สงวน คุ้มรุ่งโรจน์

สงวน คุ้มรุ่งโรจน์ | ขุดคุ้ยประวัติศาสตร์ผ่านคำบอกเล่าของนักข่าวลูกจีนผู้หลงใหลในชื่อแซ่และต้นตระกูล

ชื่อของ สงวน คุ้มรุ่งโรจน์ อาจไม่เป็นที่คุ้นหูคนทั่วไป แต่คนในแวดวงข่าว คนการเมือง และบรรดาแอคติวิสต์ทั้งหลายต่างรู้จักเขาเป็นอย่างดี และมักเรียกขานเขาอย่างสนิทสนมว่า ‘เฮียหงวน’

     สงวนเป็นอดีตนักข่าวต่างประเทศที่เกษียณจากงานประจำแล้ว แต่ยังไม่ละทิ้งจิตวิญญาณคนข่าว ปัจจุบันเขาได้ใช้พื้นที่บนเพจเฟซบุ๊กของตัวเองในการเผยแพร่ข่าวสารต่างๆ ในนาม ‘สำนักข่าวหงวน จัดให้’ ที่มีลีลาการเล่าข่าวอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ คือเขามักจะวงเล็บต่อท้ายด้วยแซ่ของคนในข่าว

     นิสัยชอบขุดคุ้ยไปถึงต้นตระกูลเพื่อนำมาเขียนลงในข่าว ทำให้เขาผูกมิตรกับใครต่อใครได้ง่าย ขณะเดียวกันก็ได้สร้างความขุ่นเคืองใจให้คนอื่นไม่น้อยเลย โดยเฉพาะคนใหญ่คนโตในหน้าการเมืองไทย โดนด่ากลับมาก็บ่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวจนเลิกใส่ใจรายละเอียดเหล่านั้นไปได้

     เพราะอะไรเขาถึงหลงใหลในชื่อแซ่และต้นตระกูลของใครต่อใครเหลือเกิน? มันมีความสำคัญต่อการทำข่าวมากน้อยแค่ไหน? เรื่องราวจากความทรงจำในฐานะลูกหลานชาวจีนอพยพที่เกิดย่านสำเพ็ง ครอบครัวของเขา รวมทั้งประสบการณ์ระหว่างการทำงานและการตกผลึกทางความคิดหลังจากใช้ชีวิตนักข่าวกว่า 40 ปีที่ผ่านมาจะช่วยทำให้เราเข้าใจเขามากขึ้น

 

สงวน คุ้มรุ่งโรจน์

 

ทำไมในการรายงานข่าวหลายๆ ครั้งคุณมักจะใส่วงเล็บข้างหลังชื่อของบรรดานักการเมืองด้วยแซ่ต่างๆ ที่ชี้ให้เห็นว่าเขาเป็นคนจีนจากตระกูลไหