พลอยไพลิน ตั้งประภาพร

พลอยไพลิน: ในวันที่การเดินทางเป็นเรื่องต้องห้าม ความทุกข์ช่วงโควิด และการเล่นหุ้น

ว่ากันตามจริง ปีนี้ควรจะเป็นปีทองของ ‘พลอย’ – พลอยไพลิน ตั้งประภาพร หลังจากเมื่อปีก่อนเธอกลายเป็นหญิงสาวผู้น่าจับตา ทั้งบทบาทการเป็นนักแสดงในละคร และภาพยนตร์ การถ่ายแบบ รวมถึงภาพจำของการเป็นนักเดินทาง จากการออกหนังสือ ‘วิชาเดินทางหลังเลิกเรียน’ เป็นเจ้าของเพจ พลอยเรียนจบแล้วทําไรต่อ? ที่มีคนติดตามนับแสน และคอนเทนต์ท่องเที่ยวสนุกๆ ที่เธอขยันทำออกมาให้แฟนๆ ได้ติดตาม ยังไม่นับแพลนส่วนตัวของเธอ ทั้งการเรียนต่อ และแพลนเดินทางที่วางไว้

        แต่เช่นเดียวกับทุกคน แพลนทุกอย่างต้องชะงัก เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ทั้งสังคมต้องเป็นอัมพาต การเดินทางในประเทศเป็นเรื่องยากลำบาก และการเดินทางออกนอกประเทศ ถือเป็นสิ่งต้องห้ามที่ทุกคนเห็นร่วมกัน มาตรการต่างๆ ทำให้ทุกคนต้องกักตัวอยู่บ้าน และมันนำมาซึ่ง ‘ความทุกข์’ และ ‘คำถาม’ มากมายด้วยความไม่เคยชินจากความเปลี่ยนแปลงฉับพลัน 

        จาก ‘นักเดินทาง’ จึงต้องกลายเป็น ‘นักอยู่บ้าน’ จาก ‘คนทำงาน’ จึงต้องกลายเป็น ‘คนว่างงาน’ ไปโดยปริยาย 

        เมื่อการออกไปพบเห็นสิ่งใหม่ถูกจำกัด การกลับมามองและดูแลพื้นที่ภายในจิตใจตนเองยามนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ มันได้นำมาซึ่งสายตาที่เปลี่ยนไป และการแสวงหาความเข้าใจชีวิตในแง่มุมใหม่ของหญิงสาววัย 23 ปีที่รักการเดินทางเป็นชีวิตจิตใจ 

        เป็นสิ่งที่ ‘การไม่ได้เดินทาง’ มอบให้ อย่างที่เธอกล่าวในตอนหนึ่งของบทสนทนา

        “การเดินทางทำให้เราได้เห็นอะไรใหม่ๆ แต่การไม่ได้เดินทางทำให้เรากลับมามองอะไรเก่าๆ”

 

พลอยไพลิน ตั้งประภาพร

จำได้ไหมว่าก่อนล็อกดาวน์คุณมีแพลนจะไปไหน

        เรามีแพลนไปเรียนภาษาที่ออสเตรเลียหนึ่งเดือน ช่วงกลางมีนาคมถึงกลางเมษายน เพราะสถาบันของ Beyond Study Center ที่เขาดูแลเรื่อง Work and Holiday ของออสเตรเลียชวนเราไป โดยทางสถาบันจะสปอนเซอร์ค่าเรียนให้ และให้เราทำคลิปให้เขา โดยเปิดโอกาสให้เราสร้างสรรค์เองเลยว่าอยากถ่ายอะไร ความจริงเขามีการเปิดให้ส่งคลิปประกวดชิงทุนอยู่แล้ว ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ก็สามารถส่งคลิปประกวดเพื่อขอทุนแบบนี้ได้เหมือนกัน เพียงแต่ของเราโชคดีที่เขาเห็นคลิปที่เราทำตามเพจ เขาเลยจิ้มให้ทุนเราเลย 

