“ฟ้าอาจจะพราก ให้เราจากกัน แต่ไม่มีวันพรากเธอนั้นจากใจฉันได้
ฉันจะอยู่เพื่อรักเธอตลอดไป แม้สิ้นลมหายใจ รักเธอนิรันดร์”
บทเพลงในความทรงจำครั้งที่เรายังเป็นเด็กผุดขึ้นในหัว จำไม่ได้แล้วว่าเคยได้ยินครั้งแรกตอนอายุกี่ปี แต่ภาพที่กลับเข้ามาในความทรงจำคือเมื่อประมาณชั้นประถม ซึ่งเรากำลังทำการบ้านในขณะที่แม่กำลังรีดผ้าพร้อมกับเปิดแผ่นวีซีดีเพลงนี้เคล้าคลอไปด้วย ซึ่งเราในตอนนั้นไม่ได้รับรู้หรอกว่าศิลปินที่ร้องเพลงนี้คือใคร หรือมีหน้าตาเป็นอย่างไร รู้แค่ว่าเขาชื่อ ‘ปิงปอง ศิรศักดิ์’ ตามที่แม่เรียก
ไม่ใช่แค่เพลงนี้เท่านั้นที่เราจำเนื้อเพลงได้ดี แต่ยังมีอีกหลายเพลงที่พอได้ยินก็ร้องตามได้โดยไม่รู้ตัว แต่ก็นั่นแหละ… เราไม่เคยรู้เลยว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไร จนกระทั่งได้เห็นเขาในรายการหนึ่งของช่องยูทูบ ‘เทพลีลา’ ถึงได้รู้จักหน้าค่าตาของศิลปินที่ชื่อว่า ‘ปิงปอง’ – ศิรศักดิ์ อิทธิพลพาณิชย์ เจ้าพ่อเพลงละครในยุค 90s ที่เชื่อว่าต่อให้เป็นเด็กรุ่นใหม่วัยอย่างเราก็คงต้องเคยได้ยินเพลงของเขามาบ้างแน่ๆ
ทันทีที่ถึงสตูดิโอ ‘Pop มั้ย’ ซึ่งเป็นจุดหมายของเราในครั้งนี้ ไม่นานนักชายในเสื้อสีเหลืองมัสตาร์ดที่มีคาแรกเตอร์คล้ายโนบิตะ (แต่ใส่เสื้อของไจแอนท์) ราวกับว่าหลุดออกมาจากการ์ตูนเรื่อง โดราเอมอน ก็ออกมาต้อนรับด้วยท่าทางอารมณ์ดี เขากล่าวทักทายพร้อมส่งรอยยิ้มแสนหวานให้เรา แล้วชวนคุยอย่างเป็นกันเองตลอดการเดินขึ้นบันได 4 ชั้นเพื่อไปยังห้องทำงาน โดยที่เขาช่างไม่รู้อะไรบางเลยว่าทำเอาเราแอบหอบเล็กน้อยถึงปานกลาง
1
เข้าสู่วงการยูทูเบอร์กับฉายาใหม่ ‘ปิงปอง Pop มั้ย’
หลังจากพักหายใจหายคอจากความหอบเหนื่อยกันสักครู่ จากนั้นเราก็ชวนเจ้าพ่อเพลงละครคุยถึงที่มาที่ไปของการผันตัวเองมาเป็นยูทูเบอร์ เขาเล่าให้ฟังว่าจุดเริ่มต้นเกิดจากการได้กลับไปเจอเพื่อนเก่าที่งานเลี้ยงรุ่นเมื่อสามสี่ปีที่แล้ว เมื่อ ‘เหว่ง’ – ภูศณัฎฐ์ การุณวงศ์วัฒน์ หรือรู้จักกันดีในชื่อ แปะเหว่ง เทพลีลา หรือ พ่อเหว่ง the little monster เพื่อนสนิทตั้งแต่ชั้นประถมมาร่วมอัพเดตชีวิตของกันและกัน เพื่อนเก่าคนนี้ก็ได้ชวนให้เขาเข้าร่วมทีมเทพลีลา แต่ด้วยภาระหน้าที่ หรืออาจเป็นโชคชะตากำหนด จึงทำให้เขายังไม่มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเทพลีลาในเวลานั้น แต่ในที่สุดก็จับพลัดจับผลูมาร่วมรายการกับเหว่งจนได้
“ประมาณปีที่แล้วเหว่งมีรายการหนึ่ง ชื่อ ‘ผมเหว่ง ไม่ใช่แหว่ง’ เขาได้ชวนผมมาถ่ายคลิป พอคุยไปคุยมาเขาก็บอกว่ามีเพลงที่เคยแต่งอยู่เพลงหนึ่ง แล้วเขาอยากทำให้เป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งตอนแรกผมกะจะทำแค่โปรดักชันเล็กๆ แต่ปรากฏว่าทำไปทำมามันมือเสียเองเลยกลายเป็นทำเต็มรูปแบบ แล้ววันที่อัดเพลงเหว่งก็ชวนมาไลฟ์ในรายการ วงเล่า EP 1 ที่ออฟฟิศ
