‘ชีวิตคู่’ คือการอยู่ร่วมกันระหว่างคนสองคน เป็นความปรารถนาของการมีชีวิตรัก เป็นความสุขของความรู้สึกภายในหัวใจที่เบ่งบานไม่รู้เบื่อ เป็นการเริ่มต้นบทใหม่แห่งการเรียนรู้กันและกัน และเป็นความจริงที่มีวันสิ้นสุดลง เมื่อวันนั้นมาถึง ปริมาณความรักมากล้น หรือความปรารถนาอันแรงกล้าใดๆ ก็ไม่อาจต่อรองเวลาได้ ทุกอย่างเกิดขึ้น ดำเนินไป และจบลงตามวาระ
‘หมวย’ – ธนาพร ตั้งเจริญมั่นคง คือผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เข้าใจกฎแห่งชีวิตข้อนี้อย่างลึกซึ้ง เธอสูญเสีย ‘อิท’ – อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง สามีผู้เป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เธอจะพยุงทั้งหัวใจและร่างกายให้ก้าวเดินต่อไปด้วยตัวคนเดียว เธอตัดสินใจถ่ายทอดประสบการณ์และความทรงจำทั้งหมดไว้ในหนังสือ ‘Lots of Love 7,300 วันที่เรารักกัน’ เพื่อบอกเล่า และเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชีวิตที่เหลืออยู่ต้องดำเนินต่อไป ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อคนรักที่จากไป
และสิ่งสำคัญที่สุดก็เพื่อยืนยันความจริงที่ว่า “การเกิดเป็นเรื่องธรรมดา เช่นเดียวกับความตาย ฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่สูญเสียสามี และแน่นอน ย่อมไม่ใช่คนสุดท้าย” เพื่อเป็นพลังและกำลังใจให้กับคนที่กำลังประสบกับเหตุการณ์ที่ท้าทายที่สุดของชีวิตคู่เช่นเดียวกับเธอ
ในวันที่ชีวิตต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง นิยามความรักและมุมมองต่อความเป็นไปของชีวิตแปรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างไร
เราไม่เคยตั้งนิยามว่าความรักต้องเป็นอย่างไร เราคิดว่ามุมมองต่อความรักของคนเราเปลี่ยนไปตามวัยและประสบการณ์ สำหรับเราโดยภาพรวมยังรู้สึกกับความรักเหมือนเดิม เพียงแต่ในรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เช่น การมองคน เราตัดสินคนน้อยลง ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนมาก เพราะเราเป็นคนอารมณ์ร้อน โมโหง่าย ใครทำอะไรไม่ถูกใจ เราจะแสดงออกทันทีว่าไม่พอใจ แต่หลังจากเสียคนที่เรารักไป ทำให้เราได้ทบทวนตัวเอง และเห็นอะไรบางอย่างอย่างจริงจังมากขึ้น นั่นคือคำพูดที่ว่า คนเราอยู่ด้วยกันไม่นานหรอก เมื่อเวลามีจำกัด สิ่งที่เราควรทำคือทำให้ทุกวินาทีที่มีร่วมกันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดดีกว่า
