นางแบบผู้หญิงวัยรุ่นหน้าตาดูบ้องแบ๊วชวนฝัน กับพื้นหลังที่ถูกฉาบเคลือบสีสันอันสดใสราวลูกกวาด คือสไตล์ที่ถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองเบื้องหลังเลนส์ของ ‘อุ๊’ – สุพัตรา หมั่นแสวง หรือช่างภาพสาวที่หลายคนรู้จักเธอในนาม มานีมีใจ และทำให้ใครหลายคนหลงรักงานที่มีเอกลักษณ์ในฉบับสดใสของเธอ
งานอันแสนโดดเด่นที่สะท้อนผ่านมุมมองและฝีมือของมานีมีใจ ได้สร้างกลุ่มผู้ชื่นชอบและติดตามงานของเธอเป็นจำนวนมาก ทั้งในอินสตาแกรมที่มียอดฟอลโลเวอร์กว่าหนึ่งแสนคน และในแฟนเพจเฟซบุ๊กกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นคน รวมไปถึงจำนวนงานของเธอที่มีออกมาสม่ำเสมอ ก็ยิ่งทำให้ ‘ภาพจำ’ ของงานเธอถูกผูกติดกับความงามในแบบของหญิงสาววัยรุ่นหน้าตาน่ารักอย่างแยกไม่ออก
และในมุมหนึ่งมันอาจสร้างความหมายของ ‘ผู้หญิงสวย’ ที่ส่งอิทธิพลต่อผู้ติดตามงานของเธอให้มีความเชื่อคล้อยตามเช่นนั้นได้ไม่ยาก น่าสนใจว่าช่างภาพที่สามารถสร้างเอกลักษณ์ในงานแบบ ‘หญิงสาวกับท้องฟ้า’ ขึ้นมาได้ จะมีความรู้สึกเช่นไร หากงานของเธอได้สร้างมายาคติที่เป็นความไม่ได้ตั้งใจต่อผู้ติดตาม และความหมายของผู้หญิงในอุดมคติจริงๆ ในมุมมองของเธอเป็นอย่างไรกันแน่
ภาพถ่ายที่แสนสดใสของคุณมีแรงบันดาลใจมาจากอะไร
เราโตมากับภูเขา แม่น้ำ ท้องฟ้า งานศิลปะหรือตัวตนของเรามันก็เกิดจากสิ่งแวดล้อมที่เราเติบโตมา เปรียบเทียบเหมือนถ้าเราเอาตัวเองไปอยู่กับสิ่งไหน มันก็จะถ่ายทอดออกมาโดยมีกลิ่นอายแบบนั้นติดมาด้วยไม่มากก็น้อย ถ้าเป็นนักร้องก็อาจจะพูดเกี่ยวกับบ้าน สิ่งที่ผูกพัน สิ่งที่ถนัดหรือสนใจ เราว่ามันเกี่ยวมากเลยนะ
ตอนเด็กๆ เราโลกสวยมาก เราอยู่บนดอย มีท้องฟ้า ภูเขา ทุ่งนา ขี่ควาย เราเห็นแต่ภาพแบบนั้น แล้วยิ่งได้อยู่ในโรงเรียนที่สภาพแวดล้อมค่อนข้างดีด้วย เอาง่ายๆ ที่โรงเรียน คำว่ากู-มึง แทบไม่ค่อยได้ยินเลย สูบบุหรี่ในห้องน้ำก็ไม่ค่อยมี (หัวเราะ) แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เริ่มได้เห็นชีวิตมากขึ้น ได้เห็นมุมที่มันดาร์กมากขึ้น ก็เริ่มเห็นว่าที่จริงแล้วโลกก็ไม่ได้สวยขนาดนั้นนะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราเข้าใจ สิ่งที่เราเชื่อ มันก็จะถูกถ่ายทอดออกมาผ่านงานศิลปะหรือภาพที่เราถ่าย
ถ้าลองย้อนกลับไปรื้อรูปเก่าๆ ดู งานเราก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกเลยนะ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับช่วงชีวิตแต่ละช่วงด้วยว่าช่วงไหนอยู่ในกราฟไหน ช่วงไหนกราฟแย่มาก ชีวิตดาวน์ เจอแต่เรื่องซวยๆ งานก็อาจจะออกมาเป็นมู้ดดาร์กๆ
งานของมานีมีใจมีมุมดาร์กด้วยเหรอ
มีๆ มันคือช่วงชีวิตของเราในแต่ละช่วงนะ เพราะคนเราคงไม่ได้มีอารมณ์สดใสตลอดใช่ไหม ยิ่งตอนเรียนศิลปกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เราโกหกตัวเองไม่ได้เลยนะ อยู่ดีๆ ชีวิตหม่นหมองแต่จะให้ทำงานสดใสมันก็ทำไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ต้องทำแหละ (หัวเราะ) ภาพที่ถ่ายออกมาก็จะมีความหม่นๆ ถ้าตอนนั้นกำลังทดลองอยู่ งานก็จะออกมางงๆ หน่อย คนน่าจะนึกไม่ออกเลย ตอนนี้ถ้าเราเอางานเหล่านั้นกลับมาแสดงคงไม่มีใครมาดูแน่ๆ
“
เราคิดว่าทำไมผู้หญิงจะทำสิ่งที่ผู้ชายทำไม่ได้ หรือทำไมผู้หญิงจะเล่นสิ่งที่ผู้ชายเล่นไม่ได้
”
ตอนเรียนมหาวิทยาลัยคุณสนใจประเด็นอะไรเป็นพิเศษ
ในตอนเรียนเราสนใจเรื่องสถานะทางเพศกับเพศสภาพของชายหญิง โดยเฉพาะเรื่องของเด็กผู้หญิงเราจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ เราเคยมีงานทดลองที่เอาตุ๊กตากระดาษมาเผา เพื่อสะท้อนความคิดที่ว่าตุ๊กตาที่เป็นผู้หญิงตาโต ผมบลอนด์ หน้าสวย ที่เราเล่นตอนเด็กๆ ไม่มีอยู่ในชีวิตจริง มันเป็นแค่ความเพอร์เฟ็กต์ที่เราถูกบังคับให้เล่น แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องเป็นไปตามธรรมชาติ หรืออย่างงานที่เอาผู้หญิงใส่ชุดไทยมาดื่มเหล้า เอาของเล่นมาทำลาย อะไรแบบนั้น
ต้องเล่าย้อนกลับไปว่า เราโตมากับครอบครัวที่เป็นผู้ชายหมดเลย ทั้งพี่ชาย น้องชาย เราเป็นผู้หญิงคนเดียว มีเหตุการณ์หนึ่งที่เราจำฝังใจเลยคือ ตอนเด็กๆ พวกพี่น้องผู้ชายจะได้หุ่นยนต์กัน แต่เราไม่ได้ เราก็แอบไปร้องไห้หลังบ้านหนักมาก เราสงสัยว่าทำไมคนอื่นได้เล่น ทั้งๆ ที่ความรู้สึกตอนเป็นเด็กเราก็อยากเล่นเหมือนกัน พอโตขึ้นแล้วย้อนกลับไปมองตอนนั้นก็คิดว่า เออ เราอยากเล่นนะ แต่คนที่กำหนดเพศคือผู้ใหญ่กับสิ่งแวดล้อม แล้วเขาเป็นคนกำหนดว่าใครควรจะได้รับอะไร ในธีสิสตอนเรียนมหาวิทยาลัยของเราก็เลยเป็นงานที่เอาปืนมาให้เด็กผู้หญิงถือแล้วยิงเด็กผู้ชาย หรือเอาผู้ชายมาใส่ชุดผู้หญิงแล้วอุ้มตุ๊กตา ทำให้เป็นตลกร้ายนิดๆ ซึ่งเราก็ชอบการเล่นอะไรแบบนี้นะ (หัวเราะ) สิ่งเหล่านี้เลยทำให้เราสนใจเรื่องเพศสภาพในแง่ของความไม่เท่าเทียมกัน คือเราคิดว่าทำไมผู้หญิงจะทำสิ่งที่ผู้ชายทำไม่ได้ หรือทำไมผู้หญิงจะเล่นสิ่งที่ผู้ชายเล่นไม่ได้
การที่ภาพถ่ายส่วนใหญ่ของคุณเป็นเด็กผู้หญิง เป็นเพราะว่าคุณอยากเชิดชูสถานะของผู้หญิงหรือเปล่า
ก็อาจจะเกี่ยว อย่างที่บอก ตอนเด็กๆ เราโตมากับผู้ชาย แต่พอถึงวัยเรียน ที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เพื่อนจะเป็นผู้หญิง ถ้าพูดถึงเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายก็แทบจะไม่ค่อยมีเลย เราก็เลยได้พาตัวเองไปแวดล้อมกับเพื่อนผู้หญิงด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนั่นทำให้คิดว่าเราเข้าใจธรรมชาติของผู้หญิง อย่างผู้ชายเราก็ได้เรียนรู้มาบ้าง จากแฟนหรือจากพี่น้อง แต่เราก็ไม่ได้เอาตัวเข้าไปแวดล้อมขนาดนั้น
