‘ศิลปินไส้แห้ง’ มักจะเป็นภาพจำของความลำบากของการหาเลี้ยงชีพสำหรับเหล่าอาชีพที่ต้องข้องเกี่ยวกับศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นจิตรกร ผู้กำกับภาพยนตร์ หรือนักดนตรี แต่ว่าอาการ ‘ไส้แห้ง’ เพราะว่าไม่มีเงินไปซื้อข้าวกินนี้ มันเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่มีผลงานที่คนยอมรับมากพอ ขายแผ่นเทปแผ่นเพลงไม่เยอะพอ หรือเพราะว่าพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึง ‘สิทธิ’ บางอย่าง ที่เหล่านักดนตรีสามารถแปรเปลี่ยนมันไปเป็นเม็ดเงินที่สามารถเลี้ยงชีวิตของพวกเขาและครอบครัวไปได้หลายสิบปี
ในหลายๆ เส้นทางการทำเงินของศิลปินนักดนตรี นักแต่งเพลงก็คือการทำเพลงให้ได้ดังๆ พอคนชอบฟังก็จะซื้อแผ่นซีดี ซื้อเทปอะไรต่างๆ นานาไป เพลงยิ่งดังก็ยิ่งได้เงิน เพลงไม่ดังขายไม่ดีก็ได้เงินน้อย แต่ว่าธุรกิจของดนตรีมันมีแค่นั้นจริงๆ หรือ?
สิ่งที่เหล่าศิลปินมักไม่ได้ตระหนักสักเท่าไหร่ก็คือเรื่องของสิทธิ์หรือลิขสิทธิในเพลงของตัวเอง เมื่อไหร่ที่เพลงของพวกเขาถูกเล่น ถูกเปิด หรือถูกนำไปเปิดเผยอย่างไรก็ตามในพื้นที่สาธาราณะ นั่นหมายความว่าผู้ที่เป็นเจ้าของเพลงเหล่านี้จะต้องได้ค่าตอบแทน
‘ก้อ’ – ณฐพล ศรีจอมขวัญ คือผู้ชายที่โลดแล่นอยู่ในวงการดนตรีมามากกว่า 20 ปี เขาคือมือเบสแห่งวง Groove Riders เขาคือโปรดิวเซอร์ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักดนตรีมากมาย ผู้บริหารค่าย Spicydisc จนตอนนี้เขาดำรงตำแหน่งประธานของ Music Copyright Thailand (MCT) ทำหน้าที่ปกป้องลิขสิทธิ์ของเหล่านักแต่งเพลง และศิลปินในประเทศไทย
อะไรคือ ‘ลิขสิทธิ์ดนตรี’ หรือ ‘ดนตรีกรรม’ ? แล้วมันสำคัญกับอาชีพนักดนตรีศิลปินอย่างไร บางทีคำว่า ‘ศิลปิน’ กับ ‘ไส้แห้ง’ อาจจะไม่ใช่ของคู่กันอีกต่อไป ถ้าทุกคนมีความเข้าใจใน ‘สิทธิ’ ของตัวเองตรงกัน
อะไรเป็นตัวจุดประกายที่ทำให้คุณเริ่มต้นมาสนใจเรื่องของลิขสิทธิ์ของนักดนตรีด้วยกันเอง