“เราไลฟ์กันเฮฮา ไม่ได้คิดอะไร แต่หลังจากนั้นเหว่งก็ชวนให้กลับมาที่ออฟฟิศอีกครั้ง เราเลยคุยกันว่าอยากทำจริงจังนะ คือทีมของเขามีโมเดลธุรกิจบางอย่างที่เกี่ยวกับอินฟลูเอนเซอร์ของฝั่งดนตรี ผมก็เลยคุยกับเหว่งว่า ถ้าอย่างนั้นผมขอติดโปรฯ หุ้นส่วนสามเดือนก่อน หลังจากนั้นก็มานั่งอยู่กับเขา ทำอะไรไปเรื่อยจนครบสามเดือน เลยตัดสินใจร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน แล้วก็เปิดเพจ ‘Pop มั้ย’ ขึ้นมา”
ปิงปองเล่าย้อนกลับในช่วงที่ชีวิตของเขาเข้าสู่ช่วง Midlife Crisis ดั่งคำที่ใครๆ ก็พูดกันว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน เมื่อเส้นทางชีวิตเดิมไปต่อไม่ได้ หรือสิ่งที่ทำอยู่มาถึงจุดอิ่มตัว เส้นทางเดิมในชีวิตไม่มีภูเขาให้เขาได้ปีนอีกต่อไป จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงอีกหลายๆ ครั้งในชีวิต จนเขาได้กำหนดเป้าหมายใหม่ให้กับตัวเอง
“ผมไม่ได้มีเป้าหมายว่าต้องประสบความสำเร็จแล้ว ในตอนนี้เป้าหมายของผมคือมีความสุขในแต่ละวันให้ได้ ถ้ามีความทุกข์ก็พยายามมีให้น้อยที่สุด”
แต่การเปลี่ยนสายอาชีพไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะกับการเปลี่ยนไปทำในสิ่งที่เราไม่ถนัด และไม่เคยทำเลยอย่างการเป็นยูทูเบอร์ยิ่งเป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ห่างไกลตัวเองนักเพราะคอนเทนต์ในช่อง Pop มั้ย ก็เกี่ยวกับดนตรีอยู่ดี บวกกับการที่เป็นคนชอบท้าทาย ชอบปีนข้ามภูเขาลูกใหม่ๆ ในชีวิต ดังนั้น อาชีพใหม่ในฐานะยูทูเบอร์นี้จึงเป็นความท้าทายที่สนุกสำหรับพี่ปิงปองในตอนนี้
2
มองความรักผ่านสายตาเจ้าพ่อเพลงละคร
“บทเพลงที่เก็บเอาดาวทุกดวง เขียนเป็นท่วงทำนองขับขาน ถักทอและเรียงร้อยคำ จากหัวใจ
บทเพลง ที่เป็นดั่งคำสัญญา ว่าจะอยู่ข้างเธอตลอดไป ให้เพลงผูกพันสองใจ นานเท่านาน”
ถ้ามาคุยกับ ปิงปอง ศิรศักดิ์ ทั้งที จะคุยแค่ในมุมชีวิตอย่างเดียวก็เหมือนไม่ได้มาคุยกับเจ้าพ่อเพลงละคร และใจของเราก็อยากรู้ว่าในฐานะคนที่ร้องเพลงรักมาตลอดหลายสิปปี เขามีความคิดเห็น หรือมีมุมมองต่อรูปแบบความรักแต่ละยุคสมัยอย่างไรบ้าง
“ผมมองว่าความรักคือวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงน้อยมากนะ อย่างความรักแบบหนุ่มสาว ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็จะมีความคล้ายกัน คือเป็นความรักแบบ puppy love ที่มีความหวานโรแมนติก แต่ก็ฉุนเฉียว หุนหันพลันแล่น พอโตขึ้นมาก็จะเริ่มหนักแน่น มีเหตุผลขึ้น ผมรู้สึกว่าคนในแต่ละวัยจะเจอแก่นของความรักในรูปแบบที่เหมือนกันหมดเลย แต่จะแตกต่างกันที่รายละเอียด
