่พี่อุ๋มสอนมาหมดแล้ว
ถ้าถอดเรื่องการเป็นนางแบบออก แล้วมองตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง คุณกลัวอะไรมากที่สุดในชีวิต
กลัวการโดนบูลลี… เพราะตอนเด็กๆ เรามีประสบการณ์โดนบูลลีมาหนักมาก สมัยมัธยมเราเรียนอยู่โรงเรียนหญิงล้วนที่ไม่สนับสนุนให้เด็กทำกิจกรรมในวงการบันเทิง แต่ตัวเรากลับเป็นเด็กชอบเต้น ชอบรำ ชอบแสดงออก เวลามีงานโรงเรียนทีไรเรามักจะเสนอตัวเลยว่า หนูอยากเต้นค่ะ ทำให้รุ่นพี่หลายๆ คนไม่ชอบหน้าเรา จนเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เราเสียใจมาก ช่วงพักเที่ยงของวันหนึ่ง รุ่นพี่เดินมาล้อมแล้วรุมด่าเรา หาว่าเราชอบทำตัวเด่นมากหรือไง ขนาดเพื่อนบางคนยังไม่กล้าเข้ามาช่วย เพราะว่าถ้าเขาเลือกที่จะเข้ามาดึงมือเราออกไป เท่ากับว่าเขาจะโดนรุ่นพี่แบนไปด้วยเลย
เราไม่ใช่คนสู้คน ช่วงที่โดนกลั่นแกล้งอยู่บ่อยๆ เรากลับบ้านมานั่งร้องไห้ตลอด พ่อแม่ก็เห็นแล้วเขาเองก็หนักใจ เขาเขียนด่าพ่อแม่เราที่บอร์ดโรงเรียนเลยด้วยซ้ำ พี่สาวของเราที่เป็นเด็กตั้งใจเรียนยังทนไม่ไหว จนกระทั่งเรื่องไปถึงห้องปกครองในที่สุด
เกลียดพวกคนที่มายืนรุมด่าเราไหม
ไม่เกลียด เพราะผ่านมานานแล้วด้วย แต่ก็แค่สงสัยว่า กูไปทำอะไรให้วะ ทำไมถึงแกล้งกูไม่หยุดเลย แค่เพราะกูชอบเต้นเหรอ หรือว่าเพราะอะไรกันแน่ เราแค่ไม่เข้าใจแล้วเราก็ไม่คิดจะสู้คน จะด่าก็ด่า “แรด” “ชอบทำตัวเด่น” “อยากเป็นคนดังในโรงเรียนหรือไง” เขาด่าเราสารพัด จนกระทั่งได้เจอกับเพื่อนที่ทนกับพฤติกรรมแบบนี้ไม่ได้ เพื่อนเหล่านี้คือคนที่ยื่นมือมาช่วยเรา เริ่มมีกลุ่มมีก้อนของตัวเอง รุ่นพี่จึงเลิกแกล้งไปในที่สุด
ต่อให้ผ่านไปนานแล้ว แต่เหตุการณ์นั้นยังติดตัวเรามาและส่งผลให้เรากลายเป็นคนไม่มีความมั่นใจมาจนถึงตอนนี้ แถมยังเป็นเอามากซะด้วย เพื่อนสนิทของเราทุกคนจะรู้ว่าเราจะพะวงนู่นนี่แล้วก็จะวิตกกังวลเกี่ยวกับตัวเองตลอดเวลา
ส่องกระจกไปแล้วไม่ชอบส่วนไหนของร่างกายตัวเอง
เราไม่ชอบความคิดของตัวเองมากที่สุด ไม่ชอบนิสัยขี้นอยด์ของตัวเองเลย บางทีแค่มีคนทักว่าผอมลงหรือเปล่าเนี่ย ผอมลงเยอะมากเลยนะ เอาแล้ว เราจะรีบเดินไปเช็กตัวเองในกระจก วันนั้นทั้งวันจะหน้าหงิกไปเลย เพราะจะบอกตัวเองว่า เราผอมลงไปอีกแล้ว เราไม่สวยเลย
คอนเซ็ปต์ของผู้หญิงที่สวยสำหรับเราคือเขาต้องมีความมั่นใจ วันไหนที่รู้สึกมั่นใจมากๆ เราจะอารมณ์ดี ใจฟู วันนี้ฉันดูดี แต่วันไหนที่ไม่มั่นใจก็จะเอาแต่ส่องกระจกด้วยความรู้สึกว่า ผอมไปนะ ผอมไปจริงๆ ด้วย เหมือนคนบ้าเลยเนอะ (หัวเราะ)