ถ้าเปรียบเทียบเป็นการถ่ายภาพ สมมติให้ทั้งคู่ลองโพสท่าแบบเหม่อๆ เราจะรู้สึกว่าเราหาธรรมชาติผู้หญิงได้ง่ายกว่า แต่พอเป็นผู้ชายเหม่อปุ๊บ เราจะคิดว่า ทำยังไงให้ไม่ดูขี้เก๊กดีนะ แค่ล้วงกระเป๋าก็ดูขี้เก๊กแล้ว (หัวเราะ) เรายังไม่เข้าใจว่าแบบไหนคือธรรมชาติของผู้ชาย แต่ถ้าถามว่าแอนตี้การถ่ายผู้ชายไหม ก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะ เราถ่ายได้ แต่ไม่รู้ว่าถ่ายได้ดีมั้ย ต้องให้คนอื่นตัดสินอีกที แต่ก็รู้สึกว่าภาพที่เราถ่ายผู้ชายมันก็มีเสน่ห์อีกแบบหนึ่งแหละ ด้วยความที่เราไม่ได้ถ่ายบ่อย บางทีมันก็จะมีมุมที่ดูแล้วแบบ เออ… ดีจัง (หัวเราะ)
มันคือความงามในแง่ความเป็นมนุษย์เพศหญิงหรือจริตจะก้านแบบที่คุณชอบใช่ไหม
ใช่ เรารู้สึกว่าใบหน้าหรือภาพพอร์เทรตของผู้หญิงมันมีอะไรที่น่าหลงใหล น่าดึงดูดมากกว่าผู้ชายด้วย ถ้าลองสังเกต ไม่ว่าจะเป็นประวัติยุคสมัยของการถ่ายรูปหรือกล้องถ่ายรูป มันถูกสร้างมาจากผู้ชายหมดเลย มันเป็นสิ่งที่ผู้ชายมอง
หรือย้อนกลับไปก่อนที่จะมีภาพถ่าย ภาพวาดในอดีตอย่างโมนาลิซาก็เป็นความงามของผู้หญิง เราเลยรู้สึกว่าเพศหญิงเป็นตัวแทนของความงามอยู่แล้ว และสิ่งที่เรารับรู้หรือสิ่งที่คนจะมองเห็นก็น่าจะเป็นสุนทรียะที่คนส่วนใหญ่ต้องการมองมากกว่า
ผู้หญิงในงานศิลปะของคุณหมายถึงอะไร
ถ้าเป็นศิลปะในเชิงภาพถ่าย ก็น่าจะเป็นตัวแทนที่อยู่ระหว่างความคิดของเรากับความเป็นตัวตนหรือความเป็นธรรมชาติของแบบ เหมือนเป็นภาพสะท้อนความคิดที่มาพบกันคนละครึ่งทาง สมมติเราถ่ายผู้หญิงคนหนึ่ง พอเขาอยู่ในเฟรม เราก็จะมองดูแล้วคิดว่าถ้าเราเป็นเขา เราไม่อยากเห็นอะไร เช่น เราไม่อยากให้ขาเราใหญ่ อะไรแบบนี้ (หัวเราะ) เป็นความคิดที่ว่าถ้าเป็นมุมมองเรา เราอยากให้ตัวเองมีภาพแสดงออกมาเป็นแบบไหน อยากให้คนอื่นเห็นแบบไหน ก็จะมีความคิดแบบนี้คนละครึ่ง ซึ่งมันก็ต้องเป็นตัวเขาด้วย ฉะนั้น เวลาเราถ่ายแบบที่เป็นผู้หญิง จะต้องมีการพูดคุยกันก่อน เข้าไปดูไอจีของเขา หรือทำความรู้จักตัวตนของเขาประมาณหนึ่ง เพื่อที่จะไม่ให้หลุดออกจากความเป็นเขามากเกินไป
การพยายามจินตนาการให้ตัวเองไปอยู่ในภาพที่ถ่าย และจะไม่เลือกถ่ายอะไรที่ดูไม่ดี เหมือนกับว่าการถ่ายภาพเป็นการเยียวยาตัวคุณเอง หรือพยายามลบข้อด้อยของตัวเองด้วยภาพที่คุณอยากเห็นหรือเปล่า
เราว่าเกี่ยวเลย เหมือนอย่างงานที่เราพูดถึงเรื่อง nostalgia การโหยหาอดีตในวัยเด็ก มันก็มาบำบัดเราเหมือนกัน เพราะเรารู้สึกว่าสิ่งที่สวยงาม สิ่งที่มีความสุขในตอนนั้นไม่สามารถย้อนกลับมาแล้ว ก็เลยถ่ายทอดออกมาผ่านภาพถ่ายของเรา ซึ่งเป็นไปได้ว่าสไตล์ภาพของเราที่มักจะเป็นเด็กผู้หญิงก็เป็นเพราะเหตุนี้ เพราะเรารู้สึกว่าความสุข ความอิสระ เสรีภาพในวัยเด็กนั้นสวยงามที่สุดแล้ว มันจริง มันธรรมชาติมากๆ เราเลยรู้สึกว่าชอบ หลงใหล แล้วเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็จับต้องได้ ถ้าชีวิตในวัยเด็กไม่ได้ดาร์กมากนะ
