น้อยคนนักที่จะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของ พิง ลำพระเพลิง เขาคือหนึ่งในนักเขียนบทมือฉมังของวงการ ที่มีงานต่อเนื่องมามากกว่า 20 ปี เขาเป็นนักแสดง ออกพ็อกเกตบุ๊ก เป็นนักเดี่ยวไมโครโฟน เป็นนักแสดงข้างถนน และเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ แม้ในชีวิตจะมีบทบาทหลายอย่าง แต่สิ่งที่เขารักที่สุดคือการเขียนบท
ในปีนี้เขากำลังจะมีภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่ชื่อ The Pool นรก 6 เมตร ซึ่งจะเข้าฉายในวันที่ 27 กันยายน 2561 อันที่จริงเขาได้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้เสร็จตั้งแต่ 12 ปีก่อนแล้ว ในช่วงที่กำลังทำภาพยนตร์เรื่องแรกอย่าง โคตรรักเอ็งเลย น่าสนใจว่าในยุคที่คนบอกว่าหนังไทยซบเซาและเปลี่ยนไปพร้อมเทคโนโลยีกับคนรุ่นใหม่ เขาจะมีมุมมองหรือการปรับตัวอย่างไร ในฐานะคนทำงานสร้างสรรค์ที่ต้องแข่งกับความคิดใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
ไม่ค่อยเห็นข่าวคราวของคุณทางสื่อมาพักใหญ่ เป็นเพราะอะไร
ชีวิตผมส่วนใหญ่ตอนนี้ก็จะทำงานอยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะเรื่องการเขียนบทเป็นส่วนมาก ถ้าเห็นตารางวันเวลาที่เขียนอยู่เต็มข้างฝาห้องนี้ก็จะรู้ว่ามีแต่งานเขียนบททั้งนั้นเลย ส่วนใหญ่ก็เป็นบทละคร ผมว่าผมน่าจะเป็นมือเขียนบทหนึ่งในสิบของวงการเลยนะ เพราะงานเขียนบทของผมมีตลอด แต่ว่าช่วงนี้หนังกำลังจะเข้า เลยมีเรื่องที่ต้องโปรโมตหนังเยอะหน่อย ชีวิตผมก็เขียนบทมายี่สิบปีแล้วนะ แต่ถ้าเป็นฤดูที่อยากทำหนัง ก็จะเขียนบทไปเสนอเขา ได้เงินมาก็ทำ ถ้าไม่ได้เงินก็กลับมาเขียนบทละครต่อไป
จริงๆ ชีวิตแทบจะไม่ค่อยว่างเลย แต่ถึงว่างหรือไม่ว่าง ผมก็มีชีวิตประมาณนี้แหละ เขียนบท เล่นตุ๊กตาอยู่บ้าน ผมอยู่บ้านฟูลไทม์มาก ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เช้ามาก็อยู่ในห้องทำงาน นั่งเขียนบทสัก 3 แผ่น 5 แผ่น ถ้าเบื่อๆ หรือคิดไม่ออกก็เล่นตุ๊กตา เปิดไฟ เปลี่ยนอาวุธ ที่นี่เหมือนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผม สบายใจเวลาอยู่ที่นี่ ส่วนหนึ่งก็หาเลี้ยงชีวิตด้วย แล้วพอไม่ได้ไปไหนก็ทำอย่างที่อยากทำคือซื้อหุ่นสะสม ไม่ค่อยมีเงินเก็บ พอได้เงินมาอยากได้ก็ซื้อ โชคดีแฟนเข้าใจ เขายอมให้ซื้อ (หัวเราะ)
แล้วชีวิตนอกเหนือจากการเขียนบทล่ะ
คือถ้าเป็นช่วงทำหนังก็จะไม่ค่อยรับงานเขียนบท เราจะรู้ว่าฤดูนี้ต้องออกกองถ่ายนะ ก็จะพยายามเคลียร์บทละครโทรทัศน์ที่รับเขาไว้ให้หมดเสียก่อน แต่ก็จะมีแลบๆ มาบ้างนิดหน่อยตอนสองตอน อย่างที่บอกส่วนมากชีวิตผมจะเป็นเรื่องงานมากกว่า แต่ถ้านอกจากงานเขียนบท หรืองานทำหนัง ก็จะมีเล่นข้างถนน เล่นละครใบ้ เล่นตลก โยนของ ทำนู่นทำนี่ เป็นงานอีเวนต์ไป แล้วแต่ใครจะจ้าง หรือถ้ามีเหตุการณ์อะไรที่หนักๆ เกิดขึ้นในสังคม เราก็จะไปเล่นหาเงินช่วยเขา เช่น งานอุทกภัย หรือตอนที่ตูน บอดี้สแลม วิ่งช่วยโรงพยาบาล เราก็แอบไปเล่นมา พอเล่นแล้วก็เอาเงินที่ได้ไปช่วยเขา
คุณทำหลายอย่าง ทั้งเขียนบท เล่นหนัง ทำหนัง เขียนหนังสือ แต่สิ่งที่คุณรู้สึกว่าใช่ที่สุดคือการเขียนบทใช่ไหม
ใช่ครับ มันเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ค่อนข้างดีทีเดียว มันพิสูจน์แล้วจากการทำต่อเนื่องมา 24 ปี ผมเริ่มต้นจากการเขียนไดอารี่ แล้วก็เขียนเรื่องสั้นลงหนังสือ ได้รวมเล่มเป็นพ็อกเกตบุ๊ก แล้วก็มีเจ้าของค่ายละครมาอ่านเจอก็จ้างมาเขียนบทละคร แล้วก็ได้กำกับละคร กำกับหนัง
จริงๆ หลายคนอาจจะเข้าใจว่าผมหายจากการทำหนังไปนาน แต่ผมไม่ได้หายไปไหน ผมทำหนังเรื่องแรก โคตรรักเอ็งเลย เมื่อ 12 ปี ที่แล้ว ผ่านมาถึงตอนนี้ผมมีหนัง 6 เรื่อง ก็เฉลี่ย 2 ปี ต่อเรื่อง ก็ไม่น่าเรียกว่าหายไปไหน เพียงแต่ว่าบางเรื่องก็อาจไม่ดังบ้าง เงียบบ้าง หรือไปดังต่างประเทศบ้าง
แล้วเรื่องล่าสุด The Pool นรก 6 เมตร มีที่มาอย่างไร
จริงๆ แล้ว ผมเขียนบทเรื่องนี้เสร็จตั้งแต่เมื่อ 12 ปี ที่แล้ว ตอนทำหนังเรื่อง โคตรรักเอ็งเลย ก็จะมีฉากที่ตัวละครขับรถตกเขาลงไปในน้ำ ก็กะว่าอยากจะไปถ่ายเจาะในรถที่มีน้ำท่วมรถ เลยไปดูโลเกชันสระว่ายน้ำใหญ่ๆ ก็มาเจอสระนี้แถวศาลายา เป็นสระกระโดดลึก 6 เมตร ไม่มีบันได เรามาเห็นโลเกชันแล้วเรารู้สึกว่า แม่ง ถ้ากูตกลงไปไม่มีใครรู้นี่กูขึ้นไม่ได้เลยนะ มันก็เกิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา เราเลยเขียนบทเก็บไว้ ผ่านมาสิบปี เพิ่งจะมีคนให้เงินมาทำ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ใช้เวลานานขนาดนั้น (หัวเราะ)
คือผมเขียนเสร็จตั้งแต่ตอนนั้น แต่ว่าพอเวลาผ่านมาในยุคนี้ ตอนเอาบทไปเสนอก็จะมีเรื่องของช่วงเวลาที่เราต้องเพิ่มเติมในบทเข้ามาด้วย เช่น เรื่องของโทรศัพท์มือถือ แต่ว่าแก่นของเรื่องก็ยังเหมือนเดิม มันเป็นเรื่องของคนที่มีชีวิตตกต่ำ แล้วก็เชื่อในความรักเลยดึงตัวเองกลับขึ้นมาได้จากจุดตกต่ำนั้น
ในช่วงวัยนี้ ในการทำงานเขียนบทเยอะขนาดนี้ คุณเอาวัตถุดิบมาจากไหน
ส่วนมากก็จากหนังสือที่อ่าน จากบทความ จากโลก จากชีวิต จากเฟซบุ๊ก โชคดีที่ผมเป็นคนตามยุคอยู่ ก็เลยเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นำมาใช้ได้ แต่ผมคิดว่าถึงแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่หัวใจหลักของตัวละครมันก็ดวงเดิม มีตัวละครที่ใฝ่ดี ตัวละครที่ใฝ่เลว ตัวละครที่ขี้อิจฉา ตัวละครที่ใจร้าย ใจดี เพียงแต่ว่าสิ่งที่มาเคลือบมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามยุคสมัย แต่แก่นมันก็คือความต้องการของมนุษย์แหละ