ส่วนมุมมองต่อโลกของเราเปลี่ยนแปลงไปมาก ย้อนกลับไปตอนที่ยังเด็กกว่านี้ อายุน้อยกว่านี้ เวลาไปงานศพของญาติหรือพ่อแม่ของเพื่อน เราไปร่วมแสดงความเสียใจ แต่ยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับความตายมากนัก อาจเป็นเพราะเรายังเด็กเกินกว่าที่จะสนใจ หรือไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันกันมากนัก จนกระทั่งเรามีประสบการณ์ตรงกับตัวเอง เราถึงรู้และเข้าใจชัดเจนเลยว่าในความสูญเสียมันเป็นอย่างไร มุมมองที่เรามีต่อชีวิต การใช้ชีวิตด้วยกัน หรือว่าความตาย มันกลายเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ซับซ้อนยิ่งขึ้นทันที
ช่วยอธิบายเพิ่มเติมถึงความละเอียดอ่อนและซับซ้อนที่คุณรู้สึก
เรารู้สึกแหละว่าความตายเป็นการจากกัน หมายถึงเราจะไม่ได้เจอกัน ไม่มีทางพบกันอีกแล้ว เพียงแต่เรายังไม่เคยรับรู้และรู้สึกถึงภาวะอารมณ์ของการไม่เจอกันว่าส่งผลกับเราแค่ไหน หรือมันทำงานกับเรารุนแรงอย่างไรบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต่อให้จินตนาการอย่างไรก็จินตนาการไม่ออกหรอก พอเจอเข้ากับตัวเองจริงๆ มันเป็นมวลหนักๆ ของความรู้สึกที่ว่างเปล่า เหมือนตัวเรามีรูโหว่ที่จะคงอยู่ตลอดไป ในช่วงแรกๆ ความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นกับเราเยอะมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็บรรเทาลง
พอคุยกันถึงเรื่องนี้ทำให้นึกถึงสเตตัสในเฟซบุ๊กของคุณ ‘หนุ่ม’ – โตมร ศุขปรีชา เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เขาเขียนถึงช่วงเวลาที่เสียคุณพ่อตอนเรียนมหาวิทยาลัย เขาเขียนว่า ในภาวะที่เราเพิ่งจะสูญเสียใหม่ๆ มันเหมือนคลื่นที่แรงมาก ซัดสาดและตีกระหน่ำเราอย่างรุนแรง แต่พอเวลาผ่านไป คลื่นนั้นค่อยๆ เบาลง แต่มันไม่เคยสงบนิ่ง ยังเป็นริ้วบางๆ ที่กระทบฝั่งตลอดไป เพียงแต่ไม่รู้ว่าวันไหนจะรุนแรงขึ้นมาอีก ซึ่งอ่านแล้วเรารู้สึกว่าใช่เลย แบบนั้นแหละ ทุกวันนี้ความสูญเสีย ความตาย การจากไปของคนที่รักยังอยู่กับเราเสมอ ไม่เคยหายไปไหน แต่ความเศร้าลดน้อยลง อาจเป็นเพราะเราเข้าใจความเป็นไปของชีวิตมากขึ้น
แล้วถ้าวันหนึ่งคลื่นเหล่านั้นเกิดโหมกระหน่ำซัดซาดเข้ามากระทบกับคุณอีกครั้ง คุณจะรับมืออย่างไร
จริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่บ้าง จากวันแรกที่อิทจากเราไป จนถึงปีนี้กำลังจะครบ 4 ปี ถ้าย้อนกลับไปดูในช่วงเวลาที่ผ่านมา ปีสองปีแรก เราร้องไห้เยอะมาก ร้องแทบทุกวัน พอเข้าปีที่สาม ร้องไห้น้อยลง ทุกวันนี้ก็ยังมีบ้าง ในความคิดของเรา เราว่าส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับความซับซ้อนของสมองนะ เรื่องบางเรื่องมันอยู่ลึกมากในความทรงจำ เหมือนผ้าที่พับซ้อนกันตั้งกองไว้ บางทีเราหลงลืมไปแล้ว ซึ่งแปลกมาก อยู่ๆ เรากลับนึกได้ขึ้นมา เราจำได้อีกครั้ง อยู่ๆ ลิ้นชักนั้นก็กระเด้งเปิดขึ้นมา แล้วความรู้สึกเหล่านี้ก็จะกลับมาตีกระหน่ำเราอย่างรุนแรง ทำให้เราร้องไห้อยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาอ่านหนังสือที่พูดถึงคนที่จะไม่ได้มีโอกาสมาเจอกันอีก หรือคนที่จากกันไปนานๆ แล้วกำลังจะได้เจอกัน เราจะเข้าใจมากเลยว่าเป็นอย่างไร
