เขียนไขและวานิช

เขียนไขและวานิช: โปรดปล่อยวางความทุกข์ และร่วมเสพความสุขที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ชีวิตหนึ่งเราจะวัดคุณค่าของความสำเร็จจากอะไร

       สำหรับ ‘โจ้’ – สาโรจน์ ยอดยิ่ง หรือที่รู้จักกันในนาม ‘เขียนไขและวานิช’ ศิลปินโฟล์กผู้หลงรักเรื่องของของธรรมชาติและความสามัญของมนุษย์​ เชื่อว่าการปล่อยวางความทุกข์และร่วมเสพความสุขในปัจจุบันที่เขาเองก็ยอมรับว่ามันคือ ‘แก่น’ ที่ทำให้ชีวิตนี้มีคุณค่า และเพียงพอต่อการจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป

       “เราไม่เคยคิดที่จะเป็นศิลปินชื่อดังแบบนั้นเลย เรารู้สึกว่ามันเพียงแค่วูบเดียวแล้วก็หายไป พรุ่งนี้ตื่นมาเราก็เจอคนที่เก่งกว่ามาแทนที่แล้ว ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือเราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า ณ ตอนนี้ทำอะไรอยู่แล้วมีความสุข อย่าไปหวังจะมีความสุขอนาคตข้างหน้า เอาทุกวันนี้ให้มีความสุขก็พอแล้ว” 

 

เขียนไขและวานิช

ที่มาของการรวมกันระหว่าง ‘บทกวี’ และ ‘ดนตรีโฟล์ก’ จนกลายเป็นเขียนไขและวานิชคืออะไร

       จริงๆ ดนตรีโฟล์กมาทีหลังเรื่องเนื้อเพลง เรามีเรื่องราวที่อยากเล่าอยู่ก่อน แล้วค่อยเอาเสียงกีตาร์เข้ามาสวมเป็นองค์ประกอบเท่านั้นเอง ซึ่งเหตุผลไม่มีอะไรลึกล้ำเลย เราเป็นคนเล่นดนตรีไม่เก่ง ดังนั้น การเกากีตาร์แบบโฟล์กมันง่ายสุด (หัวเราะ)

       แต่ต้องบอกว่าดนตรีโฟล์กไม่ได้สำคัญขนาดนั้น เรามองมันเป็นเครื่องมือที่ใช้ทำงานศิลปะมาโดยตลอด ตัวเราเองก็ทำงานศิลปะมาบ้างทั้งวาดรูปหรืองานประติมากรรม ส่วนเขียนไขและวานิช แก่นของมันจริงๆ คือเรื่องราวที่เป็นศิลปะมากกว่า มันคือสิ่งที่เราต้องการถ่ายทอด ส่วนจะเป็นรูปภาพ เป็นตัวอักษร หรือเป็นเสียงกีตาร์อันนั้นก็ตามแต่ศิลปินจะถนัดใช้

ศิลปะในเพลงของเขียนไขและวานิช ส่วนใหญ่กำลังบอกเล่าเรื่องอะไร

       ส่วนใหญ่คือการเดินทาง สิ่งที่ไปพบเจอมา แต่เราจะไม่เอามาเล่าเหมือนคนอื่น มันจะแปลกกว่าชาวบ้านเขา เช่น วันนี้ไปเจอผู้หญิงคนนี้มา เราก็จะไม่บอกตรงๆ ว่าวันนี้ฉันเจอผู้หญิงคนนี้ เราจะบอกว่าวันนี้พบดอกไม้ที่สวยมาก หรือได้ยืนมองดวงจันทร์ที่งามที่สุดในชีวิตแทน อย่างที่บอกว่ามันคืองานศิลปะ เราอยากให้ผู้ฟังเขาตีความเอง อยากให้เขาเอาประสบการณ์ตัวเองมาประกอบร่วมกับงาน ไม่อยากไปชี้นำใครให้เขาคิดตามเรา

