ความล่มสลายที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นตัวการใหญ่ที่บั่นทอนจิตใจของเราให้หม่นหมองไปตามวันและเวลา ความทุกข์ที่เข้าเกาะกินใจส่งผลให้หลายๆ คนที่เราเห็นว่าเป็นคนเข้มแข็ง เห็นโลกมาเยอะ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็มาก กลายเป็นคนที่ท้อแท้อ่อนแรงหมดกำลังใจที่จะใช้ชีวิตต่อไป ซึ่งการจัดการกับความล้มเหลวในชีวิตของ พุฒิยศ ผลชีวิน หรือ พุฒิ ภูมิจิต คือการหาเป้าหมายของตัวเองให้เจอ แล้วค่อยๆ ผ่านไปให้ได้ทีละขั้น ไปตามฝันของตัวเองทีละก้าว ช้าๆ แต่มั่นคง
“เราอาจจะโชคดีที่ตัวเองเจอกับความล่มสลายมาตั้งแต่เด็ก แล้วเราก็อยู่กับความฝันมาเรื่อยๆ แม้ว่าจะล้มเหลวบ่อยๆ ก็ตาม” พุฒิเล่าให้เราฟังถึงชีวิตวัยรุ่นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ไม่ได้ราบรื่นสักเท่าไร เขาเป็นเด็กจากครอบครัวที่รับราชการ ถูกปลูกฝังว่าต้องเข้าเรียนเป็นนายร้อย เมื่อเขาเลือกเส้นทางที่ฉีกออกไปก็ทำให้มองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง
“เราก็ยังโชคดีที่ยังพาตัวเองเดินไปต่อได้ แต่ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ตอนอยู่ปี 6 เราก็กำลังจะโดนรีไทร์ เพื่อนก็บอกว่าไปขอเกรดกับอาจารย์สิ จะได้มีเวลาสู้ต่ออีกเทอม ระหว่างที่เดินไปขอเกรด เราก็ค่อยๆ นึกภาพตัวเองว่า ถ้าขอเกรดได้สำเร็จจะเป็นยังไง เราเห็นตัวเองเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมรับความจริง เราเห็นตัวเองเป็นผู้ใหญ่ที่ขี้โมโห แล้วก็เป็นผู้ใหญ่ที่โกงคนอื่นเพื่อให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ รู้สึกตัวอีกทีก็ถึงหน้าห้องพักอาจารย์ เราก็เข้าไปคุยว่าตอนแรกผมว่าจะมาขอเกรด แต่มาคิดอีกทีผมว่าผมควรโดนรีไทร์ อาจารย์ตกใจมากก็เลยนั่งคุยกัน แล้วก็ค้นพบว่าเรามีเส้นทางใหม่ที่ทำให้เรายังมีชีวิตที่ดีได้แม้จะโดนรีไทร์แล้วก็ตาม”
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์รู้สึกท้อแท้กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น คงเพราะให้ความสำคัญกับอดีตจนเกินไป จนกลายเป็นความเชื่อว่าตัวเองเป็นคนไม่มีอนาคต และหลงลืมการอยู่กับปัจจุบัน
“เราถูกทำให้เชื่อว่าเราจะไม่มีอนาคต ถ้าเราไม่สามารถเลือกปัจจุบันได้ คนก็เลยไปให้ค่ากับอดีตสูงมากมาตลอด พอไปพูดเรื่องความหวัง ทุกคนจะบอกว่าเป็นคนโลกสวย นั่นคือหลักการพัฒนาตัวเองแบบคนตะวันตก แต่ถ้ามองด้วยหลักปรัชญาของคนตะวันออกอย่างไคเซ็น (Kaizen) จะพบว่าจริงๆ แล้วเราพอจะทำอะไรบางอย่างแบบเล็กๆ ไปได้เรื่อยๆ แล้วชีวิตจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น”
ซึ่งความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในชีวิตของพุฒิคือ การเข้าไปทำงานประจำ ได้เจอคนประเภทต่างๆ ที่เข้ามาสอนบทเรียนชีวิต และการจัดการระบบความคิดให้เกิดกระบวนการทางวิศวกรรม
