ผู้ทรงอิทธิพลด้านสตรีทแฟชั่น ขวัญใจคนหนุ่มสาว หรือเจ้าพ่อคำคม สิ่งเหล่านี้อาจพูดถึง ‘ปู’ – จิรัฏฐ์ พรพนิตพันธุ์ บรรณาธิการนิตยสารสายแฟชั่น Cheeze และนิตยสาร Looker ได้เพียงเสี้ยวเดียว เพราะชายหนุ่มจากเกาะสมุย บอกเราว่ายังมีสิ่งที่ตัวเองอยากทำ อยากเป็น และอยากส่งต่อความคิดสร้างสรรค์ให้กับคนอีกหลายอย่างซึ่งการเปิดร้าน Island Multi-Brand Store ของเขาใน LIDO CONNECT ก็เป็นหนึ่งในโปรเจ็กต์ที่อยากทำมานานแล้ว และต้องเป็นที่ลิโด้เท่านั้นด้วย เพราะเขาบอกว่าแทบจะทุกช่วงชีวิต ‘สยาม’ คือพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับตัวเขามากที่สุด ไม่แพ้ท้องทะเลสีครามจากบ้านเกิดของเขา
ลิโดที่ผูกพัน
ผมรู้จักสยามตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย และมหาวิทยาลัยเราก็อยู่แถวนี้ ตอนทำงานก็ได้มาทำที่สยามอีก และที่นี่ถือเป็นจุดกำเนิดของนิตยสาร Cheeze เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วด้วย ตอนนั้นผมลากกล้องตัวเล็กๆ มาเดินถ่ายคน ถ่ายแฟชั่นแนวสตรีทอยู่แถวนี้ ส่วนลิโด้ก็เป็นสถานที่สำหรับการดูหนัง ซึ่งจะเป็นหนังอินดี้หรือหนังนอกกระแสที่หาดูยาก แม้กระทั่งหนังสั้นดีๆ หลายๆ เรื่องก็หาดูได้ที่นี่ ความผูกพันกับที่นี่ก็จะเป็นการเสพหนัง อาจจะมีมาช้อปปิ้งบ้าง แต่หลักๆ ลิโด้สำหรับผมคือการมาดูหนัง
ไอส์แลนด์พาแบรนด์สู่ตลาดโลก
การทำร้าน Multi-Brand Store เป็นโปรเจ็กต์ที่คิดเอาไว้นานแล้ว เราทำนิตยสารแฟชั่นมาก็จะมีความรู้เรื่องอุปสงค์-อุปทานในเชิงแฟชั่น ทำให้เห็นว่านอกจากเราจะเป็นศูนย์กลางของสื่อแฟชั่นแล้ว เราน่าจะทำอะไรได้มากกว่านั้น เลยออกไอเดียมาเป็นมัลติแบรนด์ เป็นร้านที่จะรวบรวมแบรนด์เล็กแบรนด์น้อยเข้าด้วยกัน เพื่อร่วมกันพัฒนาและยกระดับแบรนด์เหล่านั้น รวมถึงส่งเสริมคุณภาพในการออกแบบสินค้าให้ดีขึ้น ที่สำคัญ อยากให้พวกเขาได้รู้จักการทำการตลาดในเชิงของการสร้างสรรค์แบรนด์จริงๆ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีโอกาสพาแบรนด์เหล่านี้ออกนอกประเทศ
ความคิดนี้อยู่ในหัวผมมาตลอดจนกระทั่งทางลิโด้ติดต่อมา ซึ่งพอดีว่าพาร์ตเนอร์ของทางลิโด้ก็คือค่ายเพลง LOVEiS ที่เคยเป็นเบเกอรี่มิวสิคมาก่อน แล้วก่อนหน้าที่จะมาทำ Cheeze ผมก็เคยทำนิตยสาร Katch กับทางเบเกอรี่มิวสิคมาด้วย พอเขาเสนอมาเราก็ เฮ้ย! น่าสนใจมาก ไม่ต้องคิดอะไรเยอะเลย เพราะแนวทางน่าจะไปด้วยกันได้ ผมจึงหยิบไอเดียโปรเจ็กต์มัลติแบรนด์ที่เราคิดไว้มาคุยกับ LOVEiS แล้วก็ตกลงทำด้วยกัน
ยกชายหาดมาไว้ที่ LIDO CONNECT
