ฝน ศนันธฉัตร

ฝน ศนันธฉัตร: เกิดมาได้ครั้งหนึ่ง เราจะใช้ชีวิตอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2556 ‘ฝน’ – ศนันธฉัตร ธนพัฒน์พิศาล คือนักแสดงผู้รับบทบาท ดาว-หญิงสาววัยใสที่ครองใจคนทั้งประเทศ และทำให้เธอแจ้งเกิดได้ตั้งแต่ซีรีส์เรื่องแรกที่เธอได้เล่น แต่นั่นก็เป็นเหมือนกับดาบสองคม เพราะไม่ว่าเธอจะไปรับบทในภาพยนตร์เรื่องไหน เราก็มักจะติดภาพลักษณ์ของเธอในลุกส์สาววัยใสนี้อยู่เสมอ

        วันนี้ก็เหมือนกัน ในตอนแรกเราเตรียมบทสัมภาษณ์เธอในการมารับบทบาทจ๋าย ในหนังภาคต่ออย่าง Bikeman 2 อย่างผิวเผิน แต่เมื่อเปิดประเด็นคำถามต่อไปเรื่อยๆ เราก็เปลี่ยนความคิดเบื้องต้นที่มีต่อ ฝน ศนันธฉัตร ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ว่าจะในคำถามหรือประเด็นไหนๆ เธอก็มักมีคำตอบที่ดูจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นอย่างถ่องแท้ สามารถเลือกคำตอบออกมาเหมาะสมและมีประโยชน์สำหรับคนทั่วไปเป็นอย่างมาก

        น่าสนใจมากว่าเหตุใดนักแสดงสาวที่อายุเพียงเท่านี้ กลับมีความคิดที่ดูเข้าใจโลกมากมายนัก เราจึงถือโอกาสชวนเธอคุยในอีกหลายเรื่องทั้งความรัก ความสัมพันธ์ หน้าที่การงาน และการบริหารชีวิต ในแบบของเธอ ที่ต้องขอบอกเลยว่าคำพูดบางคำที่ออกมาจากปากเธอ สามารถใช้เป็นแนวคิดในการดำเนินชีวิตได้ดีเลยทีเดียว

 

ฝน ศนันธฉัตร

เห็นว่าภาคนี้ จ๋าย ตัวละครที่คุณรับบท ต้องถูกจับคลุมถุงชนด้วย ช่วยเล่าที่มาที่ไปตรงนี้ให้ฟังหน่อย

        ถึงตอนนี้จ๋ายต้องเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่พ่อเขาหวังดี เขาอยากให้เรามีแฟน แต่พ่อจะเป็นคนประเภทที่คุมทุกอย่างในชีวิตของลูก รวมไปถึงอยากหาแฟนให้ด้วย เขาอยากให้จ๋ายได้เจอคนดีๆ แต่ตัวจ๋ายเองกลับรู้สึกว่าถูกบังคับมาทั้งชีวิตแล้ว เรื่องนี้ขอเลือกเองสักอย่างบ้างเถอะ ทำให้จ๋ายต้องพาศักรินทร์มาช่วยแก้ปัญหา 

ฝนคิดยังไงบ้างกับการเลือกคู่ เพราะถ้าเราเลือกผิด ชีวิตเปลี่ยนเลยนะ

        จริงค่ะ แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าคนที่พ่อเลือกให้จะเป็นคนที่ใช่ เพราะเรื่องแบบนี้ไม่มีสูตรสำเร็จ วันนี้เขาอาจจะดีแต่พรุ่งนี้อาจจะแย่ก็ได้  เรารู้สึกว่าคนเราต้องเรียนรู้ ต้องใช้เวลาร่วมกันก่อนถึงจะรู้ว่าคนนั้นดีหรือไม่ดี การที่พ่อแม่เลือกให้ เช่น คนมีประวัติดี การศึกษาดี หน้าตาดี ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะรักหรือเหมาะกับเรา ไม่มีปัจจัยไหนที่สามารถรู้ได้เลยว่าคนไหนจะเป็นอย่างไร เราต้องใช้เวลาทำความรู้จักกับเขาก่อนจะเลือกเป็นคู่

