คุณคงนึกไม่ออกว่าการซ่อมของเล่นนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องของความสัมพันธ์ได้อย่างไร แต่สำหรับ ‘กล้า’ – ภัททชาติ จวนทองรักษ์ ช่างซ่อมฟิกเกอร์ที่ยึดอาชีพนี้มากว่า 7 ปี เขากลับพบว่าอาชีพซ่อมฟิกเกอร์ (หุ่นจำลองที่สร้างจากตัวละครในการ์ตูน เกม หรือคาแร็กเตอร์ของซูเปอร์ฮีโร่จากภาพยนตร์) นั้นกลับช่วยให้เขารู้ถึงวิธีรักษาความสัมพันธ์ของมนุษย์ได้ โดยมาจากประสบการณ์ในการทำงาน และเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จนตกผลึกเป็นแนวคิดที่เขาเข้าใจแล้วว่า “การซ่อมเป็นพื้นฐานของหัวใจ” ซึ่งเอามาใช้ได้ทั้งกับสิ่งของและความรู้สึกของมนุษย์
Figure it Out
“คนเราเวลามีแผลเกิดขึ้นยังต้องรักษาให้หาย สิ่งของเองก็เหมือนกัน เมื่อมันมีความเสียหายที่ยังพอซ่อมได้ อย่างน้อยเราก็น่าจะลองซ่อมดูสักครั้งก่อนที่จะตัดใจโยนมันทิ้งไป ยิ่งสิ่งนั้นเป็นของที่ได้มาจากความรัก ผมคิดว่าเรายิ่งควรรักษาเอาไว้ แม้ซ่อมออกมาแล้วมันจะไม่เหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ให้ได้ออกมาใกล้เคียงมากที่สุดก็ยังดีกว่าให้มันถูกทิ้งไป” เขาเล่าถึงเส้นทางที่ผ่านมาของการเป็นช่างซ่อมฟิกเกอร์ของตัวเอง โดยมีแง่คิดบางอย่างแฝงอยู่ในอาชีพที่ทำ
ฟิกเกอร์ตัวแรกที่เขาเริ่มต้นซ่อมคือ S.I.C. Kamen Rider Delta ที่ผลิตขึ้นในปี ค.ศ. 2005 โดยตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่กรุงเทพฯ ประสบกับอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่พอดี
“ย้อนกลับไปช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ตอนที่เรากำลังขนของหนีน้ำ เราต้องมารื้อฟิกเกอร์ที่เก็บไว้ในกล่องเพื่อขนย้าย ก็มาเจอฟิกเกอร์ตัวนี้ ซึ่งเป็นฟิกเกอร์ตัวแรกที่เราเก็บเงินซื้อเอง เมื่อแกะออกมาก็พบว่าแขนของมันหลุดออกมา หลังจากนั้นเราก็ส่งไปซ่อมที่ร้านรับซ่อมของเล่น ปรากฏว่าทางร้านก็ซ่อมด้วยการติดกาว พอได้กลับมาก็พบว่ามีจุดอื่นๆ ที่หลุดอยู่ เราเลยลองเอามาซ่อมเอง และมันก็ได้ผลดีเกินคาด”
ระหว่างที่กำลังสนุกและเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องราวการซ่อมฟิกเกอร์ด้วยเทคนิคต่างๆ ตอนนั้นภัททชาติก็ได้เผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของความรัก ที่มาพร้อมกับคำว่า ‘ไม่รู้’ จนไม่ทันได้ซ่อมความรู้สึกที่ผิดพลาดนั้น และกว่าจะรู้ตัวอีกที ความสัมพันธ์ของเขาก็ไม่เหลืออะไรให้แก้ไขได้อีกแล้ว
“ถ้าเป็นสิ่งของเราจะลองซ่อมจนกว่าจะซ่อมไม่ได้ และก็เสริมความแข็งแรงเพื่อไม่ให้ของชิ้นนั้นเสียหายได้อีก อย่างเวลาผมจะซ่อมฟิกเกอร์ ผมจะมองหาจุดที่ตัวหุ่นมีปัญหา รอยถลอกในตำแหน่งต่างๆ ซึ่งก็มั่นใจพอตัวว่าสามารถมองเห็นจุดที่มีปัญหาบนตัวหุ่นได้ทั้งหมด แต่พอเป็นเรื่องของความรักในตอนนั้นผมกลับมองไม่ออกเลย” เขานิ่งเงียบไปสักพัก
