“คุณรู้ไหม ผมดีใจมากเลยที่ได้คุยกับคนไทยแบบคุณ เราคิดถึงการไปเที่ยวที่นั่นมาก คิดถึงผู้คน คิดถึงอาหาร คิดถึงซีนดนตรีของประเทศไทย”
ผมยิ้มอ่อน เพราะไม่เคยเจอคนถูกสัมภาษณ์คิดถึงมาก่อน แต่ก็ใจดีสู้เสือตอบกลับไปว่าถ้าสถานการณ์กลับมาสู่ช่วงปกติ คนไทยต้องเรียกร้องให้คุณกลับมาร้องเพลงให้ฟังแน่ๆ
เพราะเป็นระยะกว่า 5 ปีแล้วที่ PREP วงอินดี้จากเมืองผู้ดี ที่หยิบดนตรีซิตี้พ็อพจากญี่ปุ่นมาผสมกับเรื่องราวในประเทศอังกฤษ แต่กลับมีผลลัพธ์ที่ครองใจแฟนเพลงชาวไทยเสียอย่างนั้น โดยเฉพาะในอีพี Futures ที่แม้เพิ่งปล่อยให้ได้ฟังกันแค่ 2 เพลง แต่ชาวไทยก็พร้อมใจกันซื้อบัตรคอนเสิร์ตไปฟังกันจนเต็มร้าน ในครั้งที่เขามาเล่นที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก
“พวกคุณคือส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมการฟังเพลงต่างประเทศของชาวไทยแล้ว” เรากล่าวตอบไปแบบนั้น
พวกเขาหัวเราะกันลั่น เพราะยังไม่เชื่อว่าตัวเองเก่งขนาดนั้น แต่ก็สัญญาว่าจะกลับไปไทยอย่างแน่นอน โดยครั้งนี้เขาจะนำเพลงใน PREP อัลบั้มใหม่ที่ใช้ชื่อเดียวกับวงที่มีความ โดดเด่น เข้าถึงง่าย และดูไม่น่าเบื่อ ซึ่งหากใครได้ฟังจะต้องเต็มอิ่มกับประสบการณ์สนุกปนเหงา เศร้าเคล้ารอยยิ้ม อันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาอย่างแน่นอน
ขอแสดงความยินดีกับ PREP อัลบั้มใหม่ของคุณด้วย ผลงานครั้งนี้คุณได้เพิ่มความแปลกใหม่เอาไว้ข้างในบ้าง
พวกเราไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะมีคนฟังที่รู้สึกว่าเพลงอัลบั้มนี้ของพวกเราแปลกใหม่ (หัวเราะ)
สิ่งสำคัญคือเรายังคงคุณภาพในการทำเพลงเอาไว้ให้ดีเหมือนเดิมโดยตลอด ซึ่งตรงนี้พวกเรามองว่าเป็นส่วนสำคัญนะ การที่จะว่างโครงสร้าง คิดคอนเซ็ปต์เรียงลำดับเพลง ไปจนถึงขั้นการอัดดนตรี มิกซ์เสียง ทั้งหมดนี้มันเติบโตและพัฒนามากขึ้นในอัลบั้มของเรา อยากให้ทุกคนได้ลองฟัง ได้ลองสัมผัสดนตรีขั้นกว่าของ PREP ในอัลบั้มนี้
ในด้านตัวตนไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่เหมือนกับว่าเราได้เดินทางมาถึงจุดที่ดีที่สุดในสิ่งที่เราเป็นอยู่ ณ ตอนนี้มากกว่า
แต่ก็มีบางเพลงที่เรารู้สึกว่าตัวเองได้ลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนด้วยเช่นกัน เพลงส่วนใหญ่ที่เคยทำมาจะมีความพ็อพค่อนข้างมาก แต่ใน 2 เพลงสุดท้ายอย่าง ‘Being Carried’ และ ‘Years Don’t Lie’ จะมีความแตกต่างอย่างชัดเจน มันจะมีเสียงกีตาร์ที่หนักแน่นขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีความรุนแรง ดิบเถื่อนขนาดนั้น เราไม่ได้อยากให้แฟนเพลงต้องมอชพิต (หัวเราะ)