อย่างล่าสุดเมื่อเดือนที่ผ่านมา เราได้อ่านหนังสือชื่อ In Order to Live เป็นเรื่องจริงของผู้หญิงเกาหลีเหนือคนหนึ่ง เขากับแม่ไปตามหาพี่สาวที่หายตัวไป พี่บอกว่าจะหนีไปเมืองจีน จู่ๆ เขาก็บอกแม่ว่าให้หนีไปเมืองจีนด้วยกันคืนนี้เลย ไปตามหาพี่สาว แม่บอกว่าต้องกลับไปบอกพ่อก่อน เพราะตอนนั้นพ่อป่วยมาก แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่ลูกยืนยันว่ากลับไม่ได้ ต้องไปเลย ซึ่งเราเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อมากๆ วันนี้ลูกสาวคนโตหายตัวไป วันถัดมาลูกสาวคนเล็กกับเมียก็ไม่กลับบ้านอีกเลยตลอดไป อ่านแล้วเศร้ามาก เพราะเราเข้าใจดีว่าการที่คนที่เรารักหายไปจากชีวิตตลอดกาลมันเป็นอย่างไร เรารับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้น เมื่อเจอความรู้สึกแบบนี้ก็ยังร้องไห้แบบหยุดไม่ได้
ในวันที่ยากที่สุด วันที่คนรักจะต้องจากคุณไปจริงๆ อะไรคือสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถประคับประคองหัวใจและความรู้สึกของตัวเองให้ก้าวผ่านไปได้
มันไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายจริงๆ เพราะเราอยู่ด้วยกันตลอด เห็นความเจ็บปวดของเขามาทุกระยะ เราต่างก็พยายามประคับประคอง คอยให้กำลังใจกัน พออาการเขาทรุดลง จิตใจเราก็ตกต่ำมาก กลัวมาก คิดถึงความตายของเขาและการต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปคนเดียวของเรา มันเป็นความกลัวว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว เรายังจำความรู้สึกช่วงนั้นได้ดี เป็นช่วงที่เครียดมาก คิดวนเวียนว่าถ้าต้องอยู่คนเดียวแล้วจะทำอย่างไร
มีอยู่วันหนึ่งเราเดินออกมาจากโรงพยาบาล เดินไปเรื่อยๆ ไร้จุดหมาย ระหว่างที่เดินก็คิดหลายอย่างมาก แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าจากนี้จะเป็นอย่างไร รู้แต่ว่า
“
นี่คือความจริงที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ เราไม่ได้เป็นคนกำหนดว่าจะให้เขาอยู่หรือไป
”
ช่วงที่อาการเขาลุกลาม เรานอนเฝ้าที่โรงพยาบาล เช้าขับรถกลับบ้าน อาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน เย็นขับรถไปนอนโรงพยาบาล เป็นช่วงเวลาบนถนนที่ความเศร้ามันประเดประดังมากๆ แต่พอมาถึงโรงพยาบาล ได้จับมืออิท เห็นเขายิ้มแม้จะเจ็บมากๆ เราก็บอกตัวเองว่าต้องเข้มแข็งเพื่อให้เขาสบายใจ สิ่งที่ประคับประคองเราในวันที่เขาใกล้จะจากไป คือคำบอกลาที่เราบอกกับเขาให้เดินทางอย่างไม่ต้องกังวลอะไร
เมื่อมีรักย่อมมีหวัง ช่วงเวลาเหล่านั้น ความหวังสำคัญมากแค่ไหน