ทำไมถึงอยากจะเล่าผ่านเสียงดนตรี แทนงานศิลปะแบบเดิมที่ทำอยู่เป็นประจำ

       จริงๆ ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องทำเป็นดนตรีโฟล์กแบบนี้เลย ปกติแล้วเรื่องราวพวกนี้เราจะเขียนเป็นบทกวีมากกว่า เจออะไรมาก็เขียนลงสมุดเก็บไว้คนเดียว แต่พอเราเห็นเพื่อนในกลุ่มเริ่มทำเพลงของตัวเองขึ้นมาก็อยากมีบ้าง เลยลองเขียนเนื้อในแบบตัวเองดู ก็เขียนมาเป็นกวี เหมือนจะเขียนหนังสือเลย (หัวเราะ) แล้วก็ลองเอาคอร์ดกีตาร์มาใส่ดู อันไหนเข้าท่าเราก็จะอัดเก็บไว้ใน Soundcloud

 

เขียนไขและวานิช

ถ้าให้คุณนิยามแนวเพลงของเขียนไขและวานิชควรจะเป็นแนวอะไร

       กวีที่ใส่ทำนอง (ยิ้ม)

แล้วทำไมถึงไม่ทำเป็นหนังสือ ให้คนอ่านตัวอักษรไปเลย

       ตัวผมเองก็ไม่ใช่คนเขียนหนังสือเก่งขนาดนั้น ผมคิดว่าคนทำงานหนังสือได้ต้องเก่งมากเลย ผมก็เขียนได้ระดับงูๆ ปลาๆ อาศัยอารมณ์พาไปเท่านั้น อย่างที่บอกว่าตอนแรกทำเล่นๆ ไม่ได้จริงจังอะไรเหมือนทุกวันนี้

คำว่า ‘ทำเล่นๆ’ ของคุณ เดินทางมาไกลมากเลย

       เพลงมันเดินทางด้วยตัวเอง ขนาดเราเองยังไม่รู้ตัวเลย ตอนแรกเราอัดเอาไว้ 23 เพลง แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร ก็เป็น 1 ใน 23 เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว จนวันหนึ่งมีรุ่นพี่บอกว่าเพลงนี้เข้าท่าดี เราเลยเอามาปล่อยในยูทูบดู ซึ่งมันดังตอนไหนเรายังไม่รู้เลย จำได้ว่าตอนนั้นยังปั้นบันไดพญานาคอยู่ที่สวนนงนุชอยู่เลย (หัวเราะ)

       ส่วนตัวเราคิดว่า คงเป็นช่วงที่คนเริ่มกลับมาฟังเพลงโฟล์กเยอะขึ้น แล้วเราก็ดันปล่อยเพลงถูกเวลาพอดี พอรุ่นพี่เขาปูทางเพลงแนวนี้ รวมกับพลังของโลกออนไลน์​มันเลยไปถึงหูคนฟังเยอะขึ้น แต่กลับไม่ถึงหูเราเลยตอนนั้น (หัวเราะ)

 

เขียนไขและวานิช

เพลงดังสมัยนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายขนาดนั้น การที่เพลงของคุณก็กลายเป็นกระแสขึ้นมาได้ แสดงว่าต้องมีของดีอยู่บ้างเหมือนกัน

       ไม่รู้จะเรียกว่าของดีได้ไหม แต่เราอาศัยฟังเพลงเยอะเข้าสู้ สมัยก่อนเราชอบ ตุ๊ แครี่ออน, อารักษ์ อาภากาศ หรือนักดนตรีเชียงใหม่รุ่นเก่าๆ คนกลุ่มนี้คือปรมาจารย์ของเราเลย แค่หมูตัวเดียวเขาก็เล่าให้เป็นเรื่องได้ เราเลยติดวิธีทำเพลงแบบนั้นมาค่อนข้างเยอะ อีกอย่างคือเราไม่ค่อยเล่าเรื่องไกลตัวมาก วันหนึ่งเจออะไรมา เพื่อนมีอะไรมาเล่า เราก็เอามาเขียนเพลง ง่ายๆ ไม่ต้องคิดเยอะ อย่างเพลง แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร ก็มาจากชีวิตของเรา

 

 คำว่า ‘แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร’  มีความหมายอย่างไรกับชีวิตของคุณ

       มันเกิดขึ้นตอนเราไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้วไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเป็นสาวภูไท หน้าสด ไม่มีเครื่องสำอาง แต่เรารู้สึกว่าเขาสวยมาก มีแก้มแดงที่เป็นธรรมชาติของผู้หญิงจริงๆ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเขาคือคนที่สวยในอุดมคติของเรา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ได้แต่ชื่นชม ณ ตอนนั้น 

