ปี 1992 ‘ขัน’ – ขันเงิน เนื้อนวล และ ‘เดย์’ – เนเมียว ธาน แห่งวงไทยเทเนียม ในช่วงต้นของวัยรุ่นได้พบกันครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา บรรยากาศของดินแดนแห่งเสรีภาพหล่อหลอมให้ทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนซี้ และหลงใหลในบีตฮิปฮอปเหมือนกัน
แต่ทว่าในมุมหนึ่ง ความที่เติบโตจากเมืองไทย และฟังเพลงไทยมาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่พวกเขาจะแชร์ร่วมกันเพื่อคลายความเหงาจากความคิดถึงบ้านในบางเวลาก็คือการฟังเพลงไทย และหิ้วกีตาร์ไปชักชวนกันร้องเพลงที่ชื่นชอบในวัยเด็ก ไมโคร, นูโว หรือแม้กระทั่งคาราบาว ล้วนเป็นสุ้มเสียงแห่งความทรงจำ และทำให้พวกเขาอยากเดินทางสายดนตรี ตั้งแต่ก่อนจะมารู้จักกับฮิปฮอปด้วยซ้ำ
บทเพลงเก่าในวันวานจากวงดนตรีที่ชื่นชอบ วนเวียนอยู่ในใจพวกเขาเสมอมา
ผ่านไปยี่สิบกว่าปี ในปี 2017 ทั้งคู่ได้ชิมลางการนำเพลงเก่ามารีเมกใหม่ในอัลบั้ม NOW กับเพลง สบายดีหรือเปล่า ของวง XYZ และกลายเป็นที่ชื่นชอบของแฟนเพลง จนกระทั่งได้ตระหนักว่า ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะสานต่อความฝันในวัยเด็ก กับการนำเอาเพลงที่ชื่นชอบมาทำใหม่ในสไตล์ฮิปฮอปแบบ ‘KH.SD’
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของโปรเจ็กต์ Bring It Back ในปี 2020 นี้ โปรเจ็กต์ดิจิตอลอัลบั้มที่จะพาแฟนเพลงย้อนกลับไปปลุกเพลงในตำนานให้กลับขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง ซึ่งแต่ละเพลงจะถูกนำกลับมาทำใหม่หลากสไตล์ออกไป เช่น Hip-Hop, Trap Soul หรือ Neo Soul โดยมีขันเงินเป็นโปรดิวเซอร์ในอัลบั้มนี้ด้วยตัวเอง
เป็นโปรเจ็กต์ที่ทำให้พวกเขาได้หลับตาย้อนกลับไปหาเหล่าฮีโร่ในวัยเด็กด้วยความรู้สึกแบบใหม่
โปรเจ็กต์ Bring It Back มีจุดเริ่มต้นมาได้อย่างไร
เดย์: ย้อนกลับไปสมัยเด็กๆ พวกเราชอบเพลง รักปอนปอน ของวงไมโคร มากๆ เพราะเราเป็นแฟนเพลงศิลปินไทยในยุคนั้นหลายคน แต่ไม่เคยได้ทำสักที จนกระทั่งช่วงสามปีก่อน เราได้ทำเพลงรีเมก สบายดีหรือเปล่า ในอัลบั้ม NOW และได้รับการตอบรับที่ดีมาก เราจึงคิดกันว่า น่าจะถึงเวลาที่จะได้ทำเพลง รักปอนปอน บ้างเสียที จนมีอยู่วันหนึ่งที่เราไปงานคอนเสิร์ต ‘สนามหลวง สวนสนาม’ แล้วได้ไปคุยกับพวกพี่ๆ เขาก็เห็นด้วย พอคุยไปคุยมาคิดว่าไม่น่าทำเพลงเดียว เขาเลยหยิบยื่นโปรเจ็กต์นี้มาให้เราทำ โดยเลือก 5 เพลง ลืมไปไม่รักกัน กองไว้ ใจโทรมโทรม รักปอนปอน และ ไหนว่าจะไม่หลอกกัน