สำคัญมากเลยนะ ทุกวันที่เราเห็นเขาไม่สบาย ถ้าเราอยู่อย่างไม่มีความหวัง มันก็หดหู่ด้วยกันทั้งคู่ เราต่างต้องช่วยกันฉุดดึงมือกันขึ้นมา ตอนนั้นเราอยู่ด้วยความหวังมาตลอดว่าเขาจะหาย แต่กลับมาคิดๆ ดูอีกที เราคิดว่าถ้าหมอวินิจฉัยแล้วแจ้งว่าผู้ป่วยและญาติว่าจะอยู่ได้อีกกี่เดือนกี่ปี มันอาจจะโหดร้ายนะ แต่มันจะทำให้เราเตรียมตัวรับมือได้ดีกว่านี้ พอเราอยู่ในช่วงวันท้ายๆ ที่เขาเริ่มไม่รู้สึกตัว คือตัวเราไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เพื่อนๆ ที่เคยมีประสบการณ์ก็คอยบอกคอยแนะนำว่าควรทำอะไรยังไง เราคิดว่าถ้ารู้ก่อนมันน่าจะดีกว่า อย่างน้อยช่วงอิททำคีโมช่วงแรกๆ อาการของเขายังโอเคอยู่ เราจะไปเที่ยวกันให้เต็มที่ อาจจะไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน มันก็เศร้านะ แต่มันจะมีเวลาให้ทุกคนได้เตรียมตัวและทำใจมากกว่านี้ และได้ใช้เวลาช่วงสุดท้ายร่วมกันอย่างดีที่สุด
เมื่อใดก็ตามที่เราอนุญาตหัวใจให้รักใครสักคน นั่นหมายความว่าเราก็พร้อมที่จะสูญเสียเช่นกัน
มันก็ใช่นะ เพราะเราควบคุมอะไรไม่ได้เลย เราอาจเป็นฝ่ายเดินจากมา หรือเขาอาจเป็นฝ่ายเดินจากไปก็ได้ อารมณ์ความรู้สึกของคนเรามันไม่ค่อยอยู่นิ่งหรอก หัวใจของคนเรามันก็ไม่เชื่องด้วย ความสูญเสียก็เลยเป็นไปได้ทั้งในแง่ที่มีการเลิกรากันไป หรือมีวันหนึ่งที่ใครคนหนึ่งจากไปก่อน เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต
ยากขนาดไหนกับการเป็นฝ่ายรับรู้การสูญเสียและต้องมีชีวิตอยู่กับมัน
สำหรับคนที่ไม่เคยเจอการสูญเสียมาก่อนแบบเรามันยากมากนะ ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ด้วย ถ้าเราผูกพันกับคนนั้นมากๆ ใช้ชีวิตด้วยกันมาตลอด มันก็ยาก สำหรับเรามันไม่ง่ายเลย แต่เราก็ไม่เคยถามตัวเองว่าจะผ่านไปได้อย่างไร เพียงแต่พยายามใช้ชีวิตทุกๆ วันให้เหมือนเดิม แม้มันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปก็ตาม พยายามทำทุกวันให้เป็นปกติตามกิจวัตร ตื่นเช้าขึ้นมา อาบน้ำ กินข้าว ไปทำงาน กลับบ้าน แม้ว่าในแต่ละวันเราต้องอยู่คนเดียวที่บ้าน เป็นความรู้สึกเคว้งคว้างมาก เพราะเราอยู่กันสองคนที่บ้าน โดดเดี่ยวมากนะในช่วงแรก
เหมือนกับส่วนหนึ่งของคุณขาดหายไป
มันเหมือนมีรูโบ๋ในตัวเราที่ไม่มีทางเต็มได้อีกเลย เพราะว่าเมื่อเราใช้ชีวิตกับใครสักคน เราได้แบ่งปันสารพัดเรื่องราวของกันและกัน ทั้งเรื่องดี เรื่องไม่ดี ทุกครั้งที่กลับบ้านจะมีคนให้เรากลับไปพูดคุย อย่างเวลามีปัญหาเรื่องงานก็มีคนพร้อมให้เราได้ระบายให้ฟัง เขาเองก็ช่วยเหลือกันเท่าที่ทำได้ คอยเป็นที่ปรึกษา คอยรับฟังในทุกๆ เรื่อง