อยากรู้จังว่าตอนที่คุณเป็นเด็ก คุณมองภาพผู้หญิงเป็นอย่างไร
(นิ่งคิด) เราเป็นคนชอบคนเก่ง อย่างจิตรกรที่เป็นผู้หญิง ขึ้นนั่งร้านสูงๆ ไปเพนต์รูปภาพ หรือนักแต่งเพลงที่เป็นผู้หญิงเก่งๆ คือเราชอบคนที่โฟกัสอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วทำมันสม่ำเสมอจนเก่ง จนคนจดจำสไตล์งานได้ ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่เป็นแบบอย่างหรืออุดมคติของเราจะเป็นพวกศิลปินหรือนักร้อง เราชอบความมีเสน่ห์ที่รู้สึกได้ผ่านสิ่งที่เขาทำ
ทำไมคุณถึงชอบถ่ายภาพที่สร้างภาพจำว่าผู้หญิงดูดีต้องดูสดใส น่ารัก น่าทะนุถนอม
เราว่ามันเหมือนเป็นการดึงดูดคนแบบเดียวกันมากกว่า เพราะผู้หญิงที่เราเลือกมาถ่ายคือคนที่ผ่านการคัดกรองในสิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นเราอย่างชัดเจนเพื่อแสดงออกให้คนอื่นเห็น แล้วก็ดึงดูดคนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กันให้มาเสพด้วยกัน อย่างเราก็จะเลือกใช้นางแบบหน้าเอเชีย ซึ่งก็เป็นเรื่องรสนิยมด้วย
ยกตัวอย่างทำไมถึงชอบกินผัดกะเพราร้านนี้ ทั้งๆ ที่คนอื่นอาจไม่ได้รู้สึกอร่อย เพราะมันคือสิ่งที่เราเชื่อว่าแบบนี้คือเราไง แล้วก็เป็นการคุยกับตัวเองบ่อยๆ มีไดอะล็อกในหัวว่านี่คือเราหรือเปล่า อย่างเวลาผู้จัดการเลือกนางแบบมาให้ เราก็จะมองก่อนว่าชอบไหม อาจฟังไม่มีเหตุผลนะ แต่มันเป็นการกรองคนที่ตรงกับเสน่ห์แบบที่เราชอบ ต่อให้บางคนที่คนอื่นบอกว่าสวยมาก แต่ถ้าเราไม่อินเราก็ไม่เลือก บางทีก็ไม่ต้องไปหาคำตอบในสิ่งที่เราบอกว่าชอบไปแล้วก็ได้
แต่เขาอาจจะมีชุดความคิดเปรียบเทียบว่าผู้หญิงแบบในรูปของคุณนั้นเป็นความเพอร์เฟ็กต์ที่เขาต้องเป็น ถ้าไม่สวยไม่ใสแบบนั้นก็อาจจะตกมาตรฐาน
ต้องให้เขาไปลองดูเอง (หัวเราะ) เราไม่ได้บอกว่ามันเพอร์เฟ็กต์ เราแค่บอกว่า ถ้าผู้หญิงสไตล์นี้ ลองไปแบบนี้ดูสิ เราแค่ดึงตัวตนของนางแบบออกมา เหมือนเราไปเสนอทางเลือกให้เขาว่าลองทำแบบนี้สิ หรือจะผมทรงนี้ไหม เพราะเราก็ไม่ได้ถ่ายแบบผมสั้นสิบคนติดกัน เราก็มีผมยาวมาคั่นบ้าง มีหลากหลายสไตล์อยู่ พูดง่ายๆ คือต้องน่ารักในแบบของเรา ในความเชื่อของเรา ในรสนิยมของเรา
“
เราจะไม่ชอบอะไรที่แมสหรือเพอร์เฟ็กต์ เหมือนตุ๊กตากระดาษที่จะมีความเพอร์เฟ็กต์ของมัน แต่เรารู้สึกไม่ชอบ เพราะเราเชื่อว่าในชีวิตจริงมันไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ขนาดนั้น
”
มันก็สวยแหละ แต่แค่ไม่ใช่แบบที่เราชอบ สมมติ เทียบกับการให้เราไปถ่ายดาราดังๆ เบอร์ใหญ่ๆ เราถ่ายแล้วก็มีความรู้สึกเฉยๆ นะ เพราะรู้สึกว่าเราเห็นเขาสวยทุกมุมแล้ว เห็นรูปที่สวยมากๆ ของเขามาจำนวนมากแล้ว มันไม่ได้ท้าทายหรือรู้สึกว่าตื่นเต้นแล้ว