ขัน: เราคุยกับค่ายเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน และเริ่มทำกัน แต่หลังจากนั้นก็มาเจอโควิด-19 เลยลากยาวกันมา และทำเสร็จช่วงโควิดพอดี มู้ดเพลงเลยเป็นความรู้สึกเหงาๆ ว้าเหว่ ชิลๆ เพราะว่าตอนที่ทำเพลงเราอยู่บ้าน ดูฝนตกอยู่คนเดียว (หัวเราะ)
พูดถึงโควิด-19 ช่วงนั้นพวกคุณเป็นอย่างไร ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ บ้างไหม
ขัน: เราอยู่คนเดียว เราเลยไม่ทำอาหาร เพราะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเกินไปกับการทำอาหารให้ตัวเองกิน (หัวเราะ) เราเลยสั่งมาแล้วทำอย่างอื่นดีกว่า เราได้เรียนรู้อะไรในการทำเพลงเยอะ คือเราทำงานในสตูดิโออยู่แล้ว แต่อาจจะไม่ได้มีเวลามานั่งดูอะไรเล็กๆ น้อยๆ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ พอได้นั่งเรียนรู้ก็เห็นว่ามีโปรแกรมที่เพิ่งออกใหม่มามากมาย ที่มาช่วยเราทำเพลงได้ กับอีกอย่างคือสกิลการปลูกต้นไม้ เราไม่เคยปลูกมาก่อนในชีวิต จนได้ปลูกเป็นสวนจริงจังเลย (หัวเราะ)
เดย์: ส่วนเรากลายเป็นว่าต้องมาทำกับข้าว เพราะไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก ไม่กล้าสั่งมาด้วย เราไปซื้ออาหารมาตุนเต็มเลย พอทำกับข้าวก็คิดว่าน่าจะถ่ายเล่นๆ ไว้ เราเลยทำยูทูบของตัวเองช่อง What Ever Day ขึ้นมา สนุกดี
เห็นว่าเพลงทั้งห้าในโปรเจ็กต์นี้เป็นเพลงที่พวกคุณชื่นชอบในวัยเด็กตอนอยู่อเมริกา อยากให้เล่าบรรยากาศชีวิตไกลบ้านให้ฟังคร่าวๆ หน่อย
ขัน: ตอนอยู่ที่นั่นเราเป็นดีเจประจำโรงเรียน ก็จะฟังฮิปฮอปจ๋าเลย แต่ว่าก่อนหน้านั้นเราโตที่เมืองไทยจนถึงอายุ 13 ปี เพราะฉะนั้นเราจะซึมซึบไมโคร นูโว ก่อนที่จะออกไปเรียนที่ต่างประเทศ ถือว่ามีความเป็นไทยอยู่ข้างในแหละ พอไปเจอเดย์ที่อเมริกาช่วงแรก เขาก็จะหิ้วกีตาร์กับหนังสือเพลงมา เขาก็ดึงเราไปร้องเพลงเล่นกีตาร์ตามประสาเด็กไทยสมัยก่อน เราก็ดึงเขามาฝั่งฮิปฮอป เราเลยได้แลกเปลี่ยนกัน ดังนั้น เพลงในโปรเจ็กต์นี้เกือบทั้งหมดเป็นเพลงที่เราฟังตั้งแต่สมัยที่เจอกันแรกๆ ตอนประมาณปี 1992
เดย์: เราโตจากเมืองไทย และย้ายไปอเมริกาตอน 14 ปี ตอนอยู่เมืองไทยเราฟังอัสนี-วสันต์, ไมโคร, คาราบาว, พี่ปู พงษ์สิทธิ์, คาราวาน ทั้งเพื่อชีวิต ทั้งร็อกแอนด์โรล แต่พอย้ายไปอเมริกา เราก็ไม่ได้เจอตรงนั้นอีก และมันก็กลายเป็นฮิปฮอป พอไปเจอขัน ซึ่งเขาเป็นดีเจที่นั่นอยู่แล้ว เขารู้จักฮิปฮอปมาก่อนเรา เขาก็แนะนำฮิปฮอปให้เราฟัง เราฟังแล้วก็คิดว่า เฮ้ย สนุกว่ะ เร้าใจดี