พอเราอยู่คนเดียว ไม่มีใครให้คุยด้วย เราขาดที่ปรึกษาตรงนี้ไป ขาดเพื่อนคู่คิด ตอนนี้เรากำลังอ่านหนังสือเรื่อง เปเรย์รายืนยัน ในเรื่องภรรยาของเขาเสียชีวิต เขาก็พูดคุยกับรูปถ่ายภรรยา ตัวเราเองทุกวันนี้ยังพูดกับรูปอิท เพราะเราอยากมีใครสักคนคอยฟังสิ่งที่เราพูด ช่วงที่อิทเสียใหม่ๆ เรากลับไปทบทวนตัวเอง และเข้าใจเลยว่าตอนเราเด็กๆ วัยรุ่น หรือตอนทำงานแล้วเจอปัญหา เจออุปสรรค เราคิดว่านั่นคือความทุกข์ แต่พอเรานึกคิดอย่างถี่ถ้วน นั่นไม่ใช่ความทุกข์เลย ตอนที่เขาป่วย รักษาตัว จนถึงช่วงที่เขาเสีย นั่นแหละคือความทุกข์ที่แท้จริง เรารู้แล้วว่าความทุกข์เป็นอย่างไร เมื่อเขาเสีย เรารู้แล้วว่าความเศร้า ความอ้างว้างเป็นอย่างไร
เป็นช่วงที่หัวใจของคุณอ่อนแอที่สุด
มีหลายๆ ครั้งนะ โดยเฉพาะช่วงที่เขาเสียใหม่ๆ เราพร้อมจะร้องไห้ได้ทุกเวลา เพราะรู้สึกว่าไม่มีใครอยู่กับเราอีกแล้ว เราอยู่คนเดียวในโลกนี้ แต่เราโชคดีตรงที่ว่ามีเพื่อนๆ คอยปลอบบ้าง ด่าบ้าง (หัวเราะ) เขาจากไปแล้ว วันที่เหลืออยู่ เราก็ต้องใช้ชีวิตของเรา ซึ่งเวลาที่เศร้าหรือดีใจ เราจะนึกถึงคำที่เพื่อนส่งข้อความมาบอกว่า ‘ชีวิตต้องรื่นเริงต่อไปนะหมวย’ และคำของรุ่นพี่ที่บอกว่า ‘พี่เชื่อว่าหมวยจะมีวันที่ดีๆ เผื่ออิท’ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เรามีพลังใช้ชีวิตในแต่ละวัน แม้ในวันที่เศร้า เราก็พยายามฉุดดึงตัวเองขึ้นมาเพื่อจะมีวันดีๆ เผื่อเขา เวลาที่คนเรามีความทุกข์ เราต้องการคนปลอบใจและให้คำปรึกษา แต่ในวันที่เรามีความสุข สนุก มีรอยยิ้มล่ะ เมื่อก่อนเรารู้สึกว่าเวลามีความทุกข์ เราอยากให้มีคนรับฟัง แต่พอถึงตอนนี้ในวันที่เรามีความสุข เราอยากมีคนอยู่ข้างๆ มากกว่า เพื่อแบ่งปันความสุขด้วยกัน
พูดถึงความกลัวในชีวิตรัก ความตายและการสูญเสียคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดหรือเปล่า
ตอนนั้นเราไม่รู้นะว่าจังหวะความกลัวตายจะเกิดขึ้นตอนไหน เพราะเราไม่ได้เป็นคนที่กำลังจะหมดลมหายใจ แต่เราเป็นคนที่อยู่กับความสูญเสีย ซึ่งรู้สึกว่ามันน่ากลัวกว่าเสียอีก
“
จะว่าไปแล้วความกลัวตายก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยกลับมาเล่าให้เราฟังว่าตายไปแล้วเป็นยังไง จึงเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่กลัว
”
แต่เมื่อเราได้มาเจอกับมันจริงๆ รู้สึกว่าถึงเวลานั้นถ้าเราได้เตรียมตัวก็น่าจะดีกว่า เพราะหลังจากอิทเสียไปครึ่งปี แม่ของเราก็เสีย ประสบการณ์การสูญเสียอิท ทำให้เรารับมือกับความตายได้ดีขึ้น
ถ้าการสูญเสียเป็นบททดสอบหนึ่งของชีวิต สำหรับคุณคิดว่ามันเร็วไปไหม เพราะคนส่วนมากมีความคิดเกี่ยวกับความตายว่าเป็นเรื่องไกลตัว