อีกอย่าง งานเราก็ไม่ได้ชี้นำขนาดนั้น เราคิดว่าเป็นแค่เรื่องของรสนิยมอย่างเดียวเลย คือถ้าใครจะไม่ชอบก็ไม่เป็นไร อย่างนางแบบหน้าเอเชียที่บอกก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะหน้าทรงเดียวกันหมด มันจะมีเอกลักษณ์บางอย่างที่ต่างกัน เช่น สีผิว ความสูง รูปหน้า แต่ก็จะมีบางอย่างที่มองแล้วรู้สึกว่าตรงกับรสนิยมเรา อาจจะเป็นเสน่ห์ของแววตา ความรู้สึก กิริยาท่าทาง เราเป็นคนซีเรียสเรื่องแววตามากๆ ถ้าคนไหนแววตาแข็ง เราก็ผ่านเลย เราทำงานกับดวงตาของคนมามากจนบางทีเราจะรู้ว่าแบบไหนเขาโกหกอยู่ แบบไหนเขาเศร้า หรืออกหักมา นางแบบที่ถ่ายด้วยกันบ่อยๆ บางคน เห็นแววตาแล้วรู้เลยว่าต้องเป็นอะไรแน่ๆ
ก่อนหน้านี้เราลงรูปน้องนักแสดงคนหนึ่งในเพจ แล้วคนมาคอมเมนต์เยอะมากว่าทำไมดูเศร้า ทั้งๆ ที่ลูกเพจเราไม่ค่อยอินกับอะไรที่ลบๆ ดาร์กๆ เท่าไร แต่เรารู้ว่าน้องเขาป่วย เขาเศร้าอยู่ เราก็ไม่รู้จะทำยังไง มันมีภาพที่น้องยิ้มนะ แต่ดูฝืน เราก็เลยไม่เลือก พอคนมาคอมเมนต์แบบนั้นก็เสียใจนะ คือเราต้องทำยังไงเหรอ (หัวเราะ)
ธรรมชาติของคนที่ติดตามงานคุณเป็นอย่างไร
ส่วนใหญ่คาแร็กเตอร์จะคล้ายๆ และไม่หลุดออกจากเรามาก คนที่มาตามก็อยากตามอะไรที่บวกๆ สดใส ไม่ดาร์กเกินไป ต่อให้เรามีงานดาร์กๆ ก็เก็บไว้ดูเองดีกว่า คือมันมาขนาดนี้แล้ว จากที่ตอนแรกเราเริ่มมาจาก Fine Art แต่ตอนนี้กลายเป็น Commercial แล้ว เราก็ต้องคัดกรองงานที่จะลงให้แตกต่าง ลงรูปนางแบบนมโตไปคนก็คงไม่เข้าใจ คนสวยมากๆ แมสๆ ไปเลยคนก็ไม่ชอบ ก็ต้องเป็นคนที่มีสไตล์หน่อย ถ้าถามว่าทำให้อึดอัดไหม ก็มีบ้าง เครียดบ้าง เป็นธรรมดาแหละเนอะ
ส่วนใหญ่ลูกเพจคุณมักจะคอมเมนต์เรื่องอะไรกัน
เรื่องนางแบบ เช่น อยากตัดผมตามแบบคนนี้จัง อยากขาเรียวแบบนี้จัง ก็อย่างที่บอกว่ามันมีอิทธิพลกับผู้หญิงด้วยกันนั่นแหละ แต่เหมือนเราแค่เสนอแนวทางให้เขามากกว่า เช่น บางคนเข้าใจมาตลอดว่าถ้าตัดผมบ๊อบจะดูเด๋อ แต่พอเขาเห็นรูปเราเขาอาจจะเปลี่ยนไปคิดว่า เอ๊ะ หรือเราจะลองไปตัดดี อะไรแบบนั้น เหมือนเสนอให้เขาเห็นมุมใหม่ๆ แต่แน่นอนว่าเราไม่ได้ไปตัดสินว่าแบบนี้คือดีที่สุด ก็เหมือนการดึงดูดคนที่ชอบเข้ามานั่นแหละ ใครที่ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้บังคับนะ
แสดงว่าคุณก็ไม่ได้ปฏิเสธว่างานของคุณมีอิทธิพลให้คนที่ตามผลงานอยากทำตามผู้หญิงในรูปที่คุณถ่าย
ถ้าดูจากคอมเมนต์มันก็เกี่ยวแหละ แต่ว่าบางทีก็ต้องแยกกับงานที่เป็นงานจ้างด้วย เพราะมันต้องตรงตามคอนเซ็ปต์ของสินค้าที่เขาให้เราทำ คืองานของเราเป็น commercial ยกตัวอย่างงานมีดโกนขนรักแร้ เราจะถ่ายยังไงดี (หัวเราะ) ซึ่งมันเป็นเรื่องของผู้หญิง ถ้าถูกถ่ายทอดโดยช่างภาพหญิงก็น่าจะเข้าใจได้ง่าย เราก็พยายามทำให้มันดูน่ารัก ทำให้ดูทันสมัยขึ้น น่าใช้ขึ้น โดยเราก็ต้องอ่านที่มาที่ไปของสินค้าก่อนว่าเป็นมายังไง ให้คลุมอยู่ในคอนเซ็ปต์เขา ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นสินค้าของผู้หญิง เราเคยถ่ายน้ำมันเครื่องด้วยนะ (หัวเราะ) มีพริตตี้ด้วย มันมาก คือบางทีเราก็อยากลองไง การจะรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรเราต้องลองก่อน และเราก็ชอบการได้ทดลองอะไรใหม่ๆ มากเลยนะ