สำหรับเรา ต้องยอมรับว่าตัวเองถูกจริตกับทุกเพลงในอัลบั้ม แต่ถ้าให้พวกคุณเลือกเพลงเพื่อแนะนำชาวไทยได้ จะเป็นเพลงไหนบ้าง
พวกเราอยากแนะนำ Years Don’t Lie เป็นเพลงที่ใช้เปิดตัวอัลบั้ม สำหรับผมรู้สึกว่ามันเพราะขึ้นทุกครั้งที่ฟัง เราเริ่มทำอย่างเรียบง่าย เนื้อเพลงก็สุดจริงใจ เป็นมิตรกับผู้ฟัง แต่พอพัฒนาไปเรื่อยๆ ก็มีลูกเล่นมากขึ้น เป็นเพลงที่สนุกมาก เราได้ใส่รายละเอียดลงไปหลายอย่าง อยากให้ลองฟังกันดู
เพลงต่อมาเราขอแนะนำ Danny Came Up เพลงสุดท้ายในอัลบั้มที่หลายคนอาจมองข้าม แต่สำหรับพวกเรานี่คือเพลงโปรด เป็นปลายทางของอัลบั้มที่เรียบง่าย สงบ แต่ก็ยังแฝงความสนุกเอาไว้ ผมว่าหลายๆ อย่างในเพลงนี้คล้าย Who’s Got You Singing Again เช่น จังหวะหรือบรรยากาศที่ซ่อนอยู่ในเนื้อร้องและทำนอง
On and On ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพลงจังหวะค่อนข้างช้าและหนืด แต่ก็มีความเพลินในแบบของมัน พวกเราสังเกตตลอดว่าในหลายๆ เพลงของเราที่เป็นแบบนี้ แฟนเพลงไทยจะค่อนข้างชอบ เลยคิดว่าเพลงนี้จะเข้าไปอยู่ในใจคนไทยได้
สุดท้ายขอเลือก Wouldn’t wanna Know จำได้ว่านี่เป็นเพลงที่ถึงกันบ่อยมากตอนงานปาร์ตี้เปิดตัวอัลบั้ม พวกเรา ผมรู้สึกว่านี่คือบทเพลงที่ดนตรีสามารถสื่อสารไปถึงอารมณ์ และรสสัมผัสของมนุษย์ได้จริง
ในประเทศไทย อีพี Future โด่งดังมากๆ พอจะทำอัลบั้มรู้สึกกลัวว่าจะ ‘แป้ก’บ้างไหม
ไม่เลย สำหรับวงอังกฤษเพลงของพวกเราไปถึงประเทศไทยแค่นี้ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์มากพอแล้ว ครั้งแรกที่ได้เล่นในกรุงเทพฯ ทั้งที่พวกเราไม่เคยมาด้วยซ้ำ แต่กลับรู้สึกผูกพันเหลือเกิน ตอนเล่นคอนเสิร์ตครั้งแรกเราปล่อยมาแค่ 4 เพลง แต่คนดูก็สนุกกับโชว์บ้าง เต้นกันเหมือนรู้จักมาหลายสิบปี (หัวเราะ)
เรากล้าพูดเลยว่าการเล่นคอนเสิร์ตที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในความทรงจำที่บ้าคลั่งที่สุดของพวกเรา
พวกเรายังจำได้อยู่เลยว่า ตอนนั้นเรานั่งอยู่ร้านอาหารก่อนเล่น ในกลุ่มเฟซบุ๊กที่ทำขึ้นเพื่อคอนเสิร์ตครั้งนี้บอกว่ามีเกือบพันจะมาร่วมงาน ซึ่งตอนแรกไม่ได้หวังเลยว่าจะมีคนมาขนาดนั้น แต่พอเดินมาถึงสถานที่เล่นคอนเสิร์ต ทุกคนกลับรอพวกเราอยู่ข้างในแล้ว มันบ้าคลั่งมาก