“อย่างเรื่องภาษาที่ใช้ วิธีการพูดคุย วิธีการที่จะติดต่อหากันนี่เองคือสิ่งที่เปลี่ยนไป คนรุ่นผมก็จะใช้โทรศัพท์กับเพจเจอร์ในการสื่อสารกัน ถ้าคนรุ่นใหม่ขึ้นมาหน่อยก็ใช้ MSN จนทุกวันนี้เราเปลี่ยนมาติดต่อกันผ่านไลน์ หรือปัดทินเดอร์ แต่ว่าสุดท้ายแก่นของความรักก็ยังเหมือนกันอยู่คือหวานฉ่ำ แต่พอโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทุกคนก็จะคิดเยอะกับเรื่องของความรักเหมือนกันทุกคน”
เขาเสริมต่อว่าในแง่ของการเป็นศิลปินก็โตตามวัยที่มากขึ้นด้วย แม้ว่าจะเป็นเพลงเดิมที่เคยร้อง แต่ในวัยที่โตขึ้น ผ่านร้อนผ่านหนาว มีประสบการณ์ และบทเรียนชีวิตที่เยอะขึ้นทำให้อารมณ์กับวิธีที่ในการร้องเพลงเปลี่ยนไปด้วย จากช่วงวัยรุ่นเคยร้องในโทนที่สีสดใส ในวันนี้กลับกลายเป็นเพลงโทนสีตุ่นๆ จากการตกตะกอนทางความคิดมาแล้ว
“สมมติว่าตอนวัยรุ่นเราเวลาร้องเพลง อารมณ์และคำที่ใส่ลงไปคือการมองความรักแบบทุ่มเทเพื่อเธอตลอดไป แต่เพื่อเธอตลอดไปในวันนั้น กับเพื่อเธอตลอดไปในวันนี้มันคนละเรื่องกันแล้วนะ เพื่อเธอตลอดไปในวันนั้นเรามองไม่เห็นอนาคต รู้แต่ว่าเรารักเขาจังเลย แต่เพื่อเธอตลอดไปวันนี้เราคิดมาแล้วนะว่ามันคือเพื่อเธอตลอดไปจริงๆ ว่าวันข้างหน้าจะมีอะไรบ้าง ต้องทำอะไรเพื่อเธอบ้าง”
3
ความโรแมนติกไม่ได้หายไปไหน
เราเคยคุยกับเพื่อนว่าสมัยนี้บรรยาการของความโรแมนติกหายไปเยอะมาก ไม่เหมือนสมัยก่อนที่อะไรๆ ก็ช่างดูโรแมนติกไปเสียหมด ดังนั้น เราถือโอกาสนี้ถามเขาว่า ถ้าการเขียนจดหมายถึงคนรักที่ต่อให้ผ่านการรอคอยที่นานแค่ไหน แม้ว่าอาจจะทรมานอยู่บ้าง เป็นหนึ่งในความโรแมนติกที่เคยเกิดขึ้นและหายไป แต่ถ้าเทียบกับตอนนี้ที่ทุกอย่างรวดเร็วไปหมดจนเหมือนว่าจะไม่หลงเหลือความรู้สึกอบอุ่นหัวใจแบบนั้นอีกแล้ว
“ในมุมมองของผม คำว่าโรแมนติกในสมัยนี้มีความหมายที่ต่างออกไปจากสมัยก่อนแค่นั้นจริงๆ คือเมื่อก่อนเราไม่ได้มีโซเชียลมีเดียก็จำเป็นต้องอดทนรออยู่แล้ว แต่สมัยนี้มีโซเชียลมีเดียก็เลยไม่จำเป็นต้องอดทนรอนานขนาดนั้น ซึ่งถามว่าทำให้โรแมนติกน้อยลงไหม ก็ใช่นะ แต่ถ้ามาถามใจตัวเองดูว่าคุณที่เป็นคนปัจจุบัน”
เขาผายมือพร้อมสบตามาที่เราก่อนจะถามว่า “คุณอยากรอคอยนานขนาดนั้นหรือเปล่า ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ได้อยากรอคอยใช่ไหม” แล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง
ใช่ – เราตอบในใจพลางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ต่อให้ชื่นชมความโรแมนติกแบบสมัยก่อนแค่ไหน แต่ถ้าให้คนที่รุ่นราวคราวเดียวกัน หรือเด็กกว่ากลับไปใช้ชีวิตอย่างในยุคนั้น เชื่อว่าเกินครึ่งอาจจะทนอยู่ไม่ได้
“ดังนั้น ผมว่าจะโรแมนติกหรือไม่โรแมนติก เราหาจากอย่างอื่นได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีจดหมายหรือโทรศัพท์แบบหมุนๆ เพราะถ้าชีวิตเราเป็นคนโรแมนติก เราจะอยู่ตรงไหนเราก็โรแมนติกได้
“ความโรแมนติกไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นด้วยวิธีการเดียว แต่ถ้าคนสมัยนี้บอกว่าคนสมัยก่อนเขียนจดหมาย งั้นลองเขียนดูแล้วเอาไปหย่อนตู้ไปรษณีย์ก็ได้ หรือสอดไว้ใต้ประตูห้องเขาก็ได้ ลองคุยกันด้วยตัวหนังสือดูบ้างก็อาจจะสนุกดี หรืออัดคลิปขึ้นยูทูบให้เขา คนสมัยนี้สามารถทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง แล้วแต่เราจะเลือกเลย”
น่าสนใจว่าทำไมคนรุ่นเราซึ่งเกิดในยุคของโซเชียลมีเดียต่างโหยหาถึงคุณค่าบางอย่างจากในอดีต นั่นอาจเป็นเพราะตอนนี้เรามีชีวิตที่รวดเร็วเกินไปก็ได้ โดยเฉพาะคนในเมืองที่แม้จะมีความสะดวกสบายมากกว่าเมื่อก่อน แต่ในแง่ของการดำรงชีวิตที่เต็มไปสิ่งเร้ามากมายที่คอยกระตุ้นความต้องการ และความคาดหวังต่างๆ ย่อมทำให้ใช้ชีวิตลำบากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น ความโรแมนติกที่เนิบช้าในสมัยเก่าอาจเป็นสิ่งที่เข้ามาปลอบประโลมจิตใจที่เต้นรัวให้ผ่อนแรงลงได้
4
ความรักอาจลดลง แต่ที่เพิ่มขึ้นคือความผูกพัน
แล้วสำหรับตัวคุณเองนิยามความรักไว้อย่างไร – เราถาม
“ความรักสำหรับผม ณ วันนี้มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประเดี๋ยวประด๋าว”
เขานิ่งไปสักครู่แล้วหัวเราะเบาๆ ออกมาก่อนจะเล่าว่า เมื่อนานมาแล้วได้ดูวิดีโอของชาวต่างชาติที่ทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการทำงานของสมองในเรื่องความรัก ในวิดีโอนั้นกล่าวว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งสารเคมีในสมองที่ทำให้เรารู้สึกจั๊กจี้หัวใจจะเริ่มลดน้อยลง ทำให้ความหลงใหลได้ปลื้มในความรักจางลงด้วยเช่นเดียวกัน
“ผมเศร้านิดหน่อยนะ เพราะคลิปนั้นทำลายความโรแมนติกในชีวิตทิ้งไปเสียเกลี้ยงเลย” เขาพูดอย่างเซ็งๆ ปนขำ ก่อนจะกล่าวต่อ
“แต่ผมก็มองว่าเรายังมีความสุขต่อไปได้ เพราะว่าสุดท้ายคนเราก็ผูกพันกัน เหมือนกับที่เราผูกพันกับพ่อแม่ ญาติพี่น้อง คือถ้าเราโฟกัสแค่ความรักของคู่รักที่ต้องมีแค่ความโรแมนติก กุ๊กกิ๊กน่ารัก ยังไงสักวันอารมณ์แบบนั้นก็ต้องหมดลงไม่ว่าคู่ไหนก็ตาม ขึ้นอยู่กับว่าจะหมดช้าหรือหมดเร็ว เพราะนั่นเป็นเรื่องของสารเคมีในสมอง แต่หลังจากนั้นคือความผูกพันล้วนๆ
“ดังนั้น ความรักของผมทุกวันนี้คือเรื่องของความผูกพัน และความพร้อมที่จะปรับตัวเข้าหากันไปตลอดชีวิต เพราะคนเราเปลี่ยนไปตลอดเวลา พอผ่านไปอีก 4-5 ปี เรา ณ วันนี้ก็เปลี่ยน ตัวเขาก็เปลี่ยน เราทุกคนล้วนเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แปลว่าการที่จะมีความรักแบบคู่ครองตลอดชีวิตแปลว่าต่างฝ่ายต้องพร้อมที่จะจูนไปด้วยกันตลอดชีวิตแล้ว”
5
ร่วมทุกข์ร่วมสุข หรือมูฟออนเป็นวงกลม
“ไม่ขอให้เป็นเหมือนใคร เพราะมันไม่ใช่เธอ แต่ขอให้เป็นอย่างเธอ ทั้งตัวและหัวใจ
ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ จะดีจะร้าย ถึงแม้จะเป็นอย่างไร ไม่เสียใจที่รักเธอ”