แต่ก่อนเราก็เคยคิดว่าความตายเป็นเรื่องไกลตัว แต่พอโตขึ้น เราได้รับรู้เรื่องการสูญเสียในระดับที่เข้มข้นมากขึ้น จนเมื่อเจอกับตัวเองจริงๆ มันหนักมาก อดรู้สึกไม่ได้ว่ามันเร็วไป เราเพิ่งอยู่ในช่วงกลางๆ ของชีวิตเอง เราคิดว่าถ้าจากกันตอนอายุหกสิบเจ็ดสิบ อย่างน้อยถ้าได้ใช้ชีวิตร่วมกันมากกว่านี้ เราคงไม่เสียใจขนาดนี้ แต่เอาเข้าจริง ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ถ้าถึงเวลาต้องจากกันจริงๆ ก็ต้องรู้สึกเสียใจอยู่ดี และถ้าเราอยู่ถึงหกสิบเจ็ดสิบปีจริงๆ แล้วเขาเสียไปก่อน ซึ่งตอนนั้นเราแก่มากแล้ว เราอาจรับมือกับมันยากกว่านี้ก็ได้ ความแก่และการต้องอยู่คนเดียวอาจทำให้เราหดหู่กว่านี้ ความตายของเขาอาจมาถึงก่อนวัยอันควร แต่เรายังต้องดำเนินชีวิตต่อไป ซึ่งการออกไปทำงานช่วยดึงเราออกมาจากความความเศร้า เพราะมีเรื่องอื่นๆ เข้ามาแทรก มาคั่น มาดึงความสนใจให้เราไม่จมอยู่กับภาวะอารมณ์นั้นตลอดเวลา
เมื่อเจอกับความทุกข์ ความเศร้า คนชอบพูดกันว่า “เวลาจะเยียวยาเราได้เสมอ” สำหรับคุณคิดเห็นอย่างไร
สำหรับเรานะเวลามีทั้งช่วยและไม่ช่วย เวลาทำให้ความเข้มข้นของความเศร้าเสียใจค่อยๆ จางลง ช่วยทำให้เราดีขึ้นได้ก็จริง แต่มันก็ยิ่งทำให้เราห่างจากเขามาเรื่อยๆ ถ้าบอกว่าอีก 5 ปีจะดีขึ้น ก็อาจจะดีขึ้นจริงๆ แต่อีกมุมหนึ่งเราไม่ได้เจอกัน 5 ปีแล้วนะ ดังนั้น เราต้องถอยออกมา เตือนตัวเองว่าอย่าสงสารตัวเองมากเกินไป
เวลาที่เราไม่มีวันข้างหน้าร่วมกับเขาอีกแล้ว เป็นธรรมดาที่เมื่อนึกย้อนกลับไปก็รู้สึกทั้งดีที่เราเคยทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยกัน และเสียดายที่ยังไม่ได้ทำอะไรอีกหลายอย่าง มีเพลงเพลงหนึ่งชื่อ Now and Forever ของ Carole King เนื้อเพลงบอกว่า ที่ผ่านมาเราเคยหัวเราะ ร้องไห้ ทะเลาะ แบ่งปันความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ มาด้วยกันแล้ว มันไม่มีอะไรต้องเสียดายแล้วล่ะ ถึงแม้จะไม่มีวันต่อไปข้างหน้าอีกแล้ว แต่เราก็เคยมีวันดีๆ ด้วยกันมา และแน่นอนเขาจะอยู่ในทุกๆ ช่วงชีวิตของเราตลอดไป
นอกจากเรื่องราวที่คุณแบ่งปันไว้ในหนังสือ Lots of Love คุณมีอะไรอยากบอก หรือให้กำลังใจคนที่กำลังประสบกับเหตุการณ์เช่นเดียวกับที่คุณได้ก้าวผ่านมาแล้ว
พอเราเป็นฝ่ายที่ต้องเสียคนรักไป เราจะเข้าใจทันทีเลยว่าคนที่ต้องสูญเสียคู่ชีวิต หรือคนใกล้ชิด เขาจะอยู่ในภาวะอารมณ์แบบไหน แต่ก่อนก็รู้สึกว่ามันเศร้าแหละ เพียงแต่ว่าเรายังไม่ลึกซึ้งกับความเศร้านั้น แต่ตอนนี้เรารู้ซึ้งจริงๆ ว่ามันเป็นอย่างไร มีเพื่อนในเฟซบุ๊กที่สูญเสียสามีไปกระทันหัน เราได้แต่ส่งข้อความถึงเขาว่า ค่อยเป็นค่อยไปนะ ให้ทุกอย่างค่อยๆ ผ่านไป ความเศร้าจากการสูญเสียคนรักไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้ง่ายๆ ทุกวันนี้เราเองก็ยังมีบางภาวะอารมณ์ที่จู่ๆ ก็เศร้าขึ้นมา เพียงแต่ว่าค่อยๆ ให้มันผ่านไป