ทะเลเมืองไทยสวยที่สุด แสงแดดก็สวย เรื่องนี้ใครก็รู้ แต่เดี๋ยวนี้มูลค่าของแสงแดด มูลค่าของทะเล มูลค่าของชายหาดนั้นสูงมาก บางคนไปทะเลครั้งหนึ่งเขาอาจจะมีรูปไว้โพสต์ได้เป็นเดือนๆ เลย (หัวเราะ) เสื้อผ้าไปทะเลก็จะมีแนวเซิร์ฟหรือแนวอะไรต่างๆ ให้เลือกสรร แต่ว่าเสื้อผ้าแนวบีชจริงๆ บ้านเรายังไม่ค่อยมี ผมจึงคิดว่าแฟชั่นสไตล์นี้น่าสนใจ เลยจับคอนเซ็ปต์ของเสื้อผ้าสไตล์บีชก่อน ผมจะให้แนวนี้เป็นโมเดลแรกของร้าน ความเป็นชายหาด ความเป็นทะเล ความเป็นเกาะ แต่ในอนาคตของการพัฒนาแบรนด์ อาจจะเพิ่มแนว Outdoor หรือแนวไหนก็ได้ แต่อย่างน้อยแนวบีชเป็นช่องทางที่เราเล็งเห็น เมื่อแบรนด์เริ่มติดตลาดขึ้นมาแล้ว คงจะได้เห็นแฟชั่นในสไตล์อื่นๆ ตามมา
เติบโตไปด้วยกัน
แบรนด์ไอส์แลนด์จะไม่ได้มาในฐานะของ ปู จิรัฏฐ์ ไม่ได้มาในฐานะของนิตยสาร Cheeze เรามาในนามของแบรนด์ที่เป็นโมเดลของมัลติแบรนด์ในเชิงสหกรณ์ ความแตกต่างอยู่ตรงที่มัลติแบรนด์ทั่วๆ ไปจะเป็นเพียงศูนย์กลางให้แบรนด์อื่นๆ มาเช่าที่ ขายของ แล้วจบไป แต่ในฐานะของมัลติแบรนด์เชิงสหกรณ์ เราทำมากกว่านั้น เราส่งเสริมให้แบรนด์ต่างๆ เติบโตไปกับเราด้วย ซึ่งที่ผ่านมา ผลตอบรับของค่อนข้างดี เนื่องจากเราไม่ใช่ร้านที่ใหญ่มาก แต่กลับมีแบรนด์ต่างๆ มาเข้าร่วมกับเราไม่ต่ำกว่า 50 แบรนด์แล้ว ครึ่งหนึ่งในนั้นเป็นแบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักอยู่แล้วด้วย ทางไอส์แลนด์ก็จะคัดสินค้าแนวบีชจากแบรนด์เหล่านั้นมาก่อนตามโมเดลที่วางแผนไว้
เราจะพาคุณกลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติ
สิ่งเหล่านี้เป็นมูลค่าของอารมณ์ มูลค่าของบรรยากาศ เรามองมูลค่าเหล่านี้เป็นเรื่องของธรรมชาติ เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนเราไม่ได้ชอบอยู่เมือง เมืองเป็นสถานที่ที่เอาไว้ทำงาน อยู่ไปนานๆ สุขภาพจิตจะแย่ (หัวเราะ) บางครั้งเราเครียดๆ ขับรถไปพัทยาก็สบายใจแล้ว ไปรับลม ผ่อนคลายอารมณ์ เสพบรรยากาศของทะเล บางทีอาจจะไม่ต้องลงไปเล่นน้ำเลยด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับ แบรนด์ Island ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์เสื้อผ้าที่ใส่แล้วจะต้องลงไปเล่นน้ำ เราอาจจะเดินเล่นบนชายหาด รับไอแดด รับลมทะเล เบาๆ พลิ้วๆ สบายๆ เพราะทะเลมีความเชื่อมโยงกับธรรมชาติที่ยั่งยืน เราจะเห็นว่าคนเราเริ่มหันมากินผักออร์แกนิกกันมากขึ้น หมายความว่าสุดท้ายแล้ว คนเราก็กลับไปหาธรรมชาติที่ดีต่อใจ ดีต่อร่างกาย ไม่ว่าจะทะเล หรือผักออร์แกนิก
ขนมโตเกียว รอยยิ้ม การทำงาน และโอกาส
เมื่อ 6 ปีที่แล้วผมตั้งสเตตัสในเฟซบุ๊กเพื่อหาคนมาร่วมงานกับนิตยสาร Cheeze ในโพสต์นั้นผมแค่อยากเชิญคนที่สนใจ ไม่สำคัญว่าจะจบคณะอะไร หรือจบจากที่ไหนมา ตอนนั้นผมเพียงแต่นัดวันและเวลา พอถึงวันนัด ผมจ้างรถขายขนมโตเกียวแถวนั้นมาจอดเอาไว้ เผื่อคนมารอนานๆ จะได้ทาน (หัวเราะ) ผมคิดในใจว่ามีคนมาสักสิบยี่สิบคนก็ดีแล้ว แต่ปรากฏว่าสักเจ็ดโมงเช้าก็เริ่มมีคนมากันแล้ว ถึงเวลาจริงๆ มารวมๆ กันนับได้สักประมาณสี่ร้อยคน ผมมีเวลาตั้งแต่บ่ายโมงไปจนถึงหนึ่งทุ่มในการสัมภาษณ์คนทุกคนที่มา คำนวณเวลาออกมาจะมีเพียงคนละประมาณ 20 