แต่ก็มีงานที่เราไม่รับเหมือนกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานที่เคยทดลองแล้วว่ามันไม่โอเคสำหรับเรา เรารู้สึกว่าการถ่ายรูปเป็นสิ่งเดียวแล้วที่เราอยากทำ ก็เลยไม่อยากให้มันอยู่ในระยะเวลาอันสั้น เราอยากให้มีอายุการทำงานให้นานที่สุด ไม่อยากมีสิ่งใดมาบั่นทอนความรู้สึกเรา เราอยากอยู่กับมันไปนานๆ
อย่างงานรับปริญญา เราเคยถ่ายอยู่สี่ปี แล้วถ่ายเกือบทุกวันนะ ใครบอกว่างานรับปริญญามีเป็นช่วงๆ ใน 12 เดือน เราถ่ายทุกเดือน ถ่ายมาแทบทุกมหาวิทยาลัยแล้ว ทำจนถึงลิมิตที่เรารู้สึกว่าไม่สามารถกลับไปทำในพลังงานเดิมได้แล้ว ก็เลยพอก่อน ออกมาก่อน ไม่งั้นถ้าทำไปเรื่อยๆ ก็มีแต่จะบั่นทอนเรา หรืออย่างงานถ่ายอาหาร ด้วยธรรมชาติของเรา เมื่ออาหารมาวางเราก็กินแล้ว (หัวเราะ) เราไม่ได้ชื่นชมความงามของวัตถุดิบ หรือชื่นชมว่าเชฟจัดสวยจัง อะไรแบบนั้น
มีคำที่บอกว่า ‘ผู้หญิงคือวัตถุแห่งการถูกจ้องมอง’ ทำให้ผู้หญิงต้องคอยสำรวจภาพลักษณ์ของตัวเองตลอดเวลา อยากรู้ว่าคุณคิดเห็นอย่างไร
เราว่าสุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับคนนะ แต่ถ้าถามว่าเราจ้องมองนางแบบไหม เราก็จ้องมองค่อนข้างละเอียด เพราะเราคิดว่าภาพที่ถูกนำเสนอไปแล้วจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เรารู้สึกว่าคนที่มากดไลก์เขาก็เลือกแล้ว จริงๆ ไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย เพราะเราก็นำเสนอในมุมมองความคิดของเราครึ่งหนึ่ง นางแบบหรือตัวแบรนด์อีกครึ่งหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มองว่าต้องเพอร์เฟ็กต์ ต้องแบบนี้เท่านั้น นอกจากว่าตัวผลิตภัณฑ์เขาอยากให้เป็นแบบนั้น
ยกตัวอย่าง มีงานถ่ายแบรนด์รองเท้ายี่ห้อหนึ่งที่เขาต้องการกระตุ้นยอดขาย เราก็มานั่งคิดต่อยอดว่าจะทำยังไงให้ขายได้ ซึ่งเป็นแบรนด์สำหรับผู้หญิง ก็ต้องมาคิดวิธีการที่จะทำให้รองเท้าดึงดูดผู้หญิงด้วยกันหรือดึงดูดคนทั่วไปที่มอง เราก็เลือกนางแบบวัยรุ่นหลายๆ คนมาใส่กางเกงขาสั้นเพื่อโชว์รองเท้าให้โดดเด่นแล้วถ่ายรวมกัน สุดท้ายงานนั้นกลายเป็นงานที่ปังที่สุดของเราไปเลย
ถามว่าเป็นมายาคติไหม ก็อาจจะใช่ แต่ก็เป็นงาน เป็นสินค้าของเขาที่เราต้องนำเสนออยู่แล้ว แต่ตอนถ่ายเราเครียดมาก กังวลว่าจะทำได้ไหม ของจะขายได้ไหม แต่พอมันสำเร็จเราก็แฮปปี้นะ แต่ก็มีดราม่าที่คนบอกว่านางแบบขาเล็กจัง อยากเป็นแบบนี้ ทำไมกลุ่มเราไม่เป็นแบบนี้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคน มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราไม่สามารถควบคุมความคิดของทุกคนได้อยู่แล้ว เราแค่อยากบอกว่าไม่ได้จะโฟกัสว่าขาต้องเล็ก เราแค่ต้องการนำเสนอแบบนี้