“พอเรากลับมาทำงานประจำ เรามีแผนที่จะหนีออกจากงานตลอดเวลา เพราะเป้าหมายที่เรามาทำงานคืออยากมีเงิน เอาเงินไปแต่งงาน ถ้ามีเงินแล้วเราก็จะเลิก แต่ปรากฏว่าเรากลับเจออัญมณีล้ำค่าในการทำงาน งานของเราคือการประกอบเครื่องจักร แล้วเราเป็นคนที่ทำดอกเจาะหักเยอะที่สุดในบริษัท นั่นหมายความว่าใจเราไม่นิ่งพอ ช่วงหลังเรามาสังเกตตัวเองว่าทุกครั้งที่เราทำดอกเจาะหักเรามักเผลอไปคิดเรื่องอื่น พอเราไปคิดเรื่องอื่น ก็ทำให้การจับสว่านนั้นเบี้ยว พอมันหักเราก็จะหงุดหงิด งานช่วยให้ทำให้เราคิดได้ในเรื่องของการมีสมาธิ การที่เราต้องพาใจตัวเองให้อยู่กับสิ่งตรงหน้า
“ก่อนมาเจอกับหัวหน้าเราซึ่งเป็นคนญี่ปุ่น เราเจอกับหัวหน้ามาหลายคนจากประเทศต่างๆ เราว่าคนล่าสุดนี้แปลกที่สุดที่เคยเจอมา” เขาเล่าอย่างอารมณ์ดี “ทุกครั้งที่เจอปัญหาเขาไม่เคยหงุดหงิดตีโพยตีพาย สิ่งแรกที่เขาจะทำคือดูว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ทำอะไรได้บ้าง เขาจะตั้งคำถามไว้สองคำถามว่าด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ตอนนี้เราสามารถไปเซอร์วิสอะไรลูกค้าได้บ้าง ถ้าเครื่องมือมีวงจรตัวหนึ่งเสีย คำถามแรกคือมีของเปลี่ยนไหม ต้องสั่งหรือเปล่า ต้องรอไหม ถ้าไม่รอเอาตัวอื่นมาเชื่อมกันก่อนได้ไหม สำหรับเราเป็นเรื่องใหม่มาก เราไม่เคยเจอคนที่มีปัญหาแล้วไม่ตีโพยตีพาย แต่คือเมื่อมีปัญหาก็แก้ไป ไม่มาโวยวาย ไม่มาหาว่าใครผิด”
ปีที่ผ่านมาเรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่หนักหนาสำหรับเขาก็ได้ เพราะมีเหตุการณ์ต่างๆ ประเดประดังเข้ามามากมาย ทั้งเรื่องงาน ความวิตกกังวล เป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จ ทั้งงานเพลง การแต่งงาน ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัว ทั้งหมดก่อให้เกิดความรู้สึกเคว้งคว้างในชีวิตขึ้นมาอย่างมหาศาล
“เราหันมาตั้งเป้าหมายเล็กๆ ให้ตัวเอง เราจะโฟกัสอยู่แค่สองเรื่องนั่นคือ ทำอัลบั้ม MIDLIFE ให้สำเร็จ เพราะทำมาห้าปีแล้วไม่จบสักทีจะมีอุปสรรคเยอะไปไหน (หัวเราะ) เรื่องที่สองคือ เราตัดสินใจกลับมาทำงานประจำเมื่อห้าปีก่อนเพื่อเอาเงินมาแต่งงาน ก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำตามเป้าหมายนี้สักที แต่พอถึงช่วงต้นปี 2018 พ่อต้องเข้ารับการผ่าตัดมะเร็ง กลายเป็นว่าต้องใช้พลัง ใช้ความรู้ที่มีมาทั้งชีวิตเพื่อให้ผ่านเวลาสิบวันช่วงเวลาที่พ่อผ่าตัดไปให้ได้ ระหว่างที่อยู่เฝ้าพ่อในโรงพยาบาล ทำให้รู้ว่าสิ่งที่พ่ออยากเห็นคือ chapter ต่อไปของเรา แล้วอะไรที่เป็น chapter ต่อไปของเรานั่นก็คือ การมีครอบครัว เราคิดว่ามีครอบครัวจะทำให้พ่อมีความหวัง ดังนั้น การแต่งงานของเราไม่ใช่เรื่องระหว่างเรากับแฟนสองคน แต่มันทำให้คนอื่นในครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมีชีวิตต่อไป”
เราถามไปตรงๆ ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่หลายๆ คนไม่ประสบความสำเร็จในการตั้งเป้าหมายของชีวิต และการตั้งเป้าหมายในชีวิตนั้นแตกต่างกับการตั้งปณิธานประจำปีที่เราเห็นใครต่อใครโพสต์ไว้บนเฟซบุ๊กอย่างไร