วินาทีในการที่จะทำยังไงก็ได้ให้ผมสนใจรับเข้าทำงาน บางคนใช้เวลาไปกับการทักทาย บางคนเข้ามายิ้มเฉยๆ ซึ่งผมก็รับ เพราะว่าคนนี้น่ารักมาก ผมรู้สึกถึงความเป็นมิตร มาแบบวางตัวไม่ถูก ไม่รู้จะพูดอะไร แต่บอกว่าอยากร่วมงานด้วยจริงๆ มีบางคนที่จบแค่ ม.6 มีความฝันว่าอยากจะซื้อบ้านให้แม่ ผมถามว่าจบ ม.6 จะไปทำงานที่ไหน ใครเขาจะรับ แต่คุณอยากซื้อบ้านให้แม่ ผมคงต้องรับคุณแล้ว (หัวเราะ) ที่ผมทำสิ่งเหล่านี้เพราะผมเชื่อว่ามีคนที่รอโอกาสอยู่
สยามยามค่ำคืน
ผมชอบเดินตลาดนัดตอนกลางคืน เพราะตอนกลางวันแดดร้อนและผู้คนก็พลุกพล่าน ผมมักจะเสียดายที่ร้านค้าต่างๆ แถวนี้ปิดค่อนข้างเร็ว ทำให้สูญเสียโอกาสในการค้าไปพอสมควร เพราะช่วงที่คนเลิกงานและกำลังจะมาช้อปปิ้ง ร้านรวงต่างๆ ก็เตรียมตัวปิดแล้ว แต่พอมีโปรเจ็กต์ We’re Up All Night ของทางลิโด้ก็เห็นความเป็นไปได้ถึงพื้นที่ในการขายของ หรือทำกิจกรรมต่างๆ
ลิโด้ แสงสว่างของความคิดสร้างสรรค์
ผมชอบหนังเรื่อง Pulp Fiction ของผู้กำกับ เควนติน แทแรนติโน (Quentin Tarantino) หนังเรื่องนี้เป็นหนังเปลี่ยนโลกสำหรับผมเลย อาจเป็นเพราะว่าผมได้ดูในช่วงที่เรากำลังทำอะไรได้กับชีวิตพอดี ตอนนั้นรู้สึกว่าหนังอะไรวะเล่าจากตอนจบ เนื้อเรื่องไม่ปะติดปะต่อกัน อีกอย่างที่ชอบในหนังเรื่องนี้คือเขาทำให้ดาราที่เคยดังกลับมาดังได้อีกครั้ง หนังเรื่องนี้ทำให้ได้รู้จักเควนตินด้วย หลังจากนั้นผมก็ตามหนังของเขามาเรื่อยๆ เราก็คิดว่า เฮ้ย! มีคนคิดแบบนี้ด้วยเหรอวะ เป็นการพลิกวงการหนังไปเลย บางเรื่องพี่แกก็เล่นเอง รับบทเป็นคนนั่งชงกาแฟ แล้วก็โดนยิงตาย หนังของเขามีส่วนในการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของผมด้วย งานภาพสวย แล้วก็มีความบ้า ทำให้โดนใจคนส่วนใหญ่ ทุกวันนี้ผมยังมีม้วนวิดีโอหนังเรื่องนี้เก็บเอาไว้อยู่เลย (หัวเราะ)
มีหนังอีกเรื่อง คือ Léon: The Professional เป็นหนังที่เอาผู้ร้ายมาเป็นพระเอก จับมาคู่กับเด็กผู้หญิงสวยๆ แต่หนังก็ทำออกมาได้อย่างซึ้งกินใจมาก เป็นเราคงคิดไม่ออกว่าจะเอามือปืนคนนี้มาดูแลต้นไม้เล็กๆ มายืนเช็ดต้นไม้ เช็ดใบไม้ ถือว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่เปลี่ยนโลกของผมเลย เอาผู้ร้ายมาเป็นพระเอก เอาพระเอกไปเป็นผู้ร้าย
นอกจากนั้น หนังที่ช่วยบำรุงจิตใจผมจริงๆ คือหนังตลก เป็นหนังประเภทที่โคตรจะมีบุญคุณต่อชีวิตผมเลย ผมชอบหาเรื่องให้ตัวเองหัวเราะ เพราะกลัวตัวเองซึมเศร้า (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่าการที่เราได้ยิ้ม ได้หัวเราะ เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อสมองของเรามาก ทุกวันนี้ผมมักจะหาอะไรตลกๆ ดูให้ได้หัวเราะก่อนนอน ผมเชื่อว่าการที่คนเราหัวเราะจนน้ำตาไหลเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ สารเคมีบางชนิดในร่างกายของคนจะหลั่งออกมาตอนหัวเราะเท่านั้น
อ่าน Lido Connect ตอนอื่นๆ