ที่คุณบอกว่ายังตามยุคอยู่ คือตามขนาดไหน
ผมเป็นคนกลัวตกยุคเหมือนกันนะ เพราะว่าด้วยอาชีพที่ทำ งานที่เราทำ มันควรต้องตามยุคตามสมัย เอาเข้าจริงแล้ว คนที่เสพคนที่ซื้องานกลุ่มใหญ่คือคนที่อายุไม่เกิน 25 หรือ 35 เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ตามยุคกับคนกลุ่มนี้ เราก็จะกลายเป็นคนตกยุค แต่คนตกยุคไม่ใช่สิ่งผิดนะ ถ้าเราไม่ได้ทำอาชีพที่เกี่ยวกับการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ แต่ทีนี้ถ้าเราต้องการสื่อสารกับเขา เราก็ตกยุคไม่ได้
คุณมีวิธีสังเกตชีวิตคนยุคปัจจุบันอย่างไร
ผมจะชอบมองเขาแล้วคิดตามว่า ‘อ๋อ เขาเป็นอย่างนี้’ มากกว่า จะไม่ไปตั้งข้อสังเกต หรือตั้งคำถามว่า ‘ทำไมเขาเป็นอย่างนี้นะ ทำไมเขาไม่เป็นอย่างนี้นะ’ จะไม่คิดอย่างนั้น จะคิดแค่ว่า ‘อ๋อ เขาเป็นแบบนี้เพราะเป็นแบบนี้แหละ’ หรือ ‘อ๋อ เขาเป็นแบบนี้เพราะยุคสมัยแหละ’
คือเป็นผู้สังเกตการณ์มากกว่าเป็นผู้ตั้งคำถาม สังเกตการณ์แล้วก็มาผูกเป็นเรื่อง ผมเป็นคนที่ไม่ตั้งคำถาม แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่ตั้งคำถามผิดนะ นั่นก็เป็นวิธีมองโลกหรือมองชีวิตในแบบของเขา เพียงแค่ส่วนตัวผมเป็นคนที่ชอบมองอะไรแล้วยอมรับกับมันมากกว่า คือเห็นอย่างที่มันเป็น แล้วก็ยอมรับอย่างที่มันเป็น จะไม่มาตั้งคำถามแล้วหาคำตอบว่าเพราะอะไร ก็เขาเป็นแบบนั้นมันก็เป็นแบบนั้น ก็จบครับสำหรับผม
การปรับตัวเข้ากับยุคของคุณมีปัญหาบ้างไหม
มันเรียกปัญหาหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่เรารู้สึกว่าเราไม่มีปัญหา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าร่างกายเราแข็งแรง ถ้าใครติดตามเฟซบุ๊กของผมจะเห็นว่าผมมีความสุขมาก แล้วทำให้เรากระปรี้กระเปร่า อยากจะทำนู่นทำนี่ อยากจะสื่อสาร อยากจะพบปะผู้คน ในทุกๆ ที่ที่ผมไป ถ้าขีดวงจากตัวผมเป็นจุดศูนย์กลางห่างออกไปร้อยเมตร ผมจะเป็นคนแก่ที่สุดเสียเป็นส่วนมากนะ ผมจะไม่ค่อยอยู่ท่ามกลางคนที่อายุมากกว่า เพราะเราจะสื่อสารกับคนที่อายุน้อยกว่าเป็นส่วนมาก
แต่ถ้าถามข้อเสีย ก็อาจจะพูดเหมือนคนอื่นๆ ว่าเหนื่อยมั้งนะ แต่เอาเข้าจริงผมไม่เรียกว่าเหนื่อยหรอก ผมเรียกว่าสนุก เพื่อนผมก็เคยถามว่าผมไม่เหนื่อยบ้างเหรอ ผมก็บอกไปว่าไม่ ผมสนุก สนุกไม่น่าเป็นข้อเสียนะ จริงๆ แล้วผมเรียกว่าไม่มีข้อเสียเลยน่าจะตรงกว่า (หัวเราะ)
แล้วคุณเป็นผู้กำกับหนังประเภทไหน จริงจัง เข้มงวด หรือสบายๆ