ความไม่มั่นใจส่งผลกระทบต่อการทำงานหรือเปล่า
ส่งผลมาก ดูแววตาก็รู้ การทำงานเป็นนางแบบ แววตาสำคัญมาก และสิ่งที่ต้องใช้เยอะมากคืออินเนอร์ ถ้าโจทย์บอกว่า วันนี้เธอต้องเป็นผู้หญิงที่หยิ่ง แพง และรวยมาก แต่ภายในใจเราเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ไม่มั่นใจ เราจะทำอย่างไรให้อินเนอร์ของความสวยเริ่ดมันปรากฏออกมาได้ล่ะ
การโดนบูลลีในช่วงมัธยมส่งผลกระทบกับเราอย่างชัดเจนมาก แม้กระทั่งตอนไปเรียนที่มหาวิทยาลัย เราก็มักจะทำตัวนิ่งๆ ไม่สุงสิงกับใคร กลัวที่สุดคือสายตาของรุ่นพี่ที่จะมองว่าเราอยากเด่น ทำตัวไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เชื่อไหมว่าสิ่งที่เราเจอตอนอยู่มหาวิทยาลัยตรงข้ามกับวัยมัธยมอย่างสิ้นเชิง เฮ้ย มันมีคนที่มาจากหลากหลายโรงเรียน แล้วโรงเรียนพวกเขาก็ยอมรับในความสามารถของคนคนนั้น ใครชอบเต้นก็เต้นไปสิ มหาวิทยาลัยพร้อมให้โอกาส มีชมรมให้คุณได้เข้าไปเจอกับเพื่อนที่ชอบเต้นเหมือนๆ กัน เลยทำให้เข้าใจว่า อ๋อ สังคมที่บูลลีคนชอบทำกิจกรรมที่เราเคยเจอมานั้นเป็นแค่สังคมในโรงเรียนหญิงล้วนเท่านั้นเอง
แม้กระทั่งรุ่นพี่ที่เคยแกล้งเรามาก่อน พอมาเจอกันตอนนี้ เขายังมีท่าทีเปลี่ยนไป กลายเป็นยิ้มแย้ม เข้ามาทักทายเรา “น้องจิงจิง เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม” เดี๋ยวนะ ตอนเด็กๆ คุณเคยแกล้งเรามาก่อนนี่หว่า เรายังจำได้อยู่นะ เราได้แต่คิดแต่ไม่ได้พูดกลับไป ด้วยความเข้าใจว่าพอคนเราเติบโตขึ้น ก็คงจะเห็นว่าในอดีตตัวเองเคยทำนิสัยแบบไหนออกไปบ้าง
พอมีพรรคพวก มีหน้าตาในสังคมแล้ว เคยคิดอยากบูลลีพวกเขากลับบ้างไหม
ไม่เลย เราไม่เคยอยากบูลลีใครกลับ เพราะเคยโดยมาก่อน เรารู้ว่ามันแย่แค่ไหน แต่หลายๆ ครั้งเราจะมีคำถามกับตัวเองว่าทำไมตอนเด็กๆ เราถึงไม่สู้คนเลยวะ สิ่งที่เปลี่ยนไปในทุกวันนี้คือถ้าเราโดน เราจะสู้กลับแล้วนะ ตอนนั้นเราไม่กล้าสู้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเข้ามาลดทอนความมั่นใจจนทำให้กลัวไปหมดเลย
อายุและการทำงานพาเราออกไปเจอโลกกว้าง พบคนหลากหลาย เราเติบโตขึ้นและพบว่าเราเองก็ทำงานได้ดี มีคนที่ยอมรับเรา เราได้ตำแหน่งไทยซูเปอร์โมเดล 2012 การงานของเราได้รับคำชื่นชม เออ มันทำให้เรามองย้อนกลับมาแล้วพบว่าเราไม่ได้แย่เหมือนที่เขาเคยด่า เราเคยโดนด่าว่าหน้าตาอย่างนี้คิดว่าสวยหรือไง คอก็ยาว แถมตัวยังผอมอย่างกับไม้เสียบผี ไหนจะหน้าตาเหมือนจิ้งจก (หัวเราะ) เราโดนด่าเรื่องรูปร่างหน้าตามาเยอะมาก