แต่คุณเชื่อไหม ในคอนเสิร์ตบ้าคลั่งกว่านี้อีก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนร้องเพลง Cheapest Flight และ Who’s Got You Singing Again ไปพร้อมกับพวกเรา มีแฟนคลับยืนต่อแถวรอให้เซ็นอัลบั้ม
ดังนั้น เราเลยไม่ได้กดดันเลยเวลาเพลงไปถึงคนฟังชาวไทย เราเชื่อมั่นว่าเพลงของ PREP จะเชื่อมต่อกับวิถีบางอย่างของชาวไทยอยู่เสมอ และเชื่อว่าพวกเขาก็พร้อมต้อนรับพวกเราอยู่ตลอด ทุกครั้งที่โชว์ของเราใหญ่ขึ้น มีเพลงมากขึ้น คนก็สนุกกับพวกเรามากกว่าเดิมแน่ๆ
ถ้าให้อธิบายตัวตนของวง คิดว่าบุคลิกจะเป็นแบบไหน (สำหรับผม PREP เหมือนผู้ชายขี้เหงาคนหนึ่ง ที่อยากพูดทุกอย่างที่ตัวเองรู้สึกไม่พอใจ)
(หัวเราะ) โคตรจริง
พวกเราจะไม่ใช้คำว่าคนเหงา เพราะวง PREP เหมือนกับคนที่ผ่านเรื่องราว เจอทั้งทุกข์และสุขมาหมดแล้ว จนถึงจุดหนึ่งที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ไม่มีปัญหาอะไรคาใจ มันก็เกิดช่องว่างในความคิด เกิดคำถามที่ว่าแล้วชีวิตหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อ
พูดให้เห็นภาพง่ายๆ ผมว่าเขาเหมือน ดอน แดร็ปเปอร์ ในซีรีส์ Mad Men ดูเป็นผู้ชายที่มีทักษะทุกอย่าง ชีวิตเพียบพร้อม แต่ข้างในเหมือนยังขาดอะไรอยู่ เหมือนกับชีวิตดีแล้ว แต่มันยังไม่พอ ที่แม้กระทั่งคนดูอย่างเราก็ไม่เข้าใจ
หรือ วาคิน ฟินิกซ์ ในเรื่อง Inherent Vice (2014) โคตรจะมีความเป็น PREP เลย ชีวิตกำลังจะดี แต่หาเรื่องใส่ตัว ทำตัวเองกันทั้งนั้น (หัวเราะ)
น่าสนใจว่าศิลปินที่พวกคุณร่วมงานส่วนใหญ่ มักจะอยู่ฝั่งเอเชียเป็นจำนวนมาก วงการดนตรีในเอเชียน่าสนใจอย่างไรสำหรับพวกคุณ
จริงๆ ผมไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นคนประเทศไหน แต่เราเลือกจะความสามารถของพวกเขามากกว่า ซึ่งจะขอยกตัวอย่างให้คุณฟังก็แล้วกัน
คนที่ยกตัวอย่างได้ชัดเลยคือ DEAN (Kwon Hyuk) สำหรับพวกเราแล้วเขาเป็นคนที่ไม่ว่าทำอะไรก็ตาม จะสามารถผลักให้อยู่ในดนตรีพ็อพได้เสมอ ไม่ว่าเพลงนั้นจะเป็นฮิปฮอป เป็นอาร์แอนด์บี เขาก็จะมีวิธีให้มันฟังง่ายจนติดหูคนฟัง นี่คือสิ่งสำคัญที่เพลงของพวกเราได้รับอิทธิพลมาจากเขา
ส่วน MISO (Kim Mi-so) เราพบในช่วงที่เขาเป็นหนึ่งในทีมงานของ DEAN แน่นอนว่าพวกเรากลุ่มมนุษย์ที่ถูกเสียงร้องของเธอสะกดให้ต้องฟังจนจบโชว์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ ที่เราจะทาบทามเธอให้มาเป็นส่วนหนึ่งของอัลบั้มในเพลง The Stream
หลายคนมักบอกว่าเพลงของพวกคุณคือแนวซิตี้พ็อพ เห็นด้วยไหม
พวกไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นวงซิตี้พ็อพ แต่เป็นส่วนหนึ่งมากกว่า แน่นอนว่าพวกเราได้รับอิทธิพลจากวงดนตรีญี่ปุ่นในช่วงยุค 70s แต่ในทางกลับกันเราก็ได้รับอิทธิพลจากวงในอังกฤษ เราโตมากับรสนิยม การใช้เครื่องดนตรีแบบอังกฤษมาตลอด เพียงแต่สิ่งนั้นดันไปคล้ายกับดนตรีญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน มันเหมือนสองอย่างนี้จะตีกลับไปกลับมาในชีวิตอยู่ตลอด มันเลยออกมาเป็นแบบนี้เอง
ส่วนตัวพวกเรามองว่า PREP เป็นอะไรที่แตกต่างกับซิตี้พ็อพที่คนรู้จัก อาจมีส่วนคล้ายกันบ้างในด้านดนตรี ในด้านอารมณ์ที่เพลงถ่ายทอด แต่ลึกๆ แล้วเราก็ไม่ได้เริ่มต้นวงด้วยการบอกกับทุกคนว่า เราจะมาทำวงซิตี้พ็อพกันนะ ทุกอย่างเริ่มจากตัวตนของพวกเราที่คอยกรอง คอยหาจุดร่วม แล้วผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นสิ่งที่ทุกคนได้ยินกัน
หลายคนมักบอกว่าซิตี้พ็อพต้องพูดถึงเมืองที่เปลี่ยวเหงา แต่เพลงของเราพูดถึงจิตใจข้างในของตัวเองแทบทั้งหมด นี่ก็เป็นความแตกต่างอย่างหนึ่งที่เราพอจะเล่าให้ฟังได้
ดังนั้น ถ้าจะให้เรียก ก็อยากให้เรียกพวกเราว่าเป็นวงนิวพ็อพจะดีกว่า (หัวเราะ)
มีศิลปินในประเทศไทยที่คุณชื่นชอบบ้างไหม
พวกเราอาจจะรู้จักวงไทยไม่มาก เลยไม่สามารถตอบได้ว่าวงไหนในประเทศไทยที่น่าจับตา แต่วงที่พวกเรารู้จักและประทับใจเอามากๆ คือ Bangkok Paradise Molam International Band เราไปเจอพวกเขาในวันที่พวกเราไปร้านแผ่นเสียง Studio Lam ซึ่งต้องบอกว่าประทับใจและเปิดโลกพวกเรามาก พวกเขาเหมือนวงไซคิดีลิกไทย ที่สนุกเกินความไซคิดีลิกไปค่อนข้างเยอะ
ภาษาไทยเขาจะใช้คำว่า ‘โจ๊ะ’
(หัวเราะ) มันแปลกสำหรับพวกเรามาก แนวเพลงก็แปลก เครื่องดนตรีก็แปลก มีเครื่องดนตรีอันหนึ่งที่เราไม่รู้จักชื่อแต่เหมือนฟลุต ซึ่งมันเจ๋งมากสำหรับพวกเรา เชื่อไหมแค่เพลงเดียวเราก็ตกหลุมรักวงนี้แล้ว
จำได้ว่าโชว์ของคุณถูกหยุดกลางคันในคอนเสิร์ตที่ไทยครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นเล่าให้ฟังที
เป็นประสบการณ์แปลกที่สุดที่เคยเจอในชีวิตเลย กับการมีอะไรขับผ่านหัวเราตอนเล่นคอนเสิร์ต จำได้ว่างานนั้นมีทีมงานขึ้นมากระซิบใส่หูว่าต้องหยุดเล่นเดียวนี้ เราเลยขอโทษแฟนคลับแล้วบอกว่าจะกลับมาให้เร็วที่สุด
แต่ก็เป็นเวลาเกือบ 20 นาทีเลยที่โชว์ของเราไม่มีแม้แต่เสียงพูดในไมค์ จนเราได้กลับไปเล่นอีกครั้ง ความสนุกกำลังเริ่มกลับมาเครื่องติดบนเวที เราก็ต้องหยุดกันอีกรอบ สุดท้ายเราได้เล่นเพียงแค่ 3-4 เพลงเท่านั้นเอง เป็นโชว์ที่สั้นมากหากเทียบกับงานที่วันนั้นที่เป็นเทศกาลดนตรี