ผมเป็นคนไม่เข้มงวด แต่ว่าจริงจังนะ คือบทนี่ผมจะไม่ถือเลย ผมรู้สึกว่างานบทมันก็จบตรงส่วนของบท พอมาอยู่หน้าเซตบางทีเราก็ต้องคอยฟังว่าโลเกชันกระทบอะไรกับเราไหม ดูว่านักแสดงกระทบอะไรกับเราไหม แล้วก็ปรับเปลี่ยนไปตามหน้างาน ผมว่ามันจะได้เนื้อที่เป็นหนังมากกว่า บทมีไว้เพื่อเป็นแค่เข็มทิศเท่านั้น มันไม่ถึงขนาดเป็นแผนที่ที่ต้องเดินตามเป๊ะๆ มันเป็นแค่เข็มทิศให้เรารู้ว่าฉากนี้เราจะไปทิศเหนือนะ ก็ไปทางทิศเหนือ แต่จะไปอีท่าไหนเนี่ย ก็ฟังโลเกชันพูดกับเรา ฟังตัวละครพูดกับเรา ฟังเสื้อผ้าพูดกับเรา หมายถึงว่าสิ่งที่อยู่ในหนังนั่นแหละ
ผมจะไม่ค่อยไปขืนหนัง อย่างบางซีนตั้งใจทำให้ตลก แต่นักแสดงเล่นมาแล้วเศร้า แต่ปรากฏว่าเศร้าแล้วดีกว่า ก็ต้องปล่อยให้เศร้าไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูเรื่องความต่อเนื่องของหนังด้วย
ในยุคที่คนบอกว่าวงการหนังไทยซบเซา คุณคาดหวังอะไรจากหนังเรื่องนี้บ้าง
ผมว่าผมโชคดีมากที่ได้ทำหนังเรื่องนี้ในยุคนี้ ในช่วงที่เศรษฐกิจหนังไทยซวนเซแบบนี้ ถามว่าคาดหวังอะไร ผมคาดหวังว่าคนดูจะชอบมัน ผมไม่กล้าคาดหวังเรื่องรายได้
การได้ทำหนังแบบนี้ผมอยากใช้คำว่ามหัศจรรย์มาก คือเราเขียนเราไม่ต้องหมดเงินไง แต่ว่าคนที่ลงทุนกับเราเขาต้องควักเนื้อออกมา ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าจะได้คืนหรือเปล่า ซึ่งเรารู้สึกว่าโชคดีจังเลย มีคนเอาเงินมาให้เราทำความฝันเป็นภาพ ถือว่าโชคดีมาก ก็หวังว่าเขาจะไม่ขาดทุน หวังว่าเขาจะได้กำไรกลับไปเยอะๆ หวังว่าคนดูจะสนุก ในส่วนที่เราควบคุมได้ เราก็เต็มที่แล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องของโลก
The Pool นรก 6 เมตร
เรื่องย่อ: “เดย์” ( เคน ธีรเดช ) ฝ่ายอาร์ตกองถ่ายโฆษณา ถูกทิ้งให้อยู่โยงเคลียร์สระกระโดดน้ำร้างแต่เพียงลำพังหลังเลิกกอง ด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักมาทั้งคืน เดย์เผลอหลับบนแพยาง โดยไม่ทันตระหนักว่าเพื่อนร่วมงานคนสุดท้ายที่เพิ่งกลับไป ได้เปิดระบบปล่อยน้ำในสระออกไปแล้ว และเมื่อเดย์รู้สึกตัวอีกที เขาพบว่าระดับน้ำได้ลดลงจนถึงระดับที่ไม่สามารถปีนขึ้นจากสระได้ เดย์พยายามตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไร้เสียงตอบรับใดๆ
“ก้อย” ( เกรซ รัชย์ณมนทร์ ) แฟนสาวของเดย์ ตั้งใจมาเซอร์ไพรส์เขาที่สระ ด้วยการโดดลงมาหาจากแท่นกระโดด โดยไม่ทันได้สังเกตระดับน้ำ ซึ่งเสียงตะโกนห้ามของเดย์ ทำให้ก้อยเสียจังหวะ พลาดตกลงไปในสระจนได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ในขณะที่ทั้งคู่กำลังอับจนหนทาง และเฝ้าปลอบใจตัวเองว่า “คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว” จระเข้ตัวเขื่อง ที่มาจากไหน ไม่มีใครรู้ กลับกำลังคืบคลานเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้าๆ
นอกจากการเอาชีวิตรอด จากสระลึก 6 เมตร ที่ไม่มีน้ำ ไม่มีบันได และไม่มีทางออกแล้ว บทเริ่มต้นของ “มัจจุราชเงียบ” ที่แท้จริงก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น