        ส่วนอีกแพลนคือเราตั้งใจจะไปเนปาลช่วงเดือนนี้ (พฤษภาคม) เราเคยไป ABC (Annapurna Base Camp) แล้ว แต่อยากไป EBC (Everest Base Camp Trek) อีกรอบหนึ่ง แต่เราเป็นคนค่อนข้างโรคจิตนิดหนึ่ง คือเราแทบจะไม่อ่านหนังสือเดินทางเลย คืออ่านแค่ข้อมูลตามโลนลีแพลเน็ตหรือพันทิปว่าเที่ยวอย่างไร แต่จะไม่อ่านว่ารู้สึกอย่างไร เพราะกลัวเหมือนการดูหนังแล้วโดนสปอยล์ (หัวเราะ) 

เสียดายโอกาสในการทำงานไหม คุณเพิ่งมีหนังเรื่อง Low Season ไปเมื่อปลายปีก่อน ปีนี้ควรจะเป็นปีที่ได้ตักตวงอะไรหลายอย่างมากกว่านี้

        เสียดายนะ แต่ไม่ได้เอาไปคิดมากขนาดนั้น เราแค่เสียดายว่าไม่ได้ทำแพลนที่เราแพลนไว้ในปีนี้มากกว่า คือปกติเวลาถึงปีใหม่ เราจะเขียนไว้ว่า ต้นปีจะทำสิ่งนี้ กลางปีทำสิ่งนี้ ปลายปีทำสิ่งนี้ ซึ่งมันไม่ได้ตามที่เราตั้งใจ จริงๆ แพลนเราคือครึ่งปีแรกทำงานเก็บเงิน อีกครึ่งปลายปีคือเที่ยว พอเป็นแบบนี้มันก็เหมือนช็อต ทุกอย่างต้องหยุดชะงักทั้งหมด

วิกฤตโควิดถือว่าหนักขนาดไหนสำหรับชีวิตวัยรุ่นอายุ 23 อย่างคุณที่ไม่น่าได้เจออะไรแบบนี้บ่อยๆ

       เอาตรงๆ ก็คือไม่ชอบแหละ เรารู้สึกอยากให้มันผ่านไปไวๆ ความจริงช่วงที่ผ่านมาก็ค่อนข้างแย่พอสมควร เราโทร.หาสายด่วนสุขภาพจิตประมาณสามรอบได้ (หัวเราะ) คือด้วยความที่ปกติงานเรานั่นคือการเป็นนักแสดง ออกกอง และงานบล็อกเกอร์คือเดินทางท่องเที่ยว ทุกอย่างคือข้างนอกหมดเลย พอทุกอย่างถูกปิด ก็ทำงานไม่ได้ ไปไหนก็ไม่ได้ แล้วโดยส่วนตัวเราเป็นคนที่แอ็กทีฟมาก ถ้าว่างต้องไปเที่ยว ไม่เที่ยวก็ต้องไปทำงานออกกอง ไปเจอผู้คน หรือถ้าไม่ทำอะไรก็ไปหาเพื่อนเล่นดนตรี คือเป็นคนค่อนข้างกิจกรรม

        พอวันหนึ่งทุกอย่าง ปึ้ง! ชัตดาวน์ เราก็ไม่ชินกับสถานการณ์แบบนี้ที่เปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน อาทิตย์แรกยังพอไหว นั่งเล่นเกม เล่นดนตรีในห้อง แต่พอผ่านไปอีกอาทิตย์หนึ่งก็รู้สึกว่า สิ่งที่ทำน่าเบื่อจังเลย ตื่นมาแล้วทำอะไรดี ไปไหนไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ เป็นครั้งแรกเลยที่เราคิดว่าตื่นมาทำไมวะ ตื่นมาแล้วก็รอเวลาให้นอนต่อ มันแย่มาก แล้วเราก็ดาวน์มาก จนอยู่ๆ ก็ร้องไห้ 