ต้องเกริ่นก่อนว่าผมเป็นนักเรียนดนตรีนะ จบดนตรีมาเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเรียนที่ Berklee College of Music ที่บอสตัน หนึ่งในวิชาที่ผมต้องเรียนผมจบเมเจอร์ชื่อ MP&E (Music Production and Engineering) ซึ่งบทหนึ่งในวิชานั้นก็คือเรื่อง Music Business ซึ่งเขาก็พูดเกี่ยวกับเรื่องลิขสิทธิ์ แต่พอกลับมาเมืองไทยจริงๆ สิ่งที่ผมเรียนจากเมืองนอกเขามีเรื่องลิขสิทธิ์ มีการเก็บลิขสิทธิ์ มีรายได้นักแต่งเพลงและนักดนตรี ปรากฏว่ากลับมาเมืองไทยมา สิ่งเหล่านั้นมันไม่ถูกปรับใช้กับประเทศผมเลย พูดง่ายๆ คือการเป็นนักแต่งเพลงมันไม่ได้เงินจากการที่คนอื่นเอาเพลงผมไปเปิดหรือคนอื่นเอาเพลงผมไปเล่น ซึ่งผมก็รู้สึกว่า โห แต่ก่อนผมมองภาพว่าถ้าผมเป็นนักแต่งเพลงแล้วผมแต่งเพลงดัง มีคนฟังเพลงผม ผมก็จะได้รายได้แบบนี้กลับมาตลอดชีวิตพอกลับมาเมืองไทย ก็จ๋อยเลย
ตอนนั้นวงการดนตรีประเทศไทยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แค่ไหน
แทบจะไม่มีเลย ผมคิดว่าตอนนั้นที่ผมเพิ่งกลับมาใหม่ๆ องค์กร MCT ก็เพิ่งเริ่มตั้ง เพราะฉะนั้นเรื่องของการจัดเก็บเรื่องอะไรก็ไม่ต้องพูดถึง มันเพิ่งตั้งไข่ มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ก็แทบจะเรียกได้ว่าเรื่องลิขสิทธิ์ เรื่องของความเข้าใจเรื่องของการจัดเก็บก็แทบจะไม่มีให้เห็น
แล้วนักดนตรีเองล่ะ ตระหนักในเรื่องนี้มากแค่ไหน
ปัจจุบันก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องยอมรับตามตรงว่าผมเคยเรียนมาแต่ว่าไม่ได้มีความรู้ละเอียดอะไรขนาดนั้น ผมรู้เบื้องต้นเท่านั้นเองว่ามันมีสิ่งนี้ที่เรียกว่าลิขสิทธิ์งานเพลง สำหรับเมืองไทยเชื่อมั่นได้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ที่เพียงพอที่จะสามารถเอามาใช้ได้ว่าควรจะทำอย่างไรหลังจากเป็นนักแต่งเพลงแล้ว ควรจะทำอย่างไรกับเพลงของตัวเอง สิทธินี้มันมีอะไรบ้าง ผมควรจะเก็บสิทธิของผมไว้กับตัวเอง? หรือผมควรจะขายขาด? ความรู้พวกนี้มันน้อยมาก
แล้ว MCT ดูแลสิทธิแบบไหนให้กับนักดนตรีบ้าง
MCT เป็นองค์กรของนักแต่งเพลง เพราะฉะนั้น เราดูแลสิ่งที่ภาษาไทยเรียกว่า ‘ดนตรีกรรม’ ซึ่งภาษาอังกฤษคือ Musical Works ประกอบไปด้วย 2 ส่วนด้วยกัน สมมติเวลานักแต่งเพลงแต่งเพลงมาก็จะประกอบไปด้วย 1.เนื้อร้อง 2.ทำนอง เพราะฉะนั้นองค์กรเราเป็นองค์กรที่ดูแลเรื่องลิขสิทธิ์ดนตรีกรรมเป็นหลัก พูดง่ายๆ ก็คือดูแลเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ของเนื้อร้องกับทำนอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับนักแต่งเพลงโดยตรง
ไม่จำเป็นจะต้องเป็นนักดนตรีอย่างเดียวก็ได้?