แสดงว่าบางงานเราก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะขายมายาคติเรื่องความสวยความงาม
ก็ต้องคนละครึ่งกับลูกค้า อันไหนที่เรายอมได้ก็ยอม แต่ก็ไม่ได้ยอมทุกอย่างนะ ถ้าเขาจะจ้างเราก็ต้องเข้าใจงานเรา งานที่เราแนะนำไปแล้วลูกค้าไม่เชื่อ พอผลลัพธ์ออกมาไม่ดีก็มี แต่ชุดความคิดของเราคือเริ่มต้นจากความชอบ จากรสนิยม แต่เรื่องที่คนจะไปทำตามไหมก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ซึ่งในมุมหนึ่งก็ไม่ได้ปฏิเสธว่ามันส่งอิทธิพลต่อความคิดเขาได้ เรารู้สึกว่ามันเป็นการ inspired คนมากกว่า inspired ให้คนไปเที่ยว inspired ให้คนถ่ายรูป มีบางงานที่ห้างสรรพสินค้าจ้างเราให้เอานางแบบไปถ่ายรูปเล่น เขาแค่อยากให้คนไปอีเวนต์ ไปเดินถ่ายรูปเล่นที่ห้างของเขา งานเราก็เหมือน inspired ให้คนอยากไปเดิน ซึ่งมันต้องใช้พลังงานมหาศาลมากเลยนะในการทำงาน เราต้องคิดสร้างสรรค์ ต้องแตกต่าง ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกโตขึ้น
ภาพลักษณ์ผู้หญิงสวยในอุดมคติของคุณเป็นอย่างไร
อย่างที่บอกว่าเราชอบทรงหน้าเอเชีย เพราะรู้สึกว่าใกล้ตัว ไม่ได้หลุดออกจากโซนเรามาก มาจากสัญชาติเดียวกัน รู้สึกว่าบางคนหน้าแบนก็ดูมีเสน่ห์นะ เอาง่ายๆ รู้สึกว่าชอบผู้หญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูดแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่น
จริงๆ เราชอบถ่ายผู้หญิงหน้านิ่งๆ แต่ก็ยังสดใสอยู่ คือพอนิ่งแล้วรู้สึกว่าดึงดูด นัยน์ตาสามารถหยุดคนที่มองเห็นได้ดี มันดึงอารมณ์ เป็นใบหน้าเริ่มต้นของอารมณ์ทุกอย่าง หรือภาพที่อยากให้เขายิ้ม เราจะไม่ชอบสั่งให้ยิ้ม เราจะมองเขาก่อน ไม่ใช่มาถึงแล้วสั่งให้ยิ้มแล้วถ่ายเลย แต่เราจะพูดคุย สังเกตพฤติกรรม ศึกษาใบหน้าของเขาก่อนว่าเวลาเขายิ้มจริงๆ แล้วเป็นยังไง ไม่ใช่ว่ามี comfort zone ของตัวเองว่าต้องยิ้มแบบนี้ มุมนี้ การสั่งให้เขายิ้มกับเล่นมุกแล้วเขายิ้มมันจะไม่เหมือนกัน เรารู้สึกว่าถ้าอยากให้คนดูภาพแล้วยิ้มตาม หรือรู้สึกบวก ก็ต้องเป็นการยิ้มแบบจริงๆ ก่อน อันนี้ซีเรียสมาก ถ้ายิ้มปลอมนี่คือจับได้เลย (หัวเราะ)
เพราะนิยามความสวย ความน่ารักในแบบเราคือความเป็นธรรมชาติ มีเอกลักษณ์ของตัวเอง มีความไม่หลุดออกจากตัวเอง บางคนเชื่อว่าหน้าฟรุ้งฟริ้งจะต้องมีคนกดไลก์ แต่คนที่เราเลือกมาถ่ายไม่มีแบบนั้นเลย เขาจะหลุดออกจากความเชื่อแบบนั้น เขาจะมีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง
เคยกังวลว่าภาพถ่ายของเราจะสร้างความหมายที่เกินจริงกับผู้หญิงในสังคมไหม