พอดาวน์มากๆ คุณทำอย่างไรผ่านความรู้สึกตรงนั้น

       ตอนแรกคิดอะไรไม่ออกเลย นั่งร้องไห้ นอนซึมเป็นผักดอง จนต้องโทร.หาสายด่วนสุขภาพจิตว่า “พี่ หนูไม่ไหวแล้ว หนูไม่สามารถคุมอารมณ์ตัวเองได้ อยู่ๆ ก็ร้องไห้ ทำอะไรก็รู้สึกไม่มีความสุขเลย” เขาบอกว่า อย่าไปคิดว่าอีกตั้งเดือนหนึ่ง ให้คิดว่าอีกแค่เดือนเดียว คือถ้าถามว่าโดยพื้นฐานความเป็นจริงมันคิดหรือทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ตามเขาไหม มันก็ไม่ได้ แต่มันก็ให้มุมมองด้านบวกว่า เออ มันเป็นแบบนี้อยู่นะ ทีนี้เพื่อนก็เห็นว่าเราแย่มากๆ ร้องไห้ทุกวัน นอนก็ร้องไห้ ตื่นมาก็ร้องไห้ คือเกือบจะเป็นซึมเศร้าแล้ว ตอนนั้นเข้าใจเลยว่าคนที่ไม่มีความสุขเป็นอย่างไร เพื่อนก็เลยบอกว่ากลับบ้านไหม เราก็เลยโอเค ย้ายของกลับบ้าน

 

พลอยไพลิน ตั้งประภาพร

ครอบครัว เพื่อน หรือคนรอบข้าง มีส่วนสำคัญในการช่วยเยียวยาความรู้สึกคุณขนาดไหน

        เยอะนะ เหมือนมีคนอยู่ด้วย มีคนคุยด้วย เพราะแม่ก็ไม่ได้ไปทำงาน พ่อก็ทำงานและกลับมาตอนเย็นก็เจอ พอแม่ไม่ได้ทำงานก็มีเวลาดูแลบ้าน อารมณ์แบบทำข้าวเช้า ข้าวเที่ยง ข้าวเย็นให้ ทั้งที่สิบปีที่ผ่านมาไม่เคยทำ (หัวเราะ) แต่ตอนนี้ทำทุกมื้อเลย เราก็รู้สึกว่าฝีมือแม่ทำอาหารอร่อยดี ตอนนี้เรากลับมาอยู่คอนโดฯ เหมือนเดิมแล้ว แต่ก็คิดถึงฝีมือแม่อยู่ดี

สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันแบบนี้ ทำให้ความคิดหรือความเชื่ออะไรบางอย่างของคุณสั่นคลอนบ้างไหม

        คือถ้าไปอ่านบทสัมภาษณ์เราปีที่แล้ว คำตอบเราจะเป็นแบบ “แกจะต้องมีความสุข ชีวิตนี้มีแต่ความสุข” คือเราเป็นคนโลกสวย โลกบวกมาก แล้วพอมาตอนช่วงเดือนเมษายนที่เราไม่มีความสุขเลย มีคำถามว่าเกิดมาทำไมวะ มันมีแค่นี้จริงๆ เหรอ ไม่มีความสุขมากๆ เราก็เลยเข้าใจว่า ถ้าคนที่ดาวน์เหมือนเราตอนนั้น แล้วมานั่งอ่านบทความที่เราบอกว่าชีวิตมันมีแต่สีสัน คือมันโคตรจะขายฝันมาก (หัวเราะ) แต่ ณ ตอนที่เราตอบ เราคิดว่ามันคือเรื่องจริงนะ เพราะเราไม่ได้เจอเรื่องแย่ แต่เราพูดไปโดยไม่ได้เข้าใจในมุมมองคนที่เขาทุกข์อยู่ ถ้าเดือนที่แล้วเรามานั่งอ่าน เราจะคิดว่า อีหยังวะคนนี้ (หัวเราะ)

        เราเคยเขียนตรงหน้าโปรไฟล์เฟซบุ๊กว่า “ฉันจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก” แต่มีช่วงหนึ่งที่อ่านแล้วรู้สึก เฮ้อ ลบทิ้งเถอะ เพราะเรารู้สึกว่าเราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งหรือเปล่า ทำไมต้องพยายามที่จะมีความสุขขนาดนั้น ในเมื่อเราก็สามารถทุกข์ได้ ก็รู้จักทุกข์บ้าง เพราะว่าเราได้รับแต่ความสุข ชีวิตต้องมีแต่ความสุขเท่านั้น คือมุ่งหาแต่ความสุข สมมติถ้าเป็นปกติหากเราเจอเรื่องเครียด แน่นอนเราจะไปหาเพื่อน ไปหาอะไรกิน สามารถสร้างความสุขขึ้นมาใหม่ได้ แต่พอมาอยู่สถานการณ์โควิดนี้ เจอความทุกข์ แล้วมันไม่มีตัวช่วยจริงๆ เพื่อนก็เจอไม่ได้ อาหารก็ไปกินไม่ได้ เกมก็เบื่อแล้ว มันก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ เหมือนบังคับให้เราต้องอยู่กับความน่าเบื่อนี้ให้ได้ 