ไม่ใช่ครับ คือเรามองภาพศิลปินคนหนึ่งสามารถที่จะทำหน้าที่หรือสวมหมวกหลายใบได้ เขาอาจจะแต่งเพลงของเขาเองด้วย เป็นศิลปินนักร้องด้วย เล่นกีตาร์ด้วย ก็กลายเป็นนักดนตรี ทำงานเพลงตัวเองก็กลายเป็นโปรดิวเซอร์ เพราะฉะนั้น ศิลปินคนหนึ่งหรือคนทำเพลงคนหนึ่งสามารถที่จะทำงานได้หลายรูปแบบ หรือหลายอย่าง แต่สิ่งที่องค์กร MCT ดูแลก็คือดูแลเรื่องลิขสิทธิ์ดนตรีกรรมซึ่งนั่นก็คือเนื้อร้องกับทำนอง เพราะฉะนั้น หน้าที่หลักของเราที่จะให้ความสำคัญว่าเราจะต้องดูแลเกี่ยวกับนักแต่งเพลง ผู้ประพันธ์ ผู้สร้างสรรค์งานเพลง มันมีคำหลายคำ แต่ถ้าเอาแบบง่ายๆ ก็คือนักแต่งเพลง
ถ้ามองย้อนกลับไป รู้สึกเสียดายบ้างไหมว่าคุณไม่ตระหนักเรื่องนี้เมื่อตอนเริ่มต้นเป็นนักดนตรีใหม่ๆ
ไม่ใช่แค่ความรู้อย่างเดียว แต่สิ่งที่เสียดายมากกว่าก็คือ ถ้าเรามีองค์กร MCT ในการทำหน้าที่จัดเก็บประเทศเราจะมีการจัดเก็บลิขสิทธิ์ที่ถูกต้องตั้งแต่ 100 ปี หรือ 50 ปีที่แล้ว ผมคิดว่า แน่นอน อาชีพนักแต่งเพลงกับอาชีพศิลปินจะสร้างรายได้มากกว่าที่เป็นอยู่มหาศาลอันนี้ก็เป็นความจริงเลย แล้วตัวผมเองก็น่าจะมีรายได้มากพอสมควร (หัวเราะ) ตอนที่ผมเป็นวัยรุ่นเป็นช่วงที่พีกที่สุดของผม ผมไม่เคยได้เงินค่าลิขสิทธิ์ เลยพอมาถึงตอนนี้ที่องค์กร MCT เริ่มทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้นแล้ว เริ่มแข็งแรงแล้วผมว่าตอนนี้เราสร้างประโยชน์ให้กับนักแต่งเพลงได้มากทีเดียว
คุณมีประสบการณ์ที่โดนมาตรงๆ กับตัวเองบ้างไหม ที่รู้สึกว่าโดนเอาเปรียบ
ผมไม่อยากใช้คำว่าเอาเปรียบ ขอใช้คำว่าความไม่เข้าใจที่ถูกต้องของเรื่องลิขสิทธิ์ก็แล้วกัน คือทั่วโลกในการใช้ลิขสิทธิ์ที่ถูกต้อง เมื่อไหร่ก็ตามที่เพลงของเราถูกนำไปใช้ไม่ว่าจะเป็นเปิดเพลง มีคนเอาไปบันทึกเสียง หรือมีคนนำไปแสดงสดทุกครั้งเราควรจะได้รายได้กลับมาที่นักแต่งเพลงไม่ว่าจะเล็กใหญ่แค่ไหน แต่ว่าสิ่งที่มันเป็นเมื่ออดีตกาลสำหรับเมืองไทยก็คือแทบจะใช้กันฟรีๆ พูดง่ายๆ คือฟรีสไตล์เลยเพราะว่าประเทศเรายังไม่มีเรื่องของความรู้ความเข้าใจ และเรื่องของการจัดเก็บลิขสิทธิ์ที่ดีที่ถูกต้องไม่มีการบริหารจัดการในเรื่องนี้
นั่นก็เท่ากับว่าตอนนี้ MCT เป็นศัตรูกับค่ายเพลง?