เพราะไม่เคยรู้เลยว่าโลกมันกว้างมากกว่าแค่คนไม่กี่คนในโรงเรียน ไม่รู้ว่าคนที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ต้องโตไปเป็นนางแบบ รู้แค่ว่าเรามีหน้าที่เรียนหนังสือ แล้วก็รู้แค่ว่าตัวเองชอบเต้น นอกจากเรียนหนังสือเราก็เรียนเต้นไปด้วย เราเคยไปสมัครเรียนเต้นเองโดยที่ไม่บอกแม่ก่อน และแม่เรายังเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยอนุบาล เวลาได้ออกไปโชว์ทีไร เราจะเต้นแรงสุดเสมอ แม่ก็เลยสนับสนุนให้เราเรียนเต้นจนถึงอายุ 15 ปี พอได้เป็นนางแบบแล้วจึงหยุดเรียน การทำงานนางแบบไม่เคยทำให้เราเสียความมั่นใจ มีแค่วัยมัธยมเท่านั้นเองที่เราเดินเข้าโรงเรียนไปด้วยความรู้สึกกลัว นอกจากนั้นเราสนุกและมีความสุขกับการชอบแสดงออกของตัวเองมาก
ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นไหม
ไม่ชอบ เพราะเราเคยอยู่ในช่วงที่พยายามเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นแล้วรู้สึกแย่มาก มัวแต่ไปเอาชีวิตของคนอื่นมาเป็นมาตรฐานให้กับตัวเอง มันจะทำให้เราเสียสติ จนลืมไปว่าเราเดินมาถึงตรงนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว การเปรียบเทียบก่อให้เกิดการดูถูก เราเคยเจอคนแบบนั้นมา และเราจะไม่ทำตัวแบบเดียวกับเขา บางเวทีเราได้ทำงานกับคนที่หลากหลาย เจอผู้คนเยอะมาก มองเห็นการแบ่งชนชั้นระหว่างคนด้วยกันอย่างชัดเจน เคยเจอคนพูดถึงว่า “คนนี้ไม่ดัง ฉันไม่คุยด้วย” มันมีการปฏิบัติตัวกับแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันจริงๆ ทั้งตามฐานะ จากนามสกุล หรือระดับความดัง เราก็เข้าใจแหละว่า เขาคงอยากจะคุยกับคนในระดับที่ใกล้เคียงกับตัวเองมากกว่า
เจอแบบนี้กระทบกับอินเนอร์ในการทำงานไหม
(ถอนหายใจ) มันยากมากเลยนะในการที่เราจะดึงความมั่นใจกลับมา เหมือนตามปกติเรามีความมั่นใจอยู่ แต่เหตุการณ์ที่เจอมาฉุดให้เราลงไปถึงศูนย์จึงกลับขึ้นมายาก เวลาเจอแบบนี้ เราจะนิ่ง ไม่อยากยุ่งกับใคร เลือกที่จะปลีกตัวออกมานั่งเล่นโทรศัพท์คนเดียวยังสบายใจกว่า
ปฏิเสธงานบ่อยไหม
ไม่ค่อยปฏิเสธ ด้วยความรู้สึกว่าถ้าเราเป็นมืออาชีพ มีงานอะไรเราก็ทำ ถ้าชีวิตต้องเจออะไรแบบนี้ก็อยู่ให้ชิน บอกกับตัวเองว่า ไปทำงานให้เสร็จแล้วก็กลับบ้านซะ แค่นั้นเอง ซึ่งถ้าเราหลีกเลี่ยงที่จะไปอยู่รวมกับเขา แล้วเขาจะมาเชิดใส่เราได้ยังไงล่ะ วิธีการเอาตัวรอดของเราก็คือเลือกไปอยู่กับคนที่เขาโอเค วิธีนี้อาจจะเป็นเหมือนกับการหนีปัญหา แต่มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้