       แต่พอกลับมาถึงบ้านเรารู้สึกว่าใบหน้าของเขาตกข้างอยู่ในหัวเรา พอยิ่งกลับไปอยู่ที่บ้านก็ยิ่งคิดถึงเข้าไปอีก เลยตัดสินใจนั่งเขียนความรู้สึกลงกระดาษเลย เขียนครึ่งชั่วโมงในห้องรกๆ ของตัวเอง เสร็จแล้วก็อัดเสียง แล้วฟังเลย 

หลายคนเคยบอกว่าผลงานที่เสร็จไวๆ แสดงว่ามันจะออกมาจากหัวใจอย่างแท้จริง คุณคิดอย่างนั้นไหม 

       ไม่เลย ผมฟังจบคิดในใจทันที มึงแม่งเชยว่ะ (หัวเราะ) ก็เลยอัพโหลดลง Soundcloud ตั้งโพสต์แบบส่วนตัว เก็บไว้ฟังคนเดียว

ทำไมถึงคิดว่าเชย ในเมื่อมีแฟนเพลงเขาชื่นชอบเพลงนี้ของคุณเป็นจำนวนมาก

       เพราะเพลงอื่นผมจะเขียนเชิงกวี มีการใช้สัญลักษณ์แทนหมดเลย แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร เป็นเพลงเดียวที่ผมเขียนอย่างเปิดอก ไม่มีอะไรมาเคลือบไว้ อยากเล่าถึงผู้หญิงก็เขียนไปทื่อๆ แบบนั้น เหมือนแกะดำในหมู่เพลงที่ผมแต่ง แต่อีกมุมหนึ่ง พอมันจริงใจมากๆ แบบนี้ ก็คงไปโดนใจคนฟังบางกลุ่มเข้าเหมือนกัน

 

เขียนไขและวานิช

ทุกวันนี้ยังเจอผู้หญิงแก้มแดงคนนั้นบ้างไหม

       ยังเจอกันอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เธอรู้แล้ว (หัวเราะ) ตอนเจอกันก็มาขอบคุณเราที่แต่งเพลงให้ขนาดนี้ แต่กว่าจะรู้คือ 10 ปีต่อมาเลย เพราะตัวเขาเองก็เพิ่งได้ฟังตอนเราไปเล่นสดในจังหวัดนั้นเมื่อต้นปีที่แล้วเอง ตอนนี้เธอแต่งงานแล้ว มากับครอบครัว มีลูกด้วย แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เหตุการณ์มันผ่านมานานแล้ว เราก็ยินดีกับเขาไปตามเรื่อง

ในเมื่อเพลง แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร ประสบความสำเร็จขนาดนี้ เคยคิดจะแต่งเพลงแนวเดียวกันออกมาอีกบ้างไหม

       ตอนนี้ไม่มีแผนเลย เราคิดอะไรไม่ออก เพราะว่าทัวร์บ่อยมาก เลยคิดว่าจะพักทัวร์ก่อน เพราะทุกคนช้ำกันหมดแล้ว ไม่มีเวลาส่วนตัวให้ได้คิดอะไรเลย ชีวิตตอนนั้นมีแค่นั่งรถตู้ ขึ้นแสดง นอนหลับ แล้วก็ขึ้นรถตู้เดินทางต่อ 

       เหนื่อยกายเรากับเพื่อนไม่มีปัญหา แต่เหนื่อยใจนี่เรื่องใหญ่มาก เราหมดพลังในการเดินทางแล้ว ช่วงนี้ก็คิดตลอดว่าอยากเขยิบออกจากการเป็นศิลปินสักพักหนึ่ง ขอเวลาไปทบทวนตัวเองก่อนว่าอยากทำอะไรกันแน่ แล้วถ้าพร้อมเราอาจจะกลับมาพร้อมกับเพลงใหม่ 