“เรากับแฟนคนเก่าคบกันมา 11 ปี กำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นเราเกิดมีปัญหากระทบกระทั่งจนทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเขาก็พูดขึ้นมาว่า “พี่… เราเลิกกันเถอะ” ผมเองก็ปล่อยไปก่อน เพราะคิดว่าเขาอาจพูดด้วยอารมณ์ หลังจากนั้นก็พยายามชวนเขาคุย แต่เขาก็ไม่ยอมคุยด้วย และตัดเราทุกช่องทาง เท่านั้นแหละ… ผมจึงยอม ยอมทั้งๆ ที่ไม่รู้สาเหตุ และคิดไปเองว่าความรักคงอิ่มตัวแล้ว หรืออาจเป็นเพราะเราเองที่ทำให้เขาไม่พอใจบ่อยๆ โดยที่ไม่รู้ตัว แต่เขาเลือกที่จะไม่บอก สุดท้ายก็ไม่ได้มีโอกาสซ่อมความรู้สึกให้เขาเลย เขาเลือกที่จะไปเสียก่อน อย่างน้อยถ้ารู้ ผมก็พร้อมจะซ่อมให้ถึงที่สุด”
Learning Difffiiculty
เมื่อความรักกับการซ่อมกลายเป็นบทเรียนที่คาดไม่ถึง เขาเก็บซ่อนความรู้สึกนั่นไว้เพียงลำพัง แล้วหันไปทุ่มเทการซ่อมฟิกเกอร์อย่างจริงจังและเข้มข้นขึ้น เพื่ออย่างน้อยการซ่อมได้ของเขาจะมีประโยชน์ต่อความรู้สึกของผู้อื่นอีกมากมาย
“ฟิกเกอร์ที่ส่งมาซ่อมส่วนใหญ่มักจะเป็นของที่พ่อแม่หรือคนรักซื้อให้เป็นของขวัญ ที่ต่อให้มีของใหม่หาซื้อได้ แต่ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกัน เราจึงพยายามทำให้ดีที่สุด นึกถึงใจเขาใจเรา จะซ่อมของชิ้นนั้นให้เหมือนกับซ่อมของของตัวเอง วิธีที่ไม่เคยใช้ต้องลอง แต่หากสุดความสามารถแล้วจริงๆ เราก็ต้องอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจก่อนเสมอ สุดท้ายแล้วเมื่อซ่อมเสร็จเราเองก็ดีใจ แต่เราจะรู้สึกดีมากกว่านั้น เมื่อส่งฟิกเกอร์ถึงมือลูกค้าแล้วเขาเองก็ดีใจเหมือนกัน”
ด้วยความทุ่มเทนี้จึงทำให้ใครต่อใครต่างเชื่อมั่นในฝีมือของเขา ซึ่งเขาเล่าให้ฟังถึงความยากง่ายของการซ่อมฟิกเกอร์ผ่านการเรียนรู้ด้วยตัวเองให้ฟังว่า
“การซ่อมฟิกเกอร์ขั้นพื้นฐานแค่ติดกวาตราช้างก็เอาอยู่แล้ว เราจึงทำคลิปอธิบายให้คนอื่นๆ ได้ลองซ่อมด้วยตัวเอง โดยที่ยังไม่คิดเงิน แต่ไปๆ มาๆ ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม คนอื่นไม่ยอมซ่อมเอง และส่งมาให้เราซ่อม ต่อมามันไม่ใช่แค่หลุดหรือหักธรรมดา บางจุดแตกละเอียด ก็ต้องอาศัยการดามด้วยลวด ซึ่งเราเพิ่งมารู้ว่าวิธีแบบนี้ทำให้การซ่อมทนกว่าเดิมได้เยอะ หรือหนักๆ หน่อย ชิ้นส่วนบางอย่างหลุดหายไป เราก็ต้องทำแบบขึ้นมาด้วยซิลิโคนพุตตี้ (Silicone Putty) ก่อนขัดให้ได้ทรงและทำสีใหม่ ซึ่งการทำสีเป็นงานที่ยากและท้าทายเรามาก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการให้ฟิกเกอร์ของเขาเหมือนเดิมให้มากที่สุด แม้กระทั่งเรื่องสี บางตัวสีเดิมคือสีของเก่า ผิวอมเหลือง เราก็ต้องผสมสีให้ใกล้เคียงมากที่สุด ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากให้เราทำจนเหมือนใหม่” เขาอธิบายด้วยความรู้สึกของคนที่เข้าใจว่าความผูกพันนั้นสำคัญแค่ไหน