ไม่เป็นเลยครับ เราไม่เป็นศัตรูของใคร เราไม่มีศัตรูแม้แต่คนเดียว มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราไม่มีหน้าที่จะไปสร้างศัตรูกับใคร ไม่ว่าเขาจะเก็บลิขสิทธิ์ถูกต้อง หรือซื้อกินรวบลิขสิทธิ์ ก็ไม่ใช่หน้าที่เราจะไปสร้างศัตรูกับใคร แต่หน้าที่ของเราคือการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับทุกคนที่ต้องการจะทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักแต่งเพลงเอง เพื่อนักแต่งเพลงคนนั้นจะได้นำความรู้ความเข้าใจนี้ไปตัดสินใจเอาเองว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับเพลงที่ตัวเองแต่งขึ้นมา อันนี้เป็นหน้าที่หลักหน้าที่นึงส่วนอีกหน้าที่นึงการจัดเก็บลิขสิทธิ์แล้วก็การแบ่งสรรสิทธิ์ให้ถูกต้องตามที่มันควรจะเป็นเท่านั้นเอง แต่เราไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปเป็นศัตรูกับใครอันนั้นไม่ใช่หน้าที่
แบบนี้คุณนิยามตัวเองกับ MCT ว่าเป็น Music Activist ได้เลยหรือเปล่า
เราไม่ใช่ Activist สักเท่าไหร่ เราต้องไปเป็นศัตรูกับใคร เราไม่ใช่ ผมขออนุญาตนำพระราชดำรัสในหลวง รัชกาลที่ 9 มาพูดให้ฟังแล้วกัน ท่านสอนว่าแค่เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดประเทศชาติก็เจริญแล้ว ผมก็มองว่าเรามีหน้าที่อะไร เรามีหน้าที่เป็นองค์กรจัดเก็บลิขสิทธิ์
เราก็ต้องทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีเรามีหน้าที่ให้ความรู้ความเข้าใจกับนักแต่งเพลงกับสาธารณชนก็ทำตรงนี้ให้ดี เราทำหน้าที่ของเราอย่างจริงจัง เราต้องการทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แต่ถ้ามันเกินหน้าที่โดยที่เราจะต้องไปสู้รบกับใคร อันนี้ผมว่าประโยชน์น้อยอาจจะมีโทษด้วยซ้ำ
แล้วมีความรู้สึกไหมว่าตัวเองต้องออกไปปกป้องทุกสิทธิของนักดนตรีทุกคน
ไม่ครับ ผมคิดว่าการที่เราจะออกไปต่อสู้มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่มีประโยชน์ด้วยซ้ำ อันนี้อาจจะเป็นมุมมองส่วนตัว สิ่งที่มีประโยชน์คือการทำให้เกิดความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องมากกว่ากับสาธารณะชน พอไม่ว่าจะเป็นนักแต่งเพลง เป็น Publisher เป็นค่ายเพลง เป็นองค์กรจัดเก็บเป็นอะไรก็แล้วแต่ ถ้าทุกคนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องทุกคนก็จะรู้หน้าที่ของตัวเองว่าเขาควรจะทำอะไรยังไง ทีนี้เราก็ไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงใครได้ สมมติว่าเขาต้องการที่จะได้รับสิทธิประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว เราไม่มีสิทธิจะไปเป็นศัตรูหรือไปต่อสู้กับใคร อันนี้มันเป็นเรื่องของบุคคลมากกว่า แต่ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่เราควรจะทำแล้วเรากำลังทำอยู่ก็คือการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับทุกคน แล้วทุกคนก็จะต้องมีหน้าที่ตัดสินกันเองว่าเขาควรจะทำอะไร อย่างไร เพราะว่าในฐานะมนุษย์คนหนึ่งผมอาจจะพูดในมุมมองที่ผมเป็นศิลปิน ผมเชื่อว่าเราทุกคนต้องตัดสินใจเองกับการกระทำของเรา ว่าเราต้องรู้หน้าที่ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งว่าเราจะอยู่ร่วมโลกกันอย่างไร เราจะแบ่งปันกันและกัน หรือเราจะเอาทุกอย่างมาเป็นของตัวเองคนเดียวเป็นสิ่งที่เป็นสามัญสำนึกที่พวกเราทุกคนต้องกลับไปคิดกลับไปพิจารณาว่าเราควรจะทำอย่างไร มันเป็นมากกว่าเรื่องลิขสิทธิ์
ถ้าทุกคนมีความรู้ในจุดนี้เท่ากัน มันก็จะไม่เกิดการเข้าใจผิดกันแบบนี้ใช่ไหม
ยิ่งทุกคนมีความรู้ความเข้าใจมากเท่าไหร่มันก็ดีกับวงการ ดีกับนักแต่งเพลงมากขึ้นเท่านั้น เพราะว่าทุกคนก็จะเข้าใจว่าเพลงของเราถ้าพูดในหลักการที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อนักแต่งเพลงก็ควรจะสร้างรายได้ให้กับผู้สร้างสรรค์คนนั้นตลอดชีวิตเพราะกฎหมายคุ้มครองสิทธิตลอดชีวิตของผู้สร้างสรรค์ เพราะฉะนั้น เวลาเพลงเพลงหนึ่งที่แต่งขึ้นมาแล้ว กฎหมายประเทศไทยคุ้มครองลิขสิทธิ์ตลอดชีวิตและต่อเนื่องหลังเจ้าของลิขสิทธิ์เสียชีวิตไปอีก 50 ปี พูดง่ายๆ ลูกหลานจะได้รับผลประโยชน์จากตรงนี้
คุณคิดว่าชื่อเสียงเงินทองของการเป็นนักดนตรีมันคือตัวบดบังเรื่องพื้นฐานอย่างลิขสิทธิ์หรือไม่
ผมคิดว่า หนึ่ง บางทีคนอาจจะไม่ให้ความสำคัญ สอง ไม่รู้ว่าจะไปหาความรู้ได้จากที่ไหน มันมี 2 องค์ประกอบสำคัญ อย่างผมเองเป็นศิลปิน เป็นนักแต่งเพลง ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการที่ได้มีโอกาสแต่งเพลงแล้วก็เล่นเพลงตัวเองไปตลอดชีวิต แล้วก็ไม่ได้ต้องการที่จะมารู้ว่าลิขสิทธิ์มีอะไรบ้าง แบ่งออกออกเป็นกี่สิทธิ แล้วมันต้องอะไรยังไง ถ้ามีองค์กรสักองค์กรหนึ่งมาทำหน้าที่ดูแลลิขสิทธิ์ตรงนี้แล้วองค์กรนั้นเป็นองค์กรที่โปร่งใสตรวจสอบได้ แล้วทำทุกอย่างได้ตามหลักสากลที่มันควรจะเป็น ซึ่งองค์กร MCT คนที่มาเป็นสมาชิกแล้วมีคนดูแลเรื่องลิขสิทธิ์ให้เราแบบถูกต้องครบถ้วนมันจบแค่นั้นเพราะฉะนั้น ตรงนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ MCTของเราตั้งใจที่จะทำและพัฒนาสิ่งเหล่านี้อยู่
แปลว่าถ้า MCT ทำสำเร็จ หรือถ้านักดนตรีเข้าใจในสิทธิของตัวเอง องค์กรอย่าง MCT ก็จะไม่จำเป็นอีกต่อไป?