ขัน: คือเดย์ชอบเพลงเพื่อชีวิต เราเลยบอกไปว่า ฮิปฮอปมันเพื่อชีวิตนะ เราก็เปิดแต่ละเพลงที่มีความหมายเขาฟัง เขาก็ เออ จริงว่ะ ฮิปฮอปมันพูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม เหมือนเพลงเพื่อชีวิตเลย
เดย์: พูดคำหยาบได้เต็มที่ด้วย เราอยู่เมืองไทยไม่เคยเจอ (หัวเราะ) คำพูดแบบ Fuck the police, Fuck you, Smoke the chronic อะไรแบบนี้ เต็มที่มาก เฮ้ย ทำได้ไงวะ เราไม่เคยเจอ เพราะเมืองไทยจะมีกำแพงว่า คุณต้องพูดเพราะ ต้องมีภาพลักษณ์ที่ดี เราเลย fell in love with it รักฮิปฮอปเลย
ชีวิตวัยนั้นสุดเหวี่ยงขนาดไหน
เดย์: ขันเป็นดีเจของโรงเรียนอยู่แล้ว ก็จะมีคนจ้างเขาไปเปิดเพลงในปาร์ตี้ทุกวันศุกร์ เราก็จะไป house party กัน วีรกรรมเยอะ เราก็จะเป็น MC ให้เขา ขันก็เป็นดีเจ ทุกศุกร์ เสาร์ เราจะรอสองวันนี้ เพื่อจะปาร์ตี้อย่างเดียว (หัวเราะ)
ขัน: พอมาช่วงโตเป็นจูเนียร์ คือเกรด 11 (ม.5) ก็เริ่มมีทีม มีรถกระบะเพื่อน ขนลำโพง เอาเครื่องเล่นแผ่นเสียง เอาแผ่นเสียงไปทัวร์ที่นั่นที่นี่ สนุกมากๆ เรียกว่าเกือบทุกปาร์ตี้โดนตำรวจมาปิดหมด เพราะมันเหมือนเด็กซื้อเบียร์เป็นถังมากดใส่แก้ว ไม่มีอะไรถูกกฎหมาย พอตำรวจมา พวกเราก็บอก เฮ้ เราโดนจ้างมา เราไม่เกี่ยว แล้วค่อยๆ แอบเก็บของกลับ รอดตลอด (หัวเราะ) ถือเป็นช่วงที่สนุก ทั้งฮิปฮอป ทั้งเพลงไทยที่เราได้เล่นคลายคิดถึงบ้านกัน
ในโปรเจ็กต์ Bring It Back ทำไมต้องเป็น 5 เพลงนี้
เดย์: อย่างเพลง รักปอนปอน เริ่มมาตั้งแต่เราเด็กๆ เป็นเพลงประจำใจ ตอนนั้นเราดูในทีวีแล้วคิดว่าเท่มาก ไมโครต้องมือขวา พอได้มาเจอขัน ก็เล่นกีตาร์เพลงนี้กัน
ขัน: สมัยนั้นเพลง ใจโทรมโทรม ก็ออกมาแล้ว เพลง ลืมไปไม่รักกัน กับ กองไว้ ออกมาตอนที่เราอยู่ที่อเมริกา เพลง ไหนว่าจะไม่หลอกกัน เป็นเพลงที่อายุน้อยสุดใน 5 เพลง แต่เป็นเพลงที่เรามาชอบตอนกลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว เพราะตอน Silly Fools ออกเพลงนี้ เราก็อยู่ที่นี่ ออกอัลบั้มพร้อมๆ กันในช่วงนั้น และได้ออกไปเล่นคอนเสิร์ตทัวร์ด้วยกันบ้าง
เท่าที่ดูรายชื่อก็เป็นเพลงเศร้าทั้งหมดเลย
ขัน: ใช่ นั่นคือคอนเซ็ปต์ คือเวลาออกผลงานคู่กับเดย์ เราจะพยายามทำอะไรที่ไม่ให้เหมือนไทยเทเนียมมากเกินไป เพราะเวลาเรารวมกันสามคน อันนั้นคือกลิ่นอายแบบไทยเทเนียม แต่ตอนนี้เราอ้อมมาเป็นอีกสไตล์หนึ่งเลย แต่ก็ยังให้ความรู้สึกว่าเราสองคนทำด้วยกันแล้วไม่แปลก เพราะมันเป็นเพลงที่เราสองคนอายุถึงแล้ว และเข้าใจความหมายเพลง (หัวเราะ)