        เราคิดว่าเข้าใจคนมากขึ้น เข้าใจว่าเวลาคนเขาไม่มีความสุข จะพูดให้เขามีความสุขมันก็ทำไม่ได้ แค่ทำให้เขารู้ว่าเขาทุกข์เพราะอะไร ให้เขาเข้าใจในความทุกข์ แล้วอยู่กับมันให้ได้ก็พอ

ย้อนกลับมาที่ตารางชีวิตของคุณที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

        คืออย่างที่บอกว่าช่วงเมษายนที่ผ่านมาคือเปื่อยมาก อยู่ในช่วงที่ช็อกอยู่ ยังทำอะไรไม่ถูก พอประมาณกลางๆ เดือนเราเริ่มดีขึ้น เราเริ่มไม่ได้ดิ่ง ไม่ได้ดาวน์ เราเลยไปซื้อหนังสือของ คนโดะ มาริเอะ แล้วก็จัดบ้านทั้งวัน ทุกวันเลย (หัวเราะ) อีกอย่างคือเริ่มเล่นหุ้น เพราะเราคิดว่าอยู่บ้านไม่มีรายได้ ทำอย่างไรดี เลยลองศึกษาหุ้น แต่ไม่ได้เงินนะ เสียเงิน (หัวเราะ)

จริงหรือเนี่ย เล่นหุ้นจริงจังขนาดไหน

        ก็เริ่มอ่านข่าวรอบโลกมากขึ้น แต่เราก็ยังวิเคราะห์ไม่ได้อยู่ดีว่ามันต้องขนาดไหน แต่เราก็เริ่มเข้าใจว่ารหัสของหุ้นเป็นอย่างนี้ การขึ้นเปอร์เซ็นต์เป็นอย่างนี้ การซื้อขายเป็นอย่างไร พอเล่นหุ้นมันก็เหมือนทำให้เราอยากรู้เรื่องโลกมากขึ้นนะ อยากอ่านข่าวมากขึ้นเพื่อเอามาวิเคราะห์ว่ามันจะเป็นอย่างไร (หัวเราะ)

แล้วเพจท่องเที่ยวของคุณต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบอย่างไรบ้าง ในวันที่ไปเที่ยวไม่ได้

        ตอนนี้ก็เละเทะเหมือนกันนะ ค่อนข้างจะไปในเชิงที่เป็น challenge ทำนู่นทำนี่ คือไม่ได้เกี่ยวกับเดินทาง แต่ว่าก็แอบคิดเป็นซีรีส์ใหม่คือฮาวทู อารมณ์ถ้าเที่ยวไม่ได้ก็มานั่งทำแพลนเที่ยวดีกว่า จะสอนว่าจองตั๋วเครื่องบินถูกอย่างไร ประเทศอะไรน่าสนใจ คือคิดให้มากขึ้นในการทำคอนเทนต์ที่ไม่ใช่การท่องเที่ยว ทำอะไรก็ได้ เป็นคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ปกติ เราอยากให้คนดูรู้สึกว่าเวลาว่างทำอะไรได้บ้าง หรือหลังจากนี้อาจจะทำคลิปเล่นกีตาร์สิบชั่วโมงก็ได้ (หัวเราะ)

 

พลอยไพลิน ตั้งประภาพร

หลังจากนี้การเดินทางน่าจะยากขึ้นในแง่ของความปลอดภัย มันจะส่งผลต่อการทำคอนเทนต์ขนาดไหน