“มีความแตกต่างกันนิดหน่อยตรงที่ว่าการตั้งปณิธานประจำปีนั้นเป็นโกลที่ใหญ่ ต้องมีเงินเก็บให้ได้เท่านี้ ต้องวิ่งให้ได้ระยะทางเท่านี้ แต่พอเราตั้งเป้าหมายเล็กๆ ให้ตัวเองว่า ‘กูจะทำแค่สองเรื่องนี้ให้จบ’ กลายเป็นว่าตัวเองได้เคลียร์ความคิดบางอย่าง มีหมุดหมายของชีวิต พอมาถึงปีนี้หมุดหมายนั้นได้จบไปแล้ว ก็จะมีแต่สิ่งเล็กๆ ที่ตัวเองตั้งใจไว้อย่างนั่งสมาธิให้ได้ 3,000 ชั่วโมง หรือไปวิ่งให้ได้สัก 3 งานก็โอเคแล้ว หรือพาภรรยาไปเที่ยวต่างประเทศสักครั้ง
“ที่คิดแบบนี้เพราะเราทำงานกับหัวหน้าที่เป็นคนญี่ปุ่น ฝรั่งจะคิดเรื่อง innovation ส่วนคนญี่ปุ่นจะคิดเรื่องไคเซ็น บิ๊กไอเดียของสองฝั่งนี้คนละเรื่องกันเลย innovation คือเอาเงินมากๆ มาซัพพอร์ตไอเดียใหญ่ๆ แต่ไคเซ็นคือการดูว่าจุดนี้ทำอะไรได้บ้างแล้วก็ค่อยๆ ทำไปจากจุดนั้น การพัฒนาไอเดียเป็นคนละขั้วกันเลย แล้วเราก็มาคิดว่าแต่ละคนน่าจะมีจริตแบบที่ตัวเองชอบ คุณจะชอบการพัฒนาแบบ innovation ก็ได้ แต่ถ้าลองแล้วไม่ชอบก็ลองมาใช้ปรัชญาแบบคนตะวันออกก็ได้”
การโฟกัสสิ่งที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ การตั้งเป้าหมายเล็กๆ แล้วไปให้ถึงทั้งหมดนั้นคือการอยู่กับตัวเอง รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร และมุ่งไปสู่สิ่งนั้นเพื่อทำให้ดีที่สุด เรียกง่ายๆ ก็คือการฝึกจิตให้อยู่กับตัวเอง ฟังแล้วอาจดูเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่ในการปฏิบัตินั้นเขากลับบอกว่าทำได้ง่ายนิดเดียว
“การทำสมาธิที่บอกว่ายากนั้นเพราะวิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป เมื่อก่อนเขาจะให้ทำสมาธิโดยกำหนดลมหายใจ แต่บริบทของคนในตอนนั้นคือคนสมัยก่อนเขาใช้แรงกายเยอะเพราะต้องทำไร่ทำนา ดังนั้น ฐานกายของเขาจึงแน่น แต่คนสมัยนี้ฐานกายเขาจะอ่อน ดังนั้น ก่อนจะกลับมาที่เรื่องของลมหายใจต้องให้ฐานกายแน่นเสียก่อน วิธีง่ายๆ คือออกไปวิ่ง หรือถ้าเอาง่ายกว่านั้นคือการขยับนิ้วไปเรื่อยๆ ให้ร่างกายรับรู้ ขยับไปเรื่อยๆ จนเรารู้สึกถึงความร้อนความเย็นที่เกิดขึ้นกับร่างกายกับนิ้วมือ จากนั้นเราจะทำสมาธิด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออกได้ง่ายขึ้น”
เมื่อได้คุยถึงวิธีจัดการกับภาวะของ Midlife Crisis ที่เกิดขึ้นกับตัวเขาแล้ว ทำให้เราพบว่าวิกฤตวัยกลางคนนี้อาจเป็นเรื่องน่ากลัวของคนในปัจจุบัน แต่ถ้าได้รู้และทำความเข้าใจถึงเรื่องการตั้งเป้าหมายใหม่ให้ชีวิตแล้ว สิ่งที่ดีๆ ที่ได้กลับมานั้นก็มีประโยชน์กับเราไม่น้อยเหมือนกัน
“ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้เรารู้ถึงการดูแลคนรอบตัว ดูแลครอบครัว ดูแลภรรยาได้ดีขึ้น เราชวนคนที่ทำงานออกไปวิ่ง ทำให้คนที่ร่วมงานมีพัฒนาการในการทำงานที่ดีขึ้น เมื่อเราจำกัดความฝันด้วยภาพมายาบางอย่าง ความฝันจะแคบลง ไม่ฟุ้ง ทำให้ค้นพบความหมายของการได้ฝัน และสามารถแปลงความฝันนั้นให้เป็นอีกหลายๆ รูปแบบได้”
“แล้วก็ก้าวไปตามความฝันเหล่านั้นแบบใจเย็น” เราชิงพูดดักซึ่งนักร้องนำของวงภูมิจิตก็ยิ้มให้พร้อมกับตอบกลับมาว่า
“ใช่!”