เดย์: ที่เห็นว่าเป็นเพลงเศร้าเพราะเนื้อเพลงดั้งเดิมเป็นแบบนั้น ในโปรเจ็กต์นี้ขันจะร้องเนื้อเพลงดั้งเดิม ส่วนเราจะร้องท่อนแร็ปที่เขียนเพิ่ม แต่ท่อนแร็ปจะไม่เศร้า เพราะเราเขียนด้วยจินตนาการว่าเราผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาแล้ว และอยู่กับปัจจุบัน ก็เลยไม่ทำให้เพลงเศร้ามากจนเกินไป
ขัน: ด้วยจังหวะดนตรีที่เรามาทำใหม่ เพลงจะไม่ได้เศร้าจมปลัก แต่จะมีจังหวะที่ทำให้เราหวนคิดมากกว่ามานั่งเศร้า แต่จริงๆ ก็เป็นสไตล์ไทยเทเนียมอยู่แล้วนะ คือไทยเทฯ ไม่เคยมีเพลงรักที่เศร้าเลย ถึงเพลงเศร้าก็ไม่ได้เศร้าเท่าไหร่ เราเลยเลือกคอนเซ็ปต์แต่ละเพลงที่เราไม่ค่อยได้เขียนเวลาเราเป็นไทยเทเนียม เพราะว่าเราจะมีแต่เพลงทะลึ่ง จีบหญิง เอาแต่ใจตัวเอง (หัวเราะ)
เดย์: เราดีใจมากที่ได้ทำโปรเจ็กต์นี้ เพราะว่ามันเป็นความฝันของเราตั้งแต่เด็กๆ ที่อยากจะเป็นนักร้อง
กดดันไหม เพราะแต่ละเพลงก็เป็นตำนานทั้งนั้น
ขัน: ไม่กดดันเลย เพราะอย่างตอนที่เราทำ สบายดีหรือเปล่า หลายคนคิดว่าเป็นเพลงของเราด้วยซ้ำ เราบอกไม่ใช่ เป็นเพลงของพี่ๆ วง XYZ เราแค่เอามาทำใหม่ในเวอร์ชันของเรา แล้วด้วยความที่เราเริ่มมาจากการเป็นดีเจ เราจะเข้าใจคำว่ารีมิกซ์ เวลาเรารีมิกซ์ เราเอาเพลงเก่ามาทำใหม่ให้เป็นรีมิกซ์ เป็นเรื่องถนัดของเราที่ชอบดัดแปลง ทั้งชีวิตเราทำตรงนี้มา ปกติเวลาทำงานก็จะถามตัวเองร้อยแปดพันรอบว่ามันโอเคไหม ดีไหม เติมไหม เป็นวิธีคิดของเราอยู่แล้ว ดังนั้น เราเลยค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าเราฟังแล้วแฮปปี้ คนฟังก็น่าจะแฮปปี้ตาม แล้วด้วยประสบการณ์ที่เราทำมา 20 กว่าปี เราก็ค่อนข้างจะเข้าใจคนฟังที่ติดตามเรา
ความสนุกหรือความน่าสนใจของโปรเจ็กต์นี้คืออะไร
เดย์: ความสนุกคือได้ทำในสิ่งที่อยากทำมานาน แล้วเป็นสิ่งใหม่มากที่เราไม่เคยได้ทำ อย่างสไตล์ neo soul สไตล์ trap soul หรือสไตล์แบบ 80s-90s ก็ไม่เคยทำ แล้วที่ไม่เคยเลยคือการได้ร้องแร็ปแบบเมโลดี้
ขัน: ความน่าสนใจคือคนไม่เคยได้ยินสิ่งนี้จากเรา แล้วเรากลับมาร้องอย่างเดียวโดยไม่มีแร็ปครั้งสุดท้ายก็ 21 ปีที่แล้ว (อัลบั้ม อารมณ์ขัน…หวาน) ที่แกรมมี่เลยนะ (หัวเราะ)
ความสนุกระหว่างการเอาเพลงฉบับดั้งเดิมมารีเมกกับการทำเพลงตัวเองขึ้นมาใหม่แตกต่างกันไหม