แต่ก็มีอีกหลายคู่ที่ถูกจับคลุมถุงชนแต่สุดท้ายก็ยังรักกันดีอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ

        เราว่าเป็นเรื่องข้อบังคับของแต่ละคน คำว่าชีวิตคู่ของแต่ละคนมีเป้าหมายไม่เหมือนกัน ผู้หญิงบางคนอาจจะแค่อยากเป็นแม่บ้าน มีผู้ชายให้เงินใช้อยู่บ้านไม่ต้องทำอะไรก็พอใจแล้ว อยู่ที่ว่าเราอยากได้ชีวิตแบบไหน ถ้าเราเจอคนที่สามารถยอมรับเป้าหมายชีวิตคู่ของเราได้ก็โอเคแล้ว เพราะชีวิตคู่ไม่ใช่เรื่องความรักอย่างเดียว ยังมีอีกหลายคู่ที่อยู่ดูแลกันแต่ไม่ได้รักกัน เรื่องแบบนี้ก็มีจริงและไม่ได้ผิดอะไร 

แล้วสำหรับคุณ คิดว่าคนเราควรจะมีแฟนไหม

        สำหรับเราแล้ว แฟนคือเรื่องที่ไม่มั่นคงที่สุดในชีวิต แม้กระทั่งสามีก็ไม่มั่นคงเหมือนกัน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราจัดการด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ อาจเพราะส่วนตัวเจอครอบครัวที่ล้มเหลวมามากกว่าที่ประสบความสำเร็จ ก็เลยรู้ว่าชีวิตคู่ไม่ได้เป็นไปตามความฝันแบบเทพนิยายที่จะรักแล้วรักกันตลอดไป ชีวิตมีอะไรมากมายหลายสิ่ง แม้แต่ตัวเองยังควบคุมไม่ได้ แล้วเราจะหวังอะไรกับคู่ชีวิตว่ามันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป ตัวเรายังเปลี่ยน ตัวเขายังเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดเวลา ถ้าวันหนึ่งเขาหมดรัก เขาทิ้งเราไป แล้วถ้าเราฝากชีวิตไว้แล้ว เราจะดึงกลับมายังไง ดังนั้น เราต้องมีชีวิต มีความมั่นคงเป็นของตัวเอง อะไรที่เป็นของเราจริงๆ ที่ต่อให้คนเข้ามาหรือออกไปจากชีวิต เราก็ยังอยู่ได้ เป็นความมั่นคงที่ควบคุมได้

มันคือการระวังตัวหรือเปล่า

        ใช่ค่ะ เราระวังตัวสูงมาก การจะคบใครสักคนคือเราต้องได้ใช้ชีวิตในเส้นที่เราอยากเดินอยู่ เราไม่อยากกระโดดเข้าไปอยู่ในเส้นของเขา เพราะกลัวว่าวันหนึ่งเราจะกลับมาเดินในเส้นของเราไม่ได้ 

ดังนั้น เวลาจะเลือกมีแฟนสักหนึ่งคน คุณก็จะมีกำแพงสูงมาก

        จริงๆ คือทั้งสูงและไม่สูงเลยค่ะ ในจุดหนึ่งการเลือกของเราต้องไม่สูงเพราะเราไม่ได้คาดหวังจากอะไรจากเขา เราเลยเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้เขาผ่านความชอบที่เหมือนๆ กัน ก็เติบโตไปด้วยกันได้ แต่อีกจุดหนึ่งเราก็เลือกเยอะมากเพราะกลัวว่าถ้าตัดสินใจแล้ววันหนึ่งจบไม่สวยเราจะพาตัวเองกลับมาไม่ได้ ซึ่งทั้งสองจุดนี้ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วแต่ช่วงจังหวะชีวิต ที่บางทีก็รู้สึกว่าเดี๋ยวก็เรียนรู้กัน บางทีก็ไม่ แล้วแต่ช่วงที่ความคิดเปลี่ยนไป