คุณจะบอกว่าอุตสาหกรรมวงการดนตรีมันก็ทำร้ายตัวตนคุณ

       ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวินัยด้วย เราไม่ใช่คนที่ชอบทำตามกฎระเบียบเท่าไหร่ เน้นอารมณ์เป็นหลัก อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำอะไรก็พัก แต่พอเราเป็นศิลปินมันต้องเข้มงวด ต้องมีวินัยกับตัวเองมากขึ้น มันเลยทำร้ายจิตใจเราพอสมควร 

เบื่อไหมที่ต้องมาเล่นเพลง แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร ในทุกงาน 

       เมื่อก่อนเราจะหงุดหงิดมากเวลามีคนมารอฟังแค่ 2 เพลงดัง แล้วที่เหลือไม่ฟังเลย มันท้อ มันหงุดหงิด ไหนจะเสียงดังในร้านอีก ยอมรับว่าช่วงแรกเรามีอารมณ์เหมือนกัน แต่ผ่านไปสักพักเราไม่สนใจแล้ว เราสนใจแค่ว่าหน้าที่ของเราคืออะไร ก็ทำให้ดีที่สุดแค่นั้น ยังมีอีกหลายคนที่รอฟังทุกเพลงของเราอยู่ เราก็ต้องทำให้เต็มที่สมกับที่เขาเสียเงินมาดูเรา ทุกวันนี้เริ่มเรียนรู้ว่าอย่าเอาตัวเองไปอยู่กับคนอื่นมาก แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองรักก็พอ

 

เขียนไขและวานิช

มีความคิดที่จะทำให้เขียนไขและวานิชมีชื่อเสียงมากกว่านี้ไหม

       ไม่เลย ทุกวันนี้เรายังถามตัวเองกันอยู่เลยว่าสิ่งนี้คืองานประจำหรืองานอดิเรก ตอนแรกเราเริ่มทำเขียนไขและวานิชเพราะแค่อยากถ่ายทอดตัวตนออกไป ไม่ได้คาดหวังว่าคนจะต้องฟัง หรือชื่นชอบเราขนาดนั้น แต่พอมันเลยเถิดมาถึงขั้นนี้เราก็คิดไม่ตกเหมือนกันว่าควรเอาอย่างไรต่อไปดี เพราะมันไม่สนุกเหมือนสมัยก่อนแล้ว

ทุกวันนี้เวลามีเอกสารให้กรอกอาชีพที่ทำอยู่ จะเขียนว่าอะไร 

       ‘รับจ้างทั่วไป’ ก็พอ บอกว่าเป็นนักดนตรีมันอายปากตัวเอง

อารมณ์เสียไหมเวลาที่เพลงคุณดังมากๆ แต่คนฟังไม่รู้จักว่าคุณเป็นคนแต่ง 

       ขลังดีออก (หัวเราะ) อย่างเพลง สุขใจ ของ ไคโจ บราเธอร์ส ก็ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเป็นของ พี่จีน มหาสมุทร หรือเพลง ..ก่อน ของโมเดิร์นด็อก ก็ไม่รู้กันว่าต้นฉบับคือของ พราย ปฐมพร เราว่าคนฟังจะรู้หรือไม่รู้ว่าเพลงนี้ใครแต่ง ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าเพลงนี้มันสามารถสื่อสาร และทำให้เขาเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก็ถือว่าเพลงได้ทำหน้าที่ของมันเรียบร้อยแล้ว

หลังจากนี้ มีเป้าหมายอะไรบ้างที่คุณวาดฝันว่าจะกลับไปใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง

       เราคงอยากกลับไปใช้ชีวิตที่เชียงใหม่ ปลูกบ้าน มีร้านอาหารเล็กๆ เราเป็นคนชอบทำอาหาร อีกอย่างคือทำงานศิลปะ เราอยากมีศูนย์ศิลปะที่สามารถชวนเพื่อนนักดนตรีแถวบ้านมาทำกิจกรรมร่วมกัน ส่วนจะโตเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ เราไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นเลย เรารู้สึกว่ามันแค่วูบเดียวแล้วก็หายไป พรุ่งนี้ตื่นมาเราก็เจอคนที่เก่งกว่ามาแทนที่แล้ว ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือเราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า ณ ตอนนี้ทำอะไรอยู่แล้วมีความสุข อย่าไปหวังจะมีความสุขอนาคตข้างหน้า ของแค่ทำทุกวันนี้ให้มันมีความสุขก็พอแล้ว