        มันคงจะเดินทางข้ามประเทศยากขึ้น ไม่ได้ใช้แค่พาสปอร์ต แต่อาจจะต้องใช้ใบสุขภาพเพิ่มเติม มาตรการในการรักษาความสะอาดก็น่าจะมากขึ้น เราก็น่าจะมีคอนเทนต์ใหม่ด้วยซ้ำ อารมณ์ว่าเที่ยวอย่างไรให้ป้องกันโรคระบาด หรือไปดูกันว่าหลังโรคระบาดจบแล้วสายการบินมีมาตรการอย่างไรบ้าง อาจจะมีความระมัดระวังขึ้นในการเที่ยว นอกจากเราจะต้องระวังโจรขโมยแล้ว ก็ต้องระวังโรคระบาดด้วย ตอนนี้ก็คุยกับเพื่อนว่า หมดโควิดเมื่อไหร่ ถ้าเริ่มเดินทางได้ ก็อยากไปเที่ยวทำคอนเทนต์สักที่หนึ่ง

ตอนนี้คุณคิดถึงอะไรจากการท่องเที่ยวมากที่สุด

        คิดถึงความสนุก ความตื่นเต้นที่ได้ไปเจออะไรใหม่ๆ ได้ไปเห็นที่สวยๆ แอบคิดถึงสนามบินเหมือนกัน คิดถึงการขึ้นเครื่องบิน เราก็ไม่รู้ว่ามันจะกลับมาโอเคเมื่อไหร่ ที่เราสามารถข้ามประเทศได้จริงๆ

ได้คุยกับคนอื่นๆ ที่ชอบเดินทางหรือทำเพจเดินทางเหมือนกันไหม ปรับทุกข์กันอย่างไรบ้าง

        เราได้คุยกับพี่กอล์ฟ เพจ กอล์ฟมาเยือน เป็นเพจถ่ายรูปที่ชอบเที่ยว ซึ่งเราว่าเขาน่าจะหนักกว่าเรา เพราะพี่เขามีแพลนไปปาตาโกเนีย ทวีปอเมริกาใต้ ช่วงเมษายน เป็นทริปใหญ่มาก เขาก็โดนแคนเซิลเหมือนกัน เขาก็บอก “พลอย พี่ไม่ได้ไปแล้วว่ะ” เราก็บอกว่าเราเข้าใจ เหมือนด้วยความที่เราก็เคว้งเขาก็เคว้งเหมือนกัน แล้วก่อนหน้านี้เราจะเป็นพวกทำงานฟรีแลนซ์ งานยุ่งมากๆ เราก็คุยกับพี่กอล์ฟว่า “พลอยแม่งลืมไปแล้วว่าการทำงานเยอะๆ มันเป็นยังไง” พี่เขาก็บอก “พี่ก็ลืมเหมือนกัน ตอนนี้พี่เข้าใจแต่ความที่ว่าตื่นมาทำอาหารและดูแต่เน็ตฟลิกซ์ไปแล้ว” (หัวเราะ) คือแซวกัน แต่ก็หวังว่ามันจะดีขึ้น 

แต่ช่วงนี้เริ่มมีการผ่อนคลายบ้างแล้ว คุณเริ่มมีงานมาบ้างหรือยัง

        มีๆ อย่างเมื่อวานก็มี แต่มันก็ประปราย ไม่ได้เต็มตารางเหมือนปกติ แต่ความรู้สึกที่ได้เริ่มกลับมาทำงานรู้สึกดีมาก (หัวเราะ) คือแค่เขาติดต่อมาว่าอาจจะเปิดกล้องคิวละครนะ แต่เขายังไม่คอนเฟิร์ม แต่ก็มีเบรกดาวน์คร่าวๆ มาให้ว่า มีซีนไหนบ้าง เรารีบหยิบบทมาอ่านเลย ตื่นเต้นมาก อยากเล่นละครมาก

โควิดทำให้คนงานยุ่งอย่างคุณได้มีเวลามากขึ้น มันเปิดโอกาสให้คุณได้ทบทวนอะไรในชีวิตบ้างไหม 

        เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร เมื่อก่อนเราเข้าใจว่าเราเป็นคนค่อนข้าง introvert ซึ่งพอตอนนี้คือ แกไม่ใช่ แกคือ extrovert สุดๆ ไปเลย (หัวเราะ) คือต้องโทร.คุยกับเพื่อนเป็นชั่วโมง เพื่อนคงรำคาญ แต่ต่างคนก็ต่างว่างเหมือนกัน อยากไปนู่นไปนี่ อยากทำกิจกรรมตลอดเวลา ปกติเราเป็นคนที่คิดว่า ถ้านอนอยู่เฉยๆ หรือเล่นเกม จะรู้สึกผิดมาก เพราะเหมือนว่าเราใช้เวลาไปเปล่าประโยชน์ เหมือนไม่ได้ส่งผลอะไรให้ดีขึ้น เสียเวลา ตอนที่เราก็โทร.ถามสายด่วนสุขภาพจิตเราก็คุยเรื่องนี้ด้วย (หัวเราะ) เราบอกเขาว่าเรานอนเฉยๆ แล้วรู้สึกผิดมาก เพราะรู้สึกว่ามันเสียเวลา มันไร้ค่ามาก เขาก็บอกว่า “การนอนเฉยๆ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดนะ มันคือการที่คุณได้พัก” คือหากมองในแง่ว่า ก่อนหน้านี้เราออกกองละคร ไปเที่ยว เดินป่าลุยเขา ถ้าเราได้นอนพัก ไม่ต้องรู้สึกผิดก็ได้ มันก็อาจจะดูดีในมุมนั้น แต่ว่าถ้ามองว่า พี่คะ หนูนอนมาเดือนนึงแล้วนะคะ ก็อาจจะมีความรู้สึกบางอย่าง (หัวเราะ) 

ที่บอกว่าเข้าใจตัวเองมากขึ้น เข้าใจในแง่ไหน

       เรื่องอารมณ์ตัวเอง คือเราได้นั่งคิดว่าเราเข้าใจอารมณ์ตัวเองมากแค่ไหน เหมือนตอนช่วงเดือนที่แล้วที่เราเครียดมากๆ เพื่อนถามว่าเป็นอะไร เราไม่สามารถบอกได้ ทั้งๆ ที่เราเป็น แต่เราไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ว่าเราเป็นอะไร เรามานั่งถามตัวเองว่า เออ จริงๆ ความเครียดมันเป็นอย่างไร ความเครียดคือการปั่นงานไม่ทันแล้วเครียดใช่ไหม แต่นี่ก็ไม่มีงานให้ปั่นนี่นา แต่ทำไมถึงรู้สึกแย่จัง มันเป็นความรู้สึกที่เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะเราไม่เคยทำความเข้าใจกับมันว่า ตอนนี้เราอยู่อารมณ์ไหน คือบางคนก็ถามว่า แกกังวลอะไรหรือเปล่า เราก็บอกไม่ๆ ไม่กังวลอะไร เรามีความสุข แต่พอมานั่งคิดดีๆ เออ เราอยู่ในอารมณ์ที่เรากังวลนะ กังวลว่าอนาคตมันจะอีกนานแค่ไหน คุณค่าในชีวิตคืออะไร แค่นี้มันก็คือความกังวลที่ก่อเกิดความเครียดได้เหมือนกัน ซึ่งจริงๆ แล้วเราเป็นคนไม่เข้าใจความรู้สึกอะไรพวกนี้โดยถ่องแท้จริงๆ ว่า เออ นี่ฉันเครียดอยู่นะ 

 

พลอยไพลิน ตั้งประภาพร

การตามความรู้สึกตัวเองทันมันเยียวยาคุณไหม

       เยียวยานะ คือพอเรารู้ว่า อ๋อ ที่เราเป็นแบบนี้เพราะเราเครียดนะ โอเค เราเข้าใจแล้วว่าเราเครียด คือพอเราเข้าใจแล้วเราเห็นตัวเอง เราก็จะเข้าใจมากขึ้น ปลงกับชีวิตมาก คือเรารู้สึกว่า แค่เราสามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดออกมาได้ว่าเรารู้อย่างไรนี่ก็น่าจะยากแล้วนะ ไม่ใช่แค่กับเรา คนทั่วไปก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเครียดอยู่ คือปกติคนเราจะค่อนข้างหลอกตัวเองเบาๆ ทั้งที่เครียดแต่ก็บอกไม่เครียด เรื่องแค่นี้สบายมาก คือเหมือนจะเป็นการกดทับความเครียดนั้นเอาไว้ เหมือนฉันไม่เคีรยดหรอก ฉันไม่กังวลหรอก ฉันมีความสุข ฉันสามารถผ่านมันไปได้ แต่ในความรู้สึกลึกๆ มันก็คือความกังวลนั่นแหละ สถานการณ์ช่วงโควิดก็ทำให้เราเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น เข้าใจมนุษย์มากขึ้น เข้าใจความเป็นโลกมากขึ้น ว่ามันไม่จำเป็นต้องขวนขวายความสุขขนาดนั้น เพราะเราก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่ต้องทุกข์และสุขสลับไปมา ไม่จำเป็นต้องมองทุกอย่างว่าต้องดี