Relationships and Subconscious Mind
วันเวลาผ่านไปความชำนาญของภัททชาติเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นที่รู้จักกันในนาม Klamasii หมอเทวดาแห่งวงการของเล่น นอกจากความชำนาญที่ผสานการตอบโต้ลูกเพจได้อย่างมีอรรถรสแล้ว สิ่งที่เขายังมาได้ด้วยคือคำตอบที่ค้างคาใจมาเนิ่นนาน
“เราว่าของเล่นกับคนมีสิ่งที่เหมือนกัน หากให้เปรียบก็คงเหมือนคนรัก บางครั้งแม้ว่าจะเป็นของมือสองจากคนอื่น มีรอยตำหนิบ้าง แต่พอรักแล้วก็ยอมรับได้ ถ้ามันพังก็ซ่อม ซึ่งเราสามารถมองไปจนถึงเรื่องของจิตใต้สำนึกได้ด้วย อย่างคนรุ่นพ่อแม่ของเราที่ครองรักกันได้ยาวนาน เพราะพื้นฐานพวกของท่านเป็นคนชอบซ่อม สังเกตจากปัจจุบันคนเหล่านี้ยังเลือกที่จะซ่อมของใช้กันอยู่เลย นั่นหมายความว่าสิ่งของที่เสียหาย เขาจะซ่อมจนกว่าจะใช้ไม่ได้ หรือบางทีก็ไม่ยอมทิ้งไปง่ายๆ หลายครั้งเราได้ยินเหตุผลของเขาว่า ‘ซ่อมไม่ได้ก็เก็บไว้ดู’ ดังนั้น เมื่อความรู้สึกระหว่างกันและกันเสีย พวกท่านก็เลือกที่ซ่อมความรู้สึกด้วยวิธีการต่างๆ แต่ทุกวันนี้คนกลับคิดตรงกันข้าม เมื่อสิ่งของพังก็ทิ้งแล้วซื้อใหม่ จนกลายเป็นเรื่องที่ชินชา แล้วเราก็อยู่กับความรู้สึกแบบนี้โดยไม่รู้ตัว
“แต่ก็ต้องยอมรับว่าของใช้ในปัจจุบันอายุการใช้งานสั้น ซื้อใหม่ง่ายกว่าซ่อม บางทีค่าซ่อมแพงกว่าซื้อของใหม่ด้วยซ้ำ ความสัมพันธ์ของคนยุคนี้ก็ไม่ต่างกัน หลายคนคบกันไม่นานก็เลิก เพราะพวกเขาไม่รู้จักซ่อมความรู้สึกของอีกฝ่าย และความรู้สึกของคนก็หาซื้อไม่ได้ ยิ่งจุดรอยร้าวเล็กเท่าไหร่ ยิ่งต้องคอยสังเกตและหาทางซ่อม หากทำเป็นมองข้าม อาจจะพังจนหมดทางกู้คืน”
สำหรับช่างซ่อม คำว่า ‘การซ่อม’ คือทางเดียวที่ช่วยให้ของชิ้นนั้นยังคงอยู่ได้นานที่สุด และเป็นคำตอบภายในตัวของเขาด้วยว่าความสัมพันธ์ก็ต้องอาศัยการประคับประคอง นั่นคือการซ่อมแซมความรู้สึกของกันและกัน
“เพราะการซ่อมมันคือการฟื้นฟูจิตในข้างในของเราเอง” เขากล่าวทิ้งท้าย พร้อมๆ กับการเอ่ยถึงความรักครั้งใหม่ที่เพิ่งก่อร่างสร้างความสัมพันธ์ได้ไม่นาน ก่อนที่จะโชว์ฟิกเกอร์ที่คนรักของเขาซื้อให้ให้เราดู และบอกว่าเขาจะเก็บรักษาทั้งฟิกเกอร์ตัวนี้ รวมทั้งความสัมพันธ์ครั้งใหม่นี้ไว้อย่างดีที่สุด
Klamasii
สามารถส่งภาพรอยแผลฟิกเกอร์หรือจุดที่ต้องการให้ซ่อมเพื่อประเมินราคาและความเป็นไปได้ในการซ่อม ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ Klamasii หรือติดต่อสอบถามโดยตรงได้ที่ โทร. 08-4662-8965