ส่วนตัวคุณเป็นคนเชื่อในเรื่องรักนิรันดร์ไหม

        เราแทบไม่เคยเห็นเลยนะ เรารู้สึกว่าในความสัมพันธ์ถ้าวางใจมากๆ มันจะเจ็บหนัก การเผื่อใจไว้ก่อนเลยเจ็บน้อยกว่า

แบบนี้คุณเป็นคนที่กลัวการจะรักใครสักหนึ่งคนไหม

        ไม่เลย ส่วนใหญ่เราเป็นคนลุยก่อนด้วยซ้ำ แต่เราพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ตลอดเวลา เพราะถ้ามันไปกันไม่รอดจริงๆ เราก็ต้องกลับมาเยียวยาตัวเองให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง เราไม่ชอบตอนที่ตัวเองเสียใจฟูมฟาย เพราะมันกระทบเรื่องอื่นในชีวิตไปหมด เราจะให้เวลาตัวเองแค่วันสองวันเท่านั้นสำหรับความเสียใจ แล้วจะต้องฟื้นขึ้นมาให้ได้ เพราะเรามีหน้าที่อย่างอื่นต้องทำอีกเยอะแยะ 

คิดว่าความรักสำคัญกับชีวิตไหม 

        จริงๆ เรื่องความสัมพันธ์เราให้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลย ไม่ใช่แค่คนรักนะคะ รวมไปถึงครอบครัวด้วย แต่อย่างที่บอก ถึงเราจะทุ่มเทกับมันมาก แต่เราต้องมีการตีกรอบสร้างลิมิตเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองล้มด้วย เพื่อให้ชีวิตยังเดินต่อไปข้างหน้าได้ เพราะเราคิดว่าการมีความรักต้องเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามีแล้วไม่ดีก็ไม่มีดีกว่า

ย้อนกลับมาที่ตัวจ๋ายอีกรอบ เห็นว่าในเรื่องจ๋ายมีโกหกพ่อด้วย คุณเองมีมุมมองต่อการโกหกอย่างไรบ้าง

        สำหรับเราอยู่ที่ว่าปัญหานั้นสามารถแก้ได้ด้วยการโกหกหรือเปล่า ถ้าแก้ได้ก็ควรจะทำ แต่ถ้าถามว่ามันดีไม่ดี เราคิดว่าเราบอกไม่ได้เลย เพราะบางสถานการณ์การโกหกก็ดีกว่าจริงๆ คนเรามีทางออกไม่เหมือนกัน บางครั้งอาจต้องโกหกเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ ถึงจะไม่ใช่ทางที่ถูกต้องที่สุด แต่ก็เป็นทางที่ดีที่สุด

 

ฝน ศนันธฉัตร

พอตัวละครจ๋ายเติบโตขึ้น มีมิติและเรื่องราวมากขึ้น คุณจะเห็นจ๋ายในมุมไหนที่แตกต่างไปบ้าง

        จ๋ายในภาคแรกเขาจะโฟกัสแค่ตัวเอง มีความฝันแบบนี้ อยากช่วยแก้ไขปัญหาคนอื่น แต่พอในภาคนี้เป็นเรื่องของตัวเอง จ๋ายกลับแก้ไขเรื่องนี้ไม่ได้ ก็เหมือนกับมนุษย์ทั่วไปนะคะ ที่พอเป็นเราเองปัญหามักจะหนักเหลือเกิน เป็นปัญหาที่ดูใหญ่กว่าของคนอื่นเสมอ