ข้อความที่เราเขียนไว้ในคำนำว่า ‘การเกิดเป็นเรื่องธรรมดา เช่นเดียวกับความตาย ฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่สูญเสียสามี และแน่นอน ย่อมไม่ใช่คนสุดท้าย’ คือสิ่งที่เราอยากสื่อสารกับคนอ่าน รวมถึงเตือนตัวเองด้วยว่าเราก็ต้องอยู่ให้ได้เหมือนกัน อย่างเวลาคนอกหักฟังเพลงเศร้าแล้วก็จะอิน รู้สึกว่านี่มันเพลงของเรา เขาแต่งให้เรา ส่วนตัวเราเอง ช่วงแรกๆ ถ้าได้ฟังเพลงที่พูดถึงการสูญเสียก็จะเศร้ามาก ร้องไห้ แล้วก็รู้สึกว่านี่มันเพลงที่แต่งจากชีวิตฉันนี่นา แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอก
“
ความตายและการสูญเสียมันเป็นเรื่องสากล
”
นี่ไม่ใช่เพลงของเราหรอก แต่เป็นเพลงของทุกคน เพราะวันหนึ่งทุกคนก็ต้องผ่านประสบการณ์แบบนี้ เราต้องบอกตัวเองว่า เราไม่ใช่คนแรก มีคนมากมายในโลกผ่านเรื่องนี้มาแล้ว เราก็ต้องผ่านไปได้เหมือนกัน
พลังและความเข้มแข็งในหัวใจของคุณเกิดขึ้นได้เพราะอะไร
ถ้าในช่วงแรกๆ เราไม่รู้เรียกว่าเป็นการทำใจหรือเปล่า เพียงแต่ว่าใช้ชีวิตทุกวันตามปกติ ทำหน้าที่ของเราไปเรื่อยๆ พอผ่านมาระยะหนึ่ง หลายๆ ปีเข้า ความเศร้าที่เคยเข้มข้นมากๆ ก็ค่อยๆ เจือจางลง เราโชคดีที่มีเพื่อน ญาติ คนในครอบครัว คนใกล้ชิดเป็นไม้ค้ำเราไว้ เราเหมือนต้นไม้ที่พวกเขาช่วยพยุงช่วยดันไว้ไม่ให้ล้ม คอยถามไถ่ คอยชวนไปทำอะไรสนุกๆ เราเองก็ต้องพยุงตัวเองและยืนขึ้นให้ได้ ที่ผ่านมาก็พยายามเปิดโอกาสให้ตัวเองลองทำอะไรใหม่ๆ พยายามรับเอาส่วนหนึ่งของอิทเข้ามาอยู่ในตัวเราให้มากที่สุด นั่นคือการชอบเล่นสนุก กล้าเสี่ยง และไม่กลัวการเริ่มทำอะไรใหม่ๆ พยายามจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่า และมีความหวังว่าถ้าถึงวันหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า ถ้าเราได้เจอกันในโลกที่เขาเดินไปก่อน เราจะได้บอกกับเขาว่าหมวยมีชีวิตที่ดีนะอิท
ณ วันนี้ อะไรคือความหมายของการมีชีวิตอยู่ของคุณ
อยู่โดยทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ช่วงแรกที่อิทเสีย เรารู้สึกว่าพร้อมตายได้ทุกเมื่อ อยากตายในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะฆ่าตัวตายนะ เราไม่ได้ใจกล้าขนาดนั้น คือมันเศร้าที่ไม่มีใครแชร์ทุกข์สุขกับเราอีกแล้ว แต่ก็รู้ว่าถ้าเราตายจริงๆ ด้วยความที่เรารู้ถึงผลกระทบของความตายมาแล้ว ว่าคนใกล้ตัวจะเจ็บปวดขนาดไหน เราก็ไม่อยากให้พ่อ แม่ พี่ หรือญาติๆ ต้องเจ็บปวดกับการสูญเสียเหมือนเราอีก การต้องอยู่โดยคนที่เรารักจากไปก่อนมันเศร้าก็จริง แต่เราต้องพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุด ความหมายของการมีชีวิตอยู่ของเราก็เลยยึดโยงคนที่เรารักเอาไว้ ให้เขาเป็นเป้าหมายของการที่จะมีชีวิตที่ดีเผื่อเขา
เรื่อง: ตนุภัทร โลหะพงศธร | ภาพ: ณัฐริกา มุคำ