หลังจากผ่านการโดนบูลลีตอนเด็กๆ จนมาเจอการแบ่งแยกชนชั้นในวัยทำงาน เรารู้สึกว่ามันคล้ายกันมากเลย เราไม่ชอบและไม่คิดจะไปทำกับใคร แต่เราก็ยังเสียใจและยังกลับมานั่งร้องไห้ไม่ต่างจากตอนเป็นเด็ก เราเคยนั่งอยู่กับคนหลายๆ คน และมีคนคนนี้รวมอยู่ด้วย เขาร่ำรวยมากและค่อนข้างหยิ่งยโส เป็นคนที่คิดว่าทุกคนจะต้องง้อและต้องคล้อยตามเขาตลอดเวลา เขาบอกเราว่า เขาสามารถผลักดันให้เราขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงกว่านี้ได้นะ เราแค่ตอบเขากลับไปว่า “ค่ะ” เราก็รับรู้ไว้โดยไม่ได้คิดจะไปขออะไรจากเขา สิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาถามกลับมาว่า “นี่โง่หรือซื่อ” เขาคงอยากให้เราไปประจบเขาว่า พี่คะ หนูอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่เราไม่สนใจ
แล้วร้องไห้ออกมาตอนไหน
ก็ตอนที่นั่งปาร์ตี้สังสรรค์กันไปเรื่อยๆ เราดื่มเราคุยกับคนอื่นๆ ตามปกติ แล้วมีคนหนึ่งบอกกับเขาว่า ให้เขาชนแก้วกับน้องจิงจิงสิ เขาตอบกลับมาในทำนองว่า ไม่เอาหรอก เราไม่มีค่าพอให้เขาต้องชนแก้วด้วย เรายังไม่ร้องนะ แค่บอกเขาไปว่า “ค่ะ” แล้วก็หันกลับมาคุยกับเพื่อนต่อ ทั้งที่ใจเราโมโหมากแล้ว แต่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า เราไม่อยากทำตัวไม่ดีใส่เขา แต่เขายังคอยพูดจาดูถูกเรื่องการทำงานของเราอยู่ตลอด จนเราทนไม่ไหว ต้องสะกิดขอให้เพื่อนข้างๆ ให้ออกมานั่งข้างนอกเป็นเพื่อน จังหวะที่หยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน เราร้องไห้เลย มันเกินจุดที่เราจะรับไหวแล้ว
เคยรู้สึกพลาดโอกาสดีๆ เพราะการตัดสินใจของตัวเองในวันนั้นบ้างหรือเปล่า
เราไม่ชอบการประจบ เราไม่ชอบการเลียขา เราเป็นคนแบบนี้ เรารู้ว่ามีหลายต่อหลายคนที่ถ้าเราเข้าไปหาเขาด้วยท่าทีแบบประจบประแจงแล้วเขาจะเอ็นดูเรามากกว่านี้ แต่เราทำไม่ได้ เราตีหน้าไม่เก่ง เวลาที่เรารู้สึกอย่างไรสีหน้าของเราก็จะเป็นแบบนั้น เราทำงานมาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็ไม่เคยต้องพึ่งพาคุณมาก่อนด้วยซ้ำ เราขึ้นมาได้ด้วยตัวของเราเอง เขาก็อาจจะคิดว่าเราหยิ่งก็ได้ แต่จะให้เราทำยังไงกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็เอาแต่บอกว่าตัวเองมีดีอย่างนั้นอย่างนี้ ตัวเองมีทุกอย่าง อยากได้อะไรให้บอก เอ่อ ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะพี่ (หัวเราะ)