การเดินทางสอนเราอย่างหนึ่ง แล้วการไม่ได้เดินทางสอนบทเรียนอะไรให้คุณ

        การเดินทางทำให้เราได้เห็นอะไรใหม่ๆ แต่การไม่ได้เดินทางทำให้เรากลับมามองอะไรเก่าๆ ของตัวเอง กลับมามองตัวเอง อยู่แค่ตรงนี้ การเดินทางคือฉันพร้อมที่จะออกไปเห็นภูเขา เห็นหิมาลัย เห็นผู้คน เห็นวัฒนธรรม เพื่อจะออกไปเปิดรับ แต่ถ้าเราอยู่กับตัวเอง มันคือการไม่ได้เห็นอะไรนอกจากเรา คือเราอาจจะมีอินเทอร์เน็ตหาข้อมูลได้ก็จริง แต่มันก็ไม่ได้เท่ากับการที่เราพร้อมที่จะเปิดรับเพื่อจะเห็นอะไรใหม่ๆ มันก็คือการที่อยู่กับตัวเองแล้วก็นั่งคิดไปเรื่อยๆ

แล้วการรู้จักตัวเองจาก ‘การเดินทาง’ กับ ‘การไม่ได้เดินทาง’ ต่างกันอย่างไร

        ตอนที่เราไปเที่ยว เราก็ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นเหมือนกัน ความต่างน่าจะเป็นเวลาในการหยุดคิด คือถ้าเดินทาง เราเรียนรู้ในสถานการณ์ที่เราได้เจอตรงหน้าว่าเราสามารถแก้ไขปัญหาตรงนั้นได้นะ เราสามารถเป็นคนเฟรนด์ลี คุยกับคนอื่นได้นะ เราถ่ายรูปสวยนะ อะไรประมาณนั้น แต่ถ้าอยู่คนเดียวจะเป็นอารมณ์แบบมีเวลาคิด มีเวลาหยุดมากขึ้น มานั่งมองหน้าตัวเองว่า เฮ้ย เราผิวคล้ำขึ้นหรือเปล่า เราควรจะมาสก์หน้าหน่อยไหม เราอ้วนตรงนี้หรือเปล่า เราอ่อนภาษาอังกฤษหรือเปล่า เราควรมีสกิลอะไรเพิ่มไหม คือมันเป็นการหยุดเพื่อมองตัวเองในอีกแบบหนึ่ง เป็นการเรียนรู้คนละแบบ ที่ในแบบการท่องเที่ยวไม่สามารถให้ได้ และในแบบที่การอยู่คนเดียวก็ไม่สามารถให้ได้

หลังหมดโควิด แพลนแรกที่อยากไปคือที่ไหน

        อยากไปดำน้ำที่ทะเลแบบแอดวานซ์เลย ก่อนหน้านี้เราไม่มีเวลา ด้วยความที่การดำน้ำไม่ใช่จบแค่สามสี่วัน ผิวมันต้องคล้ำขึ้น แล้วเราต้องไปทำงานออกกอง เลยรู้สึกว่าต้องเป็นช่วงที่ว่างจริงๆ และไม่มีงานต่อ ถึงจะได้ดำน้ำ เราว่าโลกใต้น้ำทำให้เราเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น การได้ลอยในน้ำก็เป็นการฝึกสมาธิ ฝึกการหายใจด้วย 

 

ขอบคุณ MaRee Eatery House เอื้อเฟื้อสถานที่