ใครว่าการมีความรักจะอบอวลไปด้วยความสุขตลอดเวลา หากเปรียบกับคำกล่าวที่ว่าถ้าเราได้ทำงานที่รักก็เหมือนกับไม่ได้ทำงาน สำหรับเขานั้นได้เถียงขาดใจด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ไม่จริง” คำถามนี้ทำให้เขาถึงกับวางกีต้าร์ที่กอดไว้มานานลงเพื่ออธิบายถึงมุมมองของตัวเองให้ฟัง
“คนเราทำงานที่ตัวเองรักเพราะยอมรับกับความทุกข์ที่มีเพื่อที่จะได้ทำมันต่างหาก เรายอมทุกข์แทบเป็นแทบตายเพื่อที่จะได้ทำมัน ความรักก็เหมือนกัน ถ้าเรามีคนรักแล้วหวังว่าจะมีแค่ความสุข ผมรู้สึกว่าในอนาคตคู่ของเขาอาจจะเจ๊ง พวกเขาอาจจะไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง เพราะว่าไม่มีทางเลยที่ชีวิตคู่จะมีความสุขตลอดเวลา แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายยอมมีความทุกข์เพื่อที่จะได้รัก ยอมที่จะอดทนหรือแลกอะไรบางอย่างเพื่อที่จะได้มีกัน นี่ต่างหากคือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นความรักที่ยืนยาวและอยู่กันได้ตลอดรอดฝั่งมากกว่า”
คำตอบนี้ทำให้เรานึกถึงคำอวยพรแก่บ่าวสาวในวันแต่งงานที่ว่า “ขอให้ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันไปจนแก่จนเฒ่า ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรนะ” ประโยคนี้สะท้อนความจริงได้ดีมาก เพราะจะเห็นได้จากในคู่รักหลายคู่ที่ต้องเลิกรากันไปเพราะไม่สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะยอมทุกข์ และร่วมแก้ไขทุกข์นั้นด้วยกันได้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นการเลิกลากันไปอาจเป็นสิ่งที่ดีกว่า
แต่พอเลิกกันไปบางคนก็มูฟออนเป็นวงกลมไม่จบไม่สิ้นสักที – เราเอ่ยขึ้น
“ผมเชื่อว่าทุกคนจะต้องมีเรื่องให้มูฟออนเป็นวงกลม แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของความรัก จากเป็นแผลสดก็จะตกสะเก็ด บางคนอาจโชคดีที่แผลหายแล้วมองไม่เห็นอีกเลย บางคนอาจเหลือเป็นรอยแผลเป็น แต่อย่างน้อยคุณก็จะดีขึ้นทุกวันแน่ๆ คุณอาจจะมูฟออนไปเรื่อยๆ แหละ แต่วันหนึ่งมันจะหาย”
หาย – เราคิดในใจว่าต้องตอบแบบนี้แน่นอน
“…มูฟออนเหมือนเดิม” ราวกับจังวะตบมุกในละครซิตคอม คำตอบของพี่ปิงปองทำให้เราหลุดขำออกมานิดนึง ก่อนที่จะฟังเขากล่าวต่อไป
“แต่เราจะไม่รู้สึกทุกข์กับที่เราต้องเดินเป็นวงกลมแล้ว อาจจะแค่มองเห็นว่า อ๋อ วันนี้เดินเป็นวงกลมอีกแล้วนะ แต่ผมเชื่อว่าถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ก็อาจจะมีสักวันหนึ่งที่เราจะได้เห็นคำตอบว่าปมนี้ได้คลี่คลายไปแล้ว ต่อให้จะคลี่คลายเอาตอนใกล้ตาย แต่อย่างน้อยมันก็ยังคลี่คลายนะ ผมเชื่อว่าต้องมีสักวันแหละ”
มูฟออนเป็นวงกลม ได้แต่พูดแล้วเดินวนๆ พอใจกับการซ่อนเขาไว้แบบนี้ เพราะเราไม่ใช่ความสุขของเขาอีกต่อไป
เราคิดถึงชื่อเพลย์ลิสต์รวมเพลงของเจ้าพ่อเพลงรักคนนี้ที่จะกลับไปสร้างขึ้นมาหลังกล่าวอำลากับเขา เพื่อดื่มด่ำกับความโรแมนติกแบบสุขซึ้งปนเศร้าหม่นๆ ในคืนนี้