แล้วจ๋ายมีความคล้ายกับตัวคุณเองบ้างไหม

        เหมือนค่ะ จริงๆ แล้วด้วยความเป็นมนุษย์ จ๋ายก็เหมือนกับทุกคนนะ คือถ้าเราเอาตัวเองเป็นจ๋ายก็คงตัดสินใจแบบนั้นเหมือนกัน เวลามีพ่อบังคับหาคู่มาให้ เป็นเราก็คงคว้าใครมาเป็นแฟนเพื่อให้มันรอดตรงนี้ไปก่อน เราก็คงทำเหมือนกัน เพราะบางเรื่องอธิบายยังไงก็ไม่เข้าใจ การโกหกคงเป็นการตัดสินใจที่เหมือนกันของทั้งฝนและจ๋าย

แล้วคุณมีวิธีจัดการปัญหาตัวเองที่คิดว่าใหญ่กว่าคนอื่นในแบบที่จ๋ายเป็นบ้างไหม

        พอเข้าใจว่าปัญหาของเราไม่ได้ใหญ่สำหรับคนอื่น เราก็จะไม่คาดหวังให้เขามาเข้าใจเรื่องของเราเอง อย่างน้อยให้เขาเป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำให้เราคิดต่อ หรืออย่างน้อยเป็นที่รับฟังให้เราก็ดีมากๆ แล้ว ไม่ต้องมาช่วยแก้ไขหรือซาบซึ้งไปกับเราก็ได้ ตัวเราเองต้องเลิกคาดหวังจากเขาด้วย ขนาดเรากับเขายังคิดไม่เหมือนกัน จะหวังให้เขารู้สึกเท่าเราก็เป็นไปไม่ได้

จำเป็นไหมที่ต้องมีที่ปรึกษาเยอะๆ

        ไม่จำเป็นค่ะ เพราะสุดท้ายเราก็ฟังแต่ตัวเองอยู่ดี ถึงเขาแนะนำมาอย่างไร เราก็จะเอาความเห็นตัวเองไปแย้ง ถ้าเป็นแบบนี้ทำไมเราไม่คุยกับตัวเองล่ะ (หัวเราะ) คือต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าเราต้องการอะไรจากที่ปรึกษาเรา การบ่นให้คนอื่นฟังมันแค่ช่วยปล่อยอารมณ์ให้เบาลง แต่มันแก้ปัญหาไม่ได้อยู่แล้ว 

คุณคิดอย่างไรบ้างที่คนสมัยนี้เริ่มไม่ค่อยมีสังคม เริ่มเก็บตัวอยู่ในห้องมากขึ้น 

        เราคิดว่าถ้าเขาเลือกแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนะ เพราะมันก็ไม่ใช่ทุกวันที่เขาจะอยากออกไปเที่ยวและก็ไม่ใช่ทุกวันที่เขาจะอยู่เงียบๆ คนเดียว สำคัญแค่ว่าเขาเลือกจะอยู่แบบนั้นหรือเปล่า ถ้าใช่ เราว่าก็เป็นเรื่องที่ดีนะ คนเราชอบคาดหวังว่าชีวิตจะต้องสนุกสุดขีด ต้องมีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา แต่พอไม่มีก็เริ่มเศร้า เริ่มรู้สึกว่าผิดปกติ ทั้งที่มันเป็นเรื่องปกติของชีวิตเลยนะ การอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องที่แย่ขนาดนั้น สิ่งที่คนส่วนใหญ่มักรู้สึกคือการโหยหาความสนุกกันมากกว่า

แล้วคุณเองมีความสุขกับการอยู่คนเดียวเหงาๆ บ้างไหม

        คือเราอยู่ทั้งในจุดที่สนุกและเงียบเหงาสุดๆ มาตลอด เพราะการเป็นนักแสดงเราได้เจอคนเยอะ เจอประสบการณ์หลากหลาย ทำให้เวลาไปทำงานเราเจอคน 100 คน เราก็คุย 100 เรื่อง สนุกมาก แต่ทำงานเสร็จ กลับมาที่บ้านต้องอยู่คนเดียว ก็เป็นอีกความรู้สึกเลย จริงๆ ตอนแรกก็รู้สึกแย่เหมือนกันนะคะ รู้สึกเคว้งคว้าง โหวงเหวง แต่ก็เริ่มถามตัวเองว่าเราเป็นอะไรกันแน่ คิดแบบนี้อยู่พักหนึ่ง จนได้คำตอบว่าที่เป็นแบบนี้เพราะอารมณ์มันเปลี่ยนกะทันหันเกินไป พอมันแตกต่างกันขนาดนี้เวลาเรากลับมาเงียบก็เลยรู้สึกไม่ชินไปเอง ทั้งที่ความจริงการอยู่คนเดียวที่บ้านหลังเลิกงานก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร

แล้วการได้ทำงานตั้งแต่วัยรุ่น ไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน รู้สึกคว้างคว้างบ้างไหม ที่เราไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วไป

        ไม่เลย เพราะรู้สึกว่านี่คือทางที่เลือกแล้ว และมันก็ไม่ได้แย่หรือทำให้เราเสียโอกาส เราโตเร็วกว่าเพื่อน ทุกวันนี้บริหารเวลาเองได้ เราจัดการชีวิตได้ไว ว่านี่คืองาน นี่คือพักผ่อน กลายเป็นว่าดีกว่าเดิมอีก เพราะเพื่อนเราที่เพิ่งเริ่มทำงานก็ชอบบ่นกันว่าจัดการบริหารเวลาไม่ได้ ซึ่งตรงนี้เราทำได้ก่อนแล้วตั้งแต่วัยรุ่น

แต่ในช่วงแรกที่คุณเป็นนักแสดงมือใหม่ ก็เริ่มจากศูนย์เหมือนกัน ช่วงนั้นหนักหนาสาหัสไหม

        เหนื่อยมากค่ะ แต่หนูจะมองเป็นเรื่องดีมากกว่าที่ได้ลองทำตอนอายุยังน้อย เพราะเราลองผิดลองถูกได้ ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ชอบก็จะได้หาทางใหม่ เราได้เริ่มลองแล้วก็เจอสิ่งที่เรารักเร็วกว่าคนอื่น บางทีคนอื่นทำงาน 10 ปียังไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร รักอะไร เราให้ความสำคัญกับตรงนี้ดีกว่า เพราะย้อนกลับไปตอนแรกเราเลือกที่จะเหนื่อยแบบนี้เอง ไม่ได้มีใครบังคับเรา

ทุกวันนี้มีช่วงเวลาที่ทำตัวเหลวไหลไม่สนใจสิ่งรอบข้างบ้างไหม 

        มีค่ะ แต่ก็จะเป็นความเหลวไหลแบบจัดการเวลา สมมติเรามีตารางว่าง 4 วันก่อนจะต้องรับมีงาน เราก็จัดแพลนไว้เลยว่า 4 วันนี้จะปล่อยตัวตามใจ คือจะบอกว่าปล่อยตัวจริงๆ ก็ไม่ได้หรอก เพราะเราก็อยู่ในตารางนั่นแหละ แต่ในตารางมันคือช่วงเวลาปล่อยตัวของเรา เราคิดว่าคนเราต้องผ่อนคลายบ้าง ชีวิตที่ทำงานตลอดเวลามันคือตายเปล่าค่ะ เหมือนทำงานเก็บตังค์เพื่อรอเวลาไปรักษาตัวเองตอนแก่ พอจะตายก็เสียดายชีวิต

แล้วช่วงที่ปล่อยตัว รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าบ้างไหม

        มีค่ะ เพราะด้วยความที่เราทำงานตั้งแต่เด็ก ในหัวก็จะมีแต่เรื่องงาน แต่พอในวันที่เดือนนี้ไม่มีงาน คิวงานยังไม่ออก เราก็จะรู็สึกว่า ถ้าเราไม่ทำงานชีวิตก็ไม่มีค่าเลย มีความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะงานเราเหมือนฟรีแลนซ์ ต้องรอโอกาสเข้ามา เลยคิดว่าเอาเวลาที่ฟุ้งซ่านไปทำอย่างอื่นดีกว่า ไปทำอะไรที่เพิ่มคุณค่าให้กับชีวิต อะไรแบบนั้น