ขัน: สนุกเหมือนกันนะ ถ้าเทียบระหว่างการสร้างเพลงออริจินัลกับที่เพลงเราเอามารีเมก เพลงออริจินัลบางทีเราคิดมาจากมุมที่ไม่เคยเกิดขึ้น หรือว่าเราพยายามหาอะไรที่ไม่เหมือนใคร หรือบางทีก็พยายามหาอะไรที่คล้ายบางสิ่งที่เราชอบ ซึ่งก็จะมีวิธีคิดในการสร้างเพลงออริจินัล แต่เวลาทำเพลงรีมิกซ์หรือรีเมก เรารักเพลงนั้นอยู่แล้ว มันเลยต้องอินกับเพลงนั้นก่อน พออินแล้วเราจะเข้าใจเพลงนั้นหลายๆ มุม ว่าดนตรีเก่าเขาใส่อะไรลงไปบ้าง ถ้าเราใส่ดนตรีใหม่ เราเอาอันนี้ออก จะเป็นอย่างไร จะต่างกับแบบเดิมไหม ถือเป็นความท้าทายคนละแบบ สนุกคนละแบบ
เดย์: เพลงฉบับดั้งเดิมของเขาดีอยู่แล้ว ความท้าทายคือเราจะทำอย่างไรให้แร็ปใหม่ของเราเข้าไปกลมกล่อมกับเขา และเป็นเส้นเดียวกันได้
แต่ละคนชอบเพลงไหนในโปรเจ็กต์นี้ที่สุด
เดย์: จริงๆ รักทุกเพลง แต่ถ้าให้เลือกก็คงเป็นเพลง รักปอนปอน เพราะทุกอย่างเริ่มจากตรงนั้นในวัยเด็กที่เราอยากเป็นอย่างเขา คิดถึงภาพเด็กถือไม้กวาดอยู่หน้ากระจกเล่นเป็นกีตาร์ ผมก็ยังไม่ยาว แต่ก็โยกหัวสนุกเลย (หัวเราะ)
ขัน: เราชอบเพลง รักปอนปอน เหมือนกัน แต่ถ้าให้เลือกต่างจากเดย์ก็คงเป็นเพลง ไหนว่าจะไม่หลอกกัน เพราะมันตรงข้ามกับเพลงแรก คือเพลง รักปอนปอน เป็นซาวนด์ 80s สมัยนี้ที่ทำให้เหมือนสมัยนั้น แต่เพลง ไหนว่าจะไม่หลอกกัน เป็นซาวด์ trap soul ซึ่งเป็นซาวนด์ที่น้องๆ ในสมัยนี้ทำกัน คือเราเอาเพลงเก่ามาแปลงรูปเป็นเพลงสมัยนี้เลย
พวกคุณคาดหวังกับโปรเจ็กต์นี้อย่างไรบ้าง
ขัน: ไม่ได้คาดหวังมาก คิดว่าเป็นตามชื่อโปรเจ็กต์คือ Bring It Back เลย คือเราอยากจะนำเพลงที่ชื่นชอบกลับมา เราก็ทำเพลงที่เราชอบก่อน พอเราชอบ เราแฮปปี้พอที่เราจะฟังวนไปเรื่อยๆ นั่นก็ถือว่าดีแล้ว เพราะปกติเราฟังเพลงตัวเองไปสักพักก็จะเบื่อ เพราะอย่างเราเองอยู่ในทุกขั้นตอนเลย ตั้งแต่เคาะบีตขึ้นมา เรียบเรียง อัดเสียง มิกซ์ มาสเตอร์ จนจบบางเพลงเราไม่ฟังแล้ว จนคนมาเปิดให้ฟังอีกทีก่อนจะเล่นคอนเสิร์ต แต่โปรเจ็กตน์นี้เป็นเพลงที่ฟังสบาย อยู่เฉยๆ เราก็เปิดฟังได้ บางทีคนเปิดเพลงเราก็จะเขินๆ แต่อันนี้เปิดมาก็ฟังได้ ฟังสบายดี
อยู่ในวงการมานาน ยังตื่นเต้นกับการกลับมาปล่อยอัลบั้มแต่ละครั้งอยู่ไหม
เดย์: ตื่นเต้นตลอดเวลา เวลาเราทำอะไรใหม่ๆ ต้องตื่นเต้น ความรู้สึกตื่นเต้นมันอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไม่รู้สึกตื่นเต้น เราว่าไม่ใช่แล้ว ต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่าง ยกตัวอย่างเวลาเราไปเล่นคอนเสิร์ต ส่วนตัวเราจะตื่นเต้นเหงื่อออกตลอดเวลา (หัวเราะ)