จำเป็นครับ เพราะว่าองค์กรเราไม่ได้เป็นองค์กรที่ให้ความรู้ความเข้าใจเฉยๆ แต่เป็นองค์กรจัดเก็บลิขสิทธิ์ด้วย ซึ่งตรงนี้อย่างที่ผมบอกมันเป็นองค์กรที่สร้างประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับนักแต่งเพลงทั่วประเทศ ไม่ใช่แค่ให้ความรู้เฉยๆ แค่ให้ความรู้ความเข้าใจก็เป็นประโยชน์มหาศาลแล้ว แต่เป็นองค์กรจัดเก็บที่อยู่ภายใต้องค์กรที่ชื่อว่า CISAC (Confédération Internationale des Sociétés d’Auteurs et Compositeurs – สมาพันธ์นักแต่งเพลงสากล) ซึ่งเป็นองค์กรนานาชาติ กว่าจะยอมรับใครสักคนเป็นสมาชิกต้องใช้เวลาและต้องปฏิบัติเหมือนกับ ISO 9000 ISO 14001 องค์กรเราก็เหมือนกัน ซึ่งองค์กร MCTเป็นองค์กรเดียวเลยของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิกองค์กร CISAC
จุดนี้สำคัญ เพราะว่ามันแสดงให้เห็นว่าองค์กร MCT เป็นองค์กรที่โปร่งใสตรวจสอบได้ และมีหลักการบริหารในการเก็บลิขสิทธิ์และก็จัดสรรสิทธิอย่างถูกต้องตามมาตรฐานสากล ผมถึงบอกว่าองค์กรนี้มันสร้างประโยชน์มหาศาลในแง่ที่ว่านักแต่งเพลงทุกคนที่มาเป็นสมาชิกเขามอบหมายความไว้วางใจให้เราเขาก็รอรับเช็คที่บ้านเท่านั้นเองก็จบ มันง่ายมาก แต่ที่สำคัญก็คือองค์กรนี้ต้องเป็นองค์กรที่ไว้ใจได้ ซึ่งตรงนี้มันก็ได้รับการรับรองจาก CISAC อยู่แล้ว แต่แน่นอนว่าเราก็ต้องเรามีหน้าที่จะต้องบริหารจัดการ ผมในฐานะประธาน ก็ต้องบริหารจัดการทุกอย่างให้ถูกต้องที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็กลับมาอีกนิดหนึ่งก็คือว่าสมมติว่าทุกคนมีความรู้ความเข้าใจ แล้วทุกคนบอกว่าถ้าอย่างนั้นฉันจะไปเก็บลิขสิทธิ์ของตัวเองมันเป็นไปไม่ได้ เพราะสมมติมีนักแต่งเพลง 1,000,000 คนทั่วประเทศ แล้วจะไปเก็บลิขสิทธิ์จากสถานประกอบการอีก 10,000 แห่งทั่วประเทศ เขาจะไปเก็บได้อย่างไร มันก็ต้องมีองค์กรจัดเก็บลิขสิทธิ์มาบริหารจัดการ ซึ่งทุกคนพอมารวมกันมอบหมายให้องค์กรนี้ทำหน้าที่ องค์กรก็จะได้ไปจัดการเพื่อที่จะจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์จากสถานประกอบการ 10,000 แห่งให้ครบถ้วนอย่างเป็นระบบ
คุณคิดว่าตัวเองพัฒนาแค่ไหนตั้งแต่มาทำหน้าที่ผู้บริหาร ไม่ว่าจะเป็น Spicydisc หรือ MCT