เราว่าไม่ เพราะส่วนใหญ่คนที่เราเอามาถ่ายคือคนธรรมดา เขาคือคนที่มีคาแร็กเตอร์ บางคนดั้งไม่ได้โด่งนะ แต่เขาสามารถดึงเสน่ห์ ดึงเอกลักษณ์ของตัวเองออกมาให้คนจดจำได้ในงานภาพถ่ายหรือการแสดง ส่วนใหญ่นางแบบของเราจะไม่ได้เป็นผู้หญิงที่สวยสากล มันยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า คนที่ไม่ได้มองว่าตัวเองเพอร์เฟ็กต์หรือรู้สึกว่าไม่ได้หุ่นดี ตัวเล็ก ก็เป็นนางแบบได้ สมมติถ้ามีผู้หญิงมาดู อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้เขากลับไปมองตัวเองว่า เออ เราก็สูงเท่าคนนี้นะ เราก็ไม่ได้แย่นะ เหมือนดึงความเป็นตัวตนของตัวเองออกมาให้เจอมากกว่า
ในอนาคต ภาพของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปไหม
คิดว่าเปลี่ยน เพราะเราไม่ชอบอยู่กับที่ เราชอบเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลง ชอบกลับไปดูรูปเก่าๆ ที่เคยถ่าย เวลาเห็นแล้วมีความสุข เหมือนทำให้เราย้อนกลับไปคิดว่าตอนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ เราแวดล้อมไปด้วยอะไร ทำไมงานเราถึงออกมาเป็นแบบนั้น ก็ไม่ได้รู้สึกอาย เสียใจ หรืออะไรเลยนะ เพราะตอนนั้นเราก็ทำดีที่สุดแล้ว พอมองกลับไปก็รู้สึกว่าเราให้พลังกับตรงนั้นเต็มที่แล้ว เหมือนให้เรากลับไปถ่ายรูปรับปริญญาตอนนี้ก็ไม่สวยเท่าตอนนั้น เพราะพลังมันไม่เท่าเดิม ส่วนในอนาคตเราคิดว่างานมันก็คงเป็นตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
อาจจะไม่ใช่ภาพถ่ายของเด็กสาวแล้วหรือเปล่า
มันก็โตไปตามเรานะ สองสามปีก่อนเด็กที่เราเอามาถ่ายก็เด็กมาก ตอนนี้ก็โตขึ้น สมมติในอีกสิบปีข้างหน้า เราอาจจะไม่ถ่ายเด็กแล้วก็ได้ อาจจะถ่ายคนที่ใกล้เคียงกับเรา แต่ว่าเป็นหมวยแบบโตขึ้นมาหน่อย คือโตไปด้วยกันน่ะ บางทีก็เครียดนะ เพราะงานเราโตขึ้น แต่นางแบบหน้าโตตามไม่ทัน (หัวเราะ) แต่งานเราก็ถือว่าก้าวกระโดดพอสมควร เพราะเราทำงานถี่มาก เราชอบทดลอง อย่างปีหน้าก็มีแพลนจะถ่ายผู้ชาย คือยังอยากถ่ายผู้หญิงเหมือนเดิมแหละ แต่รู้สึกว่าถ่ายภาพผู้ชายแล้วหัวใจเต้นแรงกว่า (หัวเราะ) มันก็คือการทดลองไปเรื่อยๆ
“
ผู้หญิงทุกคนมีเสน่ห์ในตัวเอง เพียงแต่คุณต้องเชื่อแบบนั้นก่อน
”
ความสุขในการถ่ายภาพของมานีมีใจคืออะไร
เรายังจำความรู้สึกหนึ่งได้คือ ตอนที่ถ่ายรูปเพื่อนแล้วเอาเข้าโปรแกรมโฟโต้ช็อปในห้องคอม พอเขาเห็นเขาก็แบบ ว้าว เขาเห็นรูปตัวเองแล้วแฮปปี้ เวลาเราถ่ายรูปให้ใคร เราชอบความรู้สึกที่เขาดีใจนะ มันทำให้เขามองเห็นคุณค่าในตัวเองแบบ เฮ้ย เราก็สวยเหมือนกันนะ ในมุมมองของเราเนี่ย (หัวเราะ)
ก่อนหน้านี้ได้ไปถ่ายงานที่ญี่ปุ่น มีลูกค้าคนหนึ่งที่ไม่ชอบภาพโคลสอัพของตัวเองเลย ไม่อยากถ่ายตัวเองใกล้ๆ เพราะคิดว่าตัวเองไม่สวย แต่เราสามารถถ่ายให้เขาเชื่อได้ว่า เฮ้ย คุณสวยนะ แค่คุณต้องมั่นใจในตัวเอง เหมือนให้เขาเห็นคุณค่าในตัวเอง แล้วสุดท้ายเขาชอบภาพของตัวเขาเองที่ออกมามากๆ ซึ่งมันทำให้เราเชื่อเลยว่า ผู้หญิงทุกคนมีเสน่ห์ในตัวเอง เพียงแต่คุณต้องเชื่อแบบนั้นก่อน
ติดตามผลงานของมานีมีใจ ได้ที่ Facebook: Maneemejai Photographer และ Instagram: @maneemejai