แต่ที่เจ็บจริงๆ คือเรากลับได้ยินข่าวมาว่าสุดท้ายรถขับผ่านในวันนั้น
สุดท้ายเราก็ไม่โกรธอะไร คิดย้อนกลับไปยังตลกอยู่เลย จำได้ว่าตอนลงไปพักช่วงแรก ก็ลงไปกินเบียร์แล้วแซวกันเล่ยอยู่ว่านี่เล่นในผับหรือเปล่า มีพักโชว์กลางคันด้วย (หัวเราะ)
หลายคนมักบอกว่าถ้าเรามีรัฐบาลสนับสนุนดนตรี วงการดนตรีจะโตได้เร็ว คุณเห็นด้วยไหม
ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมาซึ่งเราเล่นดนตรีกันไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีเลย ว่าวงการดนตรียังขาดแคลนและต้องการอะไรบ้าง ซึ่งจะเห็นได้ว่าเพื่อนพี่น้องต่างได้รับผลกระทบกันหมด โดยเฉพาะในเรื่องของเม็ดเงิน ดังนั้นบางทีการได้รับเยียวยาจากรัฐบาลบ้างก็คงจะดี
ซึ่งบางประเทศเขาทำได้จริงนะ ถ้าคุณเป็นศิลปินแคนาดาแล้วทำเพลงได้ดีจริง รัฐบาลจะให้คุณเซ็นสัญญาและช่วยผลักดันให้ได้ไปเล่นทั่วโลก เพราะวิธีแบบนี้นักดนตรีก็ได้ชื่อเสียง ประเทศก็ได้เงินกลับมา ได้ผลประโยชน์กันทุกฝ่าย
แต่แน่นอนว่าผลงานและความพยายามของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ แต่หลายครั้งความเหลื่อมล้ำก็ทำให้คนที่เก่งกว่ามีโอกาสฉายแววได้น้อยลง ดังนั้น การได้รับการสนับสนุนเป็นเรื่องจำเป็นจริง
และที่พูดนี้ก็ไม่ใช่แค่นักดนตรีเท่านั้น อาชีพส่วนอื่นในอุตสาหกรรมดนตรีก็กำลังลำบาก สายอาชีพนี้เริ่มไม่มีเงินเดือนจ่ายให้พนักงานแล้ว สถานที่จัดงาน ค่ายเพลง พนักงานในแผนกต่างๆ เหล่านี้อาจจะต้องปิดตัวลงในช่วงที่คนไม่ได้สนใจของฟุ่มเฟือยอย่างดนตรี ฟังดูอาจเป็นเรื่องของเอกชนไม่เกี่ยวกับรัฐ แต่ถ้าหากไม่มีรัฐสวัสดิการเข้ามาอุ้มตรงนี้เลย ในระยะยาวประเทศนั้นจะมีปัญหาแน่นอน
คิดว่าหลังจากฟังเพลงทั้งหมดในอัลบั้มของ PREP จนครบ ผู้ฟังจะได้อะไรกลับไป
อัลบั้มนี้เราทำมานานถึง 5 ปีแล้ว พวกเราเองเชื่อมั่นมาตลอดว่ามันคือสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิต เราทุ่มเทกับมันมากจริงๆ สำหรับแฟนเพลงที่รู้จักเราอยู่แล้ว ก็จะได้สัมผัสว่า ‘ขั้นสุดยอดของ PREP’ เป็นอย่างไร พวกเราภูมิใจมากที่มีโอกาสเล่าสิ่งเหล่านี้ให้พวกคุณฟัง
ส่วนใครที่ไม่รู้จักพวกเรามาก่อน อัลบั้มนี้ก็เหมาะเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณรู้จักเหมือนกัน การได้รู้ว่าตอนนี้ PREP คิดอย่างไร เป็นอย่างไร ก็ทำให้การกลับไปตามฟังสิ่งพวกเราเติบโตในอัลบั้มที่ผ่านๆ มา มีความสนุกได้มากขึ้น
หวังว่าทุกคนจะชอบกัน ขอบคุณแฟนเพลงชาวไทยล่วงหน้าเลย