ผมเห็นมิติมุมมองมากขึ้น เพราะว่าแทบจะพูดได้ว่า ณ วินาทีนี้ผมทำมาหมดแล้วตั้งแต่เป็นนักดนตรี ไปอัดเสียงตามห้องอัด ในฐานะนักดนตรีที่เป็นศิลปิน เป็นนักแต่งเพลง เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินคนอื่น เป็นที่ปรึกษา จนกระทั่งเป็น Managing Director ของค่ายเพลง จนกระทั่งมาเป็นประธานของ MCT เห็นทุกอย่างในทุกมิติในทุกมุมมองมาหมดแล้ว และเข้าใจแต่ละคนต้องการอะไร แต่ถามว่าสามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหาไหม? ก็ไม่ เพราะว่าตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่มันเป็นธรรมชาติของเรา แต่ส่วนตัวผม การที่ผมมาอยู่ที่ MCT ผมมาด้วยเจตนาที่จะต้องการทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม ไม่ได้มีเจตนาอื่น แล้วก็ไม่ได้ต้องการจะมาอยู่นี่ตลอดไป หากถึงวันที่จะต้องไปก็ต้องไปเท่านั้นเอง
คุณเคยคิดว่าอยากมีตัวเองในอีก 20 ปีข้างหน้าในฐานะเดียวกับตอนที่คุณเริ่มเส้นทางดนตรีไหม
ไม่ ถ้าตอบตามตรงเลยนะ ชีวิตผมต้องการเป็นแค่ศิลปินและทำเพลงของตัวเองอย่างที่ตัวเองรักเท่านั้นเอง ตรงที่มาอยู่ปัจจุบันจะใช้คำว่าภาคจำเป็นก็เป็นได้ แต่ผมก็มองว่าไม่ใช่เป้าหมายในชีวิต แล้วก็ไม่ใช่ความต้องการว่าจะต้องมีตำแหน่งอะไรอย่างนี้ แต่ว่าเมื่อเป็นแล้วผมมองว่าผมสามารถสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นได้ผมก็โอเคเท่านั้นเอง ถ้าให้เลือกได้ก็ต้องการเป็นแค่ศิลปินออกอัลบั้มตัวเอง แต่งเพลงของตัวเอง เท่านั้นเอง
มือเบสคือคนคุมจังหวะของเพลง คุณคิดว่าเล่นเบสเพื่อไปคุมโทนคุมบีตคุมจังหวะวงดนตรีมันเหมือนหรือต่างจากการคุมจังหวะของบริษัทอย่างไร แล้วช่วยคุณได้มากน้อยแค่ไหน
จริงๆ มือเบสมีได้คนเดียวนะ ในหนึ่งวงถ้ามีสองคนก็เริ่มตีกันแล้ว อีกหนึ่งหน้าที่เลยก็คือคุมจังหวะ แต่ในขณะเดียวกันมือเบสก็เป็นตัวเชื่อมทุกสิ่งทุกอย่างเข้าหากัน หมายถึงว่ามือเบสต้องเล่นเข้ากับกลองด้วยต้องเล่นเข้ากับกีตาร์แล้วคอยซัพพอร์ตนักร้องด้วย เพราะฉะนั้น บางทีเราอาจจะมองไม่เห็นหน้าที่ของ มือเบสว่ามันมีความสำคัญยังไง แต่ถ้าเรากดนิ้วเบสออกไปเพลงโล่งเลยนะ มันจะขาดอะไรบางอย่าง แต่พอเบสกลับมาเพลงสมบูรณ์มันเต็ม พอหายไปก็จะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างหายไป ผมมองการทำหน้าที่กลับไปที่ความต้องการส่วนตัว ผมไม่เคยมีความต้องการจะเป็นหัวหน้าผู้นำ ปัจจุบันก็ยังไม่เคยต้องการ แต่ว่าชีวิตมันนำพาให้เราต้องเป็นหัวหน้ามาตลอด ตั้งแต่เป็นหัวหน้าวง เป็นโปรดิวเซอร์ ก็คือเป็นหัวหน้าผู้ควบคุมการผลิต จนกลายเป็นหัวหน้าค่าย กลายเป็น Chairman แต่ผมว่าหนึ่งในคุณลักษณะที่สำคัญก็คืออย่างที่บอกว่าจะคล้ายกับมือเบสที่จะต้องผสานทุกอย่างให้ผสมกลมเกลียว และเข้ากันให้ได้โดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องไปออกหน้าหรือไปยืนอยู่ข้างหน้าให้ทุกคนเห็นจริงๆ เรายืนเงียบอยู่ข้างหลังก็ได้แต่ว่าคอยทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างมันจะโอเค มันจะเดินหน้าไปได้ตามทำนองคลองธรรมของมัน