ถือว่าตัวเองก้าวข้ามความกลัวจากการโดนดูถูกได้หรือยัง
ยัง ทุกวันนี้ยังรู้สึกว่ากลัวคนจะไม่ชอบเราอยู่เลย เราเคยโดนแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ก็ยากที่จะทำให้ปมนี้หายไป เวลามีคนพูดติเตียนเราแค่ประโยคเดียว แต่เรากลับเอามาคิดมากทั้งวัน จนรุ่นพี่ที่สนิทกันต้องคอยเตือนอยู่บ่อยๆ ว่าอย่าคิดมาก เราไม่ต้องเอาคำพูดคนทุกคนมาใส่ใจหมดทุกเรื่องหรอกนะ เราเองก็รู้ตัวว่าเราคิดเยอะไป และพยายามที่จะใส่ใจให้น้อยลงในทุกๆ วัน
การได้สนิทสนมกับกลุ่มคนที่เขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ไม่เก็บเอาเรื่องพวกนี้มาคิด ช่วยเราได้มากขึ้น ทำให้มองเห็นว่าคำติเตียนของคนอื่นทำอะไรเราไม่ได้ คำว่าร้ายจากคนอื่นไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตของเราสักหน่อย เราพยายามบอกตัวเองแบบนี้ คอยฝึกตัวเองอยู่เรื่อยๆ
ถ้าในอนาคตคุณตัดสินใจไปนิวยอร์กขึ้นมาจริงๆ คุณอาจต้องเจอกับความเคว้งคว้างและเผชิญกับชีวิตยากๆ ที่นั่น คุณกลัวหรือเปล่า
เราผ่านการเป็นนางแบบมา 7 ปีแล้ว มีประสบการณ์กับวงการนี้มาพอสมควร ถ้าไม่เจอเรื่องที่ทำให้เราเสียศูนย์ เราสามารถเดินแบบด้วยความมั่นใจได้ทุกเวที เพราะฉะนั้น ถ้าต้องไปนิวยอร์กมันก็จะไม่ใช่ความกลัวแล้ว แต่จะเป็นความท้าทายและตื่นเต้นที่จะได้เห็นอะไรใหม่ๆ มากกว่า เราอยากรู้ว่าถ้าเราไปเดินบนเวทีที่นิวยอร์กคนจะมองเราอย่างไร เราจะได้ฟีดแบ็กอะไรกลับมา
ทุกวันนี้เวลาย้อนกลับไปดูคลิปเดินแบบเก่าๆ ของตัวเอง เราไม่ได้ดูตัวเองเลย เราดูว่าคนที่นั่งอยู่เขามองเราด้วยความรู้สึกแบบไหน ไม่มีใครมองเราแบบดูถูก แล้วเราก็จะดีใจมากเวลามีคนมองตามตลอดทางที่เราเดินอยู่บนนั้น
หลายๆ คนบอกว่าถ้าเราได้ไปนิวยอร์ก เราจะมีความสุขยิ่งกว่าตอนอยู่เกาหลีแน่ๆ เพราะไลฟ์สไตล์ของคนที่นั่นคือไลฟ์สไตล์ที่เราชอบ เราอยู่เกาหลีจนเริ่มเบื่อแล้ว สถานที่ฮิตๆ เราก็ไปมาหมดแล้ว ที่เที่ยวกลางคืนก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น พอไปบ่อยๆ ก็พบว่ามันก็แค่นั้นเอง แต่นิวยอร์กเต็มไปด้วยตรอกซอกซอย มีร้านลับๆ ให้เราได้เข้าไปเที่ยวมากมาย แล้วผู้คนก็หลากหลาย ไม่ใช่แค่ฝรั่งหัวทองเท่านั้นแต่มันเป็นที่รวมกันของผู้คนทั่วทั้งโลก เราว่าเราไม่กลัวนิวยอร์กหรอก อาจจะไปแล้วไม่อยากกลับมาเลยด้วยซ้ำ
แปลว่าอาจจะไม่ได้เรียนต่อจนจบมหาวิทยาลัย