 

ฝน ศนันธฉัตร

จะหงุดหงิดไหม ถ้าต้องใช้ชีวิตที่ไม่มีแผน ปล่อยตัวว่างไปวันๆ 

        หงุดหงิดมากค่ะ ด้วยนิสัยแล้วเราคงใช้ชีวิตแบบปล่อยตัวจริงๆ ไม่ได้ (หัวเราะ) แต่ที่หงุดหงิดคือเวลาทำงานร่วมกับคนอื่นแล้วเขาทำให้ตารางเราไม่ชัดเจน เช่น จะไปออกอีเวนต์งานหนึ่ง เขาก็บอกให้เราหาชุดไว้ เราส่งรูปชุดไปให้เขาคอนเฟิร์ม แต่เขาก็ไม่คอนเฟิร์มสักที เราก็หงุดหงิดมากว่าต้องรออะไร ทำไมไม่ตัดสินใจสักที คือมันทำให้เราทำอย่างอื่นไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันยังไม่จบ ยังจัดการตารางชีวิตนี้ไม่ได้ 

แบบนี้คุณจะมีปัญหากับคนที่ชอบตัดสินใจทำนองว่า อะไรก็ได้ตามใจเธอ แบบนี้บ้างไหม

        ไม่เป็นปัญหาเลยค่ะ แต่ขอให้พูดแล้วเป็นอย่างที่พูดจริง เช่น ถ้าคุณเป็นคนบอกว่าอะไรก็ได้ ถ้าเราเลือกแล้ว คุณก็ต้องห้ามอิดออดนะ แต่บางทีก็เข้าใจเขาว่าอาจจะมีบางอย่างทำให้เขาตัดสินใจไม่ได้ ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้ากับเราแล้ว ถ้าคุณยังไม่พร้อม ยังให้คำตอบอะไรไม่ได้ ก็ยังไม่ต้องถาม เพราะเราจะหงุดหงิดมาก (หัวเราะ)

กับการทำงาน คุณเข้มงวดขนาดนี้เลยไหม

        สิ่งที่เข้มงวดไม่ใช่เวลาค่ะ แต่เป็นตัวเองที่เตรียมความพร้อม เช่น ถ้าเราว่าพรุ่งนี้จะมีงานเข้า เราจะไปเที่ยวกลางคืนไม่ได้ ต้องอ่านบทนะ ต้องเตรียมตัวให้พร้อม แต่พอไปถึงกองถ่ายหน้างาน คือเรารู้อยู่แล้วว่านี่คือความไม่แน่นอน เราจะหวังให้เวลาเป๊ะไม่ได้ บทรับส่งกับนักแสดงคนอื่นจะเป๊ะไม่ได้ เพราะในกองถ่ายมีตัวแปรอะไรหลายอย่างให้ต้องปรับเปลี่ยนเสมอ ดังนั้น เวลาทำงานจริงคือเราต้องพร้อมมาก่อนเพื่อรับมือกับความไม่พร้อมที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ถ้ากองถ่ายเลตมากๆ เราไม่หงุดหงิดนะ เราเข้าใจกระบวนการของการทำงาน ถ้ามันต้องเลตเพื่อให้งานดีขึ้นก็ต้องก็ต้องช่วยเหลือกันไป 

แล้วถ้าให้ไปทำงานกับกองที่มีความเป๊ะ ไม่ยืดหยุ่น จะรู้สึกดีกว่าไหม

        ดีกว่าค่ะ แต่เรามองว่าเป็นกำไรมากกว่า เพราะอย่างที่บอก เราไม่ได้รู้สึกแย่กับการทำงานแบบยืดหยุ่น เราเข้าใจวิธีการแบบนั้น แต่ถ้าได้เจอกองถ่ายที่มีประสิทธิภาพมากๆ ก็จะถือเป็นกำไรมากกว่า