ตอนนี้คุณอายุ 46 ปี อยู่ในวงการเพลงมา 20 กว่าปี คุณทำมาแทบทุกอย่างแล้วในวงการนี้ จนตอนนี้คือจะเรียกว่ามาถึงจุดสูงสุดของอาชีพทางสายดนตรีก็ได้ คุณว่าวงการดนตรีไทยจะเดินไปในเส้นทางที่ดีหรือเปล่า
พูดได้เต็มปากเลยว่าดีขึ้นกว่าในอดีตมาก เพราะผมเห็นมาตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเข้าวงการเพลง ผมเป็นแฟนเพลงชอบฟังเพลงมากรักเสียงเพลงมาก และฟังเพลงมาตลอด ผมว่าเมืองไทยตอนนี้เป็นจุดพีกของวงการเพลงในแง่ของคุณภาพ จริงๆ พีกมาหลายปีแล้ว เรามีศิลปิน มีนักร้องที่เจ๋งๆ เก่งๆ เยอะมาก เรามีนักแต่งเพลงมีคนทำเพลงใหม่ๆ ที่ดีมากๆ แล้วมันเป็นพัฒนาการของวงการที่ดีขึ้นมาเรื่อยๆ มาจนถึงจุดนี้ผมสามารถพูดได้ว่าวงการเพลงปัจจุบันของไทยมันอยู่ในยุคที่เจ๋งเลยแหละ ผมมีความรู้สึกอย่างนั้น ผมมักจะได้ยินมาตลอดจากนักดนตรีรุ่นเก่าๆ ว่าวงการเพลงไม่เหมือนเดิม เมื่อก่อนเพลงดีกว่านี้ตั้งเยอะ ผมไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าของเก่าไม่ดีนะ ดีมากด้วย ปัจจุบันผมยังชอบฟังเพลงเก่าๆ อยู่ซะส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ แต่ผมมองว่าปัจจุบันมันพัฒนาการมันมาถึงจุดที่ดีมากผมรู้สึกผมพอใจนะ มันเป็นเพราะว่าองค์รวมของประเทศด้วยนะเ พราะว่าปัจจุบันเรามีมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่ทำเรื่องเกี่ยวข้องกับดนตรี และพัฒนาการศึกษามาเป็น 10 ปี แล้วสร้างบุคลากรดีๆ มาอยู่ในวงการหลายคนเลย ผมว่ามันดีมาก
คิดว่าถ้าพอทุกอย่างมันแข็งแรง มันจะมีภาพจำที่เรียกว่า ‘ศิลปินไส้แห้ง’ อยู่หรือเปล่า
มีครับ มันก็จะต้องมี ทั้งศิลปินกระเป๋าตุงและศิลปินไส้แห้งเป็นเรื่องปกติ ทุกวงการเป็นแบบนี้ แต่ผมว่าปัจจุบันพัฒนาการของรายได้ของศิลปินและนักแต่งเพลงมันพัฒนามาไกลกว่าเดิมจากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมเริ่มเนี่ยศิลปินไส้แห้งคือผมนี่แหละไม่ใช่ใคร ปัจจุบันเรามีพัฒนาการเยอะ มีองค์กรอย่าง MCT ที่คอยดูแลนักแต่งเพลงให้ สร้างความมั่นใจให้เขามีรายได้ ค่ายเกือบทุกค่ายปัจจุบันก็มีระบบมีระเบียบที่ถูกต้องตามหลักสากลมากขึ้น แต่ก็ยังมีบ้างมีบางองค์กรบางค่ายเอาเปรียบ ปฎิเสธไม่ได้หรือกเพราะมันเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ใครที่จ้องจะเอาเปรียบก็เอาเปรียบอยู่ร่ำไป ถ้าเขาไม่คิดจะเห็นว่าชีวิตเราต้องมีการแบ่งปันกันมันก็เปลี่ยนอะไรกันไม่ได้ ผมมองว่าศิลปินไส้แห้งก็คงจะมีเปอร์เซ็นต์ที่น้อยลงเรื่อยๆ