(นิ่งคิด) พอรู้ว่าเราไม่ได้เรียนก็มีคนดูถูกเราเยอะเหมือนกัน แต่เรากลับคิดว่า ถ้าสมมติวันนี้เรายังเลือกเรียนอยู่ก็คงยังเรียนไม่จบ ไม่ได้ไปทำงานที่เกาหลี ไม่ได้เล่นหนังใหญ่ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ พอมาแล้วไม่คว้าไว้มันก็จะผ่านไปเลย วงการนี้มีคนหน้าใหม่เข้ามาตลอด ถ้าเรารู้ว่าชอบทำงานอะไร ทำไมไม่ทำเลยล่ะ ดีกว่าเรียนไปโดยที่ไม่รู้ว่าจบออกมาแล้วทำมาหากินอะไร หรือต่อให้รอกลับมาทำงานอีกครั้งหลังจากเรียนจบ เราต้องใช้เวลาอีกกี่ปีในการจะพาตัวเองขึ้นมาถึงจุดนี้
การไปผจญภัยในโลกกว้างดีกว่าต้องอยู่กับกราฟชีวิตที่นิ่งเฉย
ถูกต้อง เราเป็นคนเบื่อชีวิตง่าย ไม่ชอบจมอยู่กับอะไรซ้ำๆ เดิมๆ เรามาจากเด็กที่ไม่เคยต้องซักผ้าหรือทำงานบ้านเองเพราะมีพี่เลี้ยงคอยทำให้ตลอด พอเลือกที่จะออกมาทำงานอยู่เกาหลีคนเดียว เราต้องซักผ้าเอง เคยเอากางเกงในออกไปตากตอนที่อากาศหนาวมากๆ จนตอนเอากลับเข้ามากางเกงในกลายเป็นน้ำแข็ง ต้องใช้ไดร์เป่าให้มันแห้ง ได้เรียนรู้ว่าถ้าอากาศหนาวมากๆ อย่าเอากางเกงในออกไปตาก (หัวเราะ)
ช่วงอยู่เกาหลีสองปีแรก พอเริ่มคุ้นเคยแล้ว เราย้ายออกจากคอนโดฯ เปลี่ยนมาหาที่พักใน Airbnb พักห้องนี้ได้เดือนหนึ่ง ก็ย้ายไปอีกตึกหนึ่ง อยู่ต่อไปได้สักสองสามอาทิตย์ เราย้ายอีกแล้ว เหนื่อยกับการลากกระเป๋านะ แต่ชอบ เพราะฉะนั้น ความลำบากในการต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว เข้ามาได้เลยจ้า ความลำบากพวกนี้เป็นประสบการณ์ที่ดี และยังดีกว่าความลำบากเพราะไม่มีงาน ไม่มีเงิน รวมถึงการต้องทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ บนกราฟชีวิตที่ราบเรียบ
ตอนนี้ชีวิตเริ่มนิ่ง การเป็นนางแบบอย่างเดียวทำให้เราเริ่มรู้สึกว่าไม่พอแล้ว จึงมีแพลนว่าจะเปิดแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง แล้วก็เป็นบล็อกเกอร์ในยูทูบด้วย เป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น ระหว่างรอลุ้นว่าเราจะไปต่อกับการแสดงหรือว่าจะลุยไปนิวยอร์ก
อ่านบทสัมภาษณ์ซีรีส์ ‘ความกลัว’ อื่นๆ ได้ที่
- น้าเน็ก: กลัวที่สุดคือความรู้สึกแปลกหน้าที่ก่อให้เราเกิดความเกลียดชังต่อกัน
- เม้ง ชูใจ: ผมขอโทษ ถ้าผมเคยทำโฆษณาให้พวกคุณรู้สึกไม่ชอบตัวเอง
- บุญเลิศ วิเศษปรีชา: ค้นหาความกลัวของคนไร้บ้าน และคนที่ต้องทนทุกข์ ‘อยู่กับบาดแผล’
- ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี: เมื่อถูกหล่อเลี้ยงด้วยความกลัว เราจึงไม่กล้าฝันถึงสวัสดิการพึงได้รับ