เท่าที่ฟังมาเหมือนกับว่าทุกวันนี้คุณก็จัดการชีวิตได้ดีมากแล้วทั้งการทำงาน เวลา และแนวคิด ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองยังมีอีกหลายสิ่งต้องพัฒนาอยู่

        เพราะว่าเราอยากค้นหาคุณค่าในตัวเองต่อไปเรื่อยๆ อยากทำอะไรที่เราจะภูมิใจมากที่ได้ทำ เรายังอยากรู้ว่าในหนึ่งชีวิตเราทำอะไรได้บ้าง แล้วทั้งหมดนี้จะดีกับเราอย่างไร เรื่องนี้มองแค่ตัวเองอย่างเดียวเลย ไม่ได้เอาไปเทียบกับใครว่าสูงหรือด้อยกว่า แค่เราอยากทำอะไรให้ตัวเองค่ะ มีอะไรหลายอย่างที่เรายังไม่เคยทำก็เลยอยากทดลอง ได้เกิดเป็นมนุษย์หนึ่งครั้งก็อยากลองทำอะไรหลายๆ อย่าง

ตอนนี้มีอะไรที่อยากทำอีกไหม

        อยากเป็นนักพูดค่ะ แต่จริงๆ ไม่ได้มีไอเดียที่อยากเล่าให้ใครฟังนะคะ แค่อยากเล่าเรื่องราวต่างๆ ในมุมของตัวเองให้คนอื่นฟังบ้าง อีกอย่างคืออยากมีห้องสมุดใหญ่ๆ เป็นของตัวเอง อยากอ่านหนังสือ อยากร้องเพลง อยากทำหนัง อยากกินอาหารทั่วโลก แต่เราไม่ได้คิดว่าจะต้องเก่งและทำได้ดีนะ แค่อยากทดลองทำทุกอย่างให้หมดมากกว่า 

เหมือนกับว่าคุณเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมากเลยใช่ไหม

        เป็นสิ่งที่เราดำดิ่งไปกับมันค่ะ มันเข้ามาในตัวเรา เรื่องที่เขาเล่าก็มานั่งจินตนาการบ้าง นั่งคิดกับตัวเองบ้าง มันชอบวนไปวนมาในหัวเรา ไม่ได้อ่านมาแล้วผ่านไป เหมือนเราได้ยืมสมองคนเขียนมาอยู่กับเราวันหนึ่ง ได้เอาประสบการณ์ของเขามาอยู่กับเรา ทำให้เราสัมผัสเรื่องราวใหม่ๆ ได้เลยแบบไม่ต้องออกไปข้างนอกด้วยซ้ำ

เคยอยากทำงานเกี่ยวกับหนังสือบ้างไหม

        อยากมากค่ะ อยากทำงานในห้องสมุด  เขียนกลอนประกวด เราเป็นคนชอบงานอ่านงานเขียนมันคือชีวิตเราตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เราแยกขาดออกจากมันไม่ได้ มันคือความสุข แม้กระทั่งการอ่านบทซ้ำๆ หรือหนังสือสอบ ก็เป็นความสุขของเรา เราชอบที่จะอ่านพวกนี้ ต่างกันแค่เรื่องราวที่อ่านจะเป็นอะไรเท่านั้นเอง

อยากเขียนหนังสือไหม

        เราคิดทุกวัน วันละ 3 รอบ (หัวเราะ) แต่ดูเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะด้วยความที่เราเป็นดารา เป็นคนสาธารณะ การแสดงความคิดเห็นออกไปก็มีปัญหาเหมือนกันนะ โดยเฉพาะในหลายเรื่องที่เปราะบาง ดังนั้น ถ้าจะเขียนจริงๆ ก็คงต้องดูก่อนว่าจะเขียนเรื่องอะไรได้บ้าง รวมไปถึงถามผู้จัดการส่วนตัวด้วยว่าเราเขียนได้ไหม 

 


Bikeman 2