ขัน: เราว่าคนสร้างผลงานต้องมีความลุ้นของตัวเองไม่มากก็น้อย บางคนอาจไม่ได้คาดหวังอะไร แต่อย่างน้อยในใจก็อยากรู้ว่าผลงานเราออกไปแล้วจะชอบไหม
ในขณะที่โปรเจ็กต์นี้ทำเพื่อฮีโร่ในวัยเด็กของพวกคุณ เด็กๆ ในแวดวงฮิปฮอปยุคนี้ก็ยกให้คุณเป็นครู เป็นฮีโร่ เช่นเดียวกัน คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
เดย์: รู้สึกดีในความเคารพที่เขามีให้เรานะ เหมือนเราเป็นไอดอลให้เขามา เขาฟังเพลงเรามา แต่กลับกันเราเองได้ไฟจากเขามากกว่า เพราะเด็กสมัยนี้เก่งมาก เราเห็นไฟในตัวเขา แล้วเราก็รู้สึกว่าเราต้องเร่งตัวเองขึ้นมาบ้าง บางทีการแค่เขามองหน้าเราและสวัสดี ก็เหมือนให้กำลังใจเราแล้ว
ขัน: เป็นความรู้สึกที่ดี คือสำหรับเราเองชีวิตขึ้นลงเสมอ ไม่ได้ราบรื่น เราเริ่มมาจาก Khan-T ก็เฟล ก่อนจะมาประสบความสำเร็จ มันขึ้นลงมาตลอด ทำให้เรารู้สึกว่าการเดินทางในวงการเพลงไม่ง่าย ต้องทำไปเรื่อยๆ พอมาถึงตอนที่เราออกอัลบั้ม Thailand Most Wanted ก็เป็นจุดที่ฮิปฮอปโด่งดังมาก หลังจากนั้นพอมันเริ่มลงปุ๊บ EDM เข้ามา เราเห็นหลายคนยอมแพ้ เห็นน้องๆ ที่มีสกิลน่าจะไปได้ ที่เราอยากสนับสนุน เขาบอกไม่ไหวแล้ว ต้องไปทำงานประจำ เพราะเขาอยู่ไม่ได้ เห็นแบบนั้นเราก็ไฟมอดไปด้วย แล้วเราจะทำต่อไปเพื่ออะไร แต่เราก็ต้องทำไปเรื่อยๆ เพราะมันคือหน้าที่การงานเรา
จนมาถึงยุคนี้ที่ว่ามันกลับขึ้นมาใหม่ คราวนี้มีบุคลากรเยอะขึ้นมาก อย่างเมื่อก่อนยูทูบยังไม่มาเลย การที่น้องๆ จะทำอะไรมันก็ยาก แต่พอมาถึงตอนนี้ง่ายขึ้น แต่ความยากคือทำให้คนรู้จักเรายากขึ้น เพราะใครๆ ก็ทำเพลงได้ ซึ่งพอถึงจุดนี้เราก็ได้พลังกลับมาว่า ฮิปฮอปกลับมาคราวนี้เราต้องช่วยกันสร้างและไม่ทำให้หายไปแล้ว เราต้องสนับสนุนต่อ และต้องทำผลักดันให้มากกว่านี้อีก
ยุคนี้บรรยากาศฮิปฮอปและสังคมค่อนข้างเปิด เล่าเรื่องราวผ่านเพลงได้เยอะ ในขณะที่ยุคก่อนอาจจะยากกว่า พวกคุณรู้สึกเสียดายที่เกิดเร็วไปหน่อยไหม
ขัน: ไม่เสียดายเลย เพราะสมัยก่อนก็สนุกอีกแบบ เราได้บุกเบิก ได้ลองของมาก่อน ลองผิดลองถูกมา เขาถึงให้เราอยู่ในจุดที่เราอยู่ตอนนี้ไง เพราะเราเบิกทางให้ น้องๆ จะพูดเสมอว่าเราเป็นพวกถางหญ้าก่อน เป็นนักสำรวจ ไปในที่ที่ไม่มีใครเคยไปสำหรับประเทศไทย พอตอนนี้มีทางให้เดินสะดวกแล้ว มีคนทำถนนให้แล้ว ดังนั้น เราจะมองว่าเราทำแบบนั้นมากกว่า คือเราก็สร้างโร้ดแม็ปให้น้องๆ ได้ทำตาม และเดินง่ายขึ้นสำหรับเขา ถ้ามาเกิดยุคนี้กว่าจะทะลุดังไปก็ยากนะ เพราะว่าน้องๆ เก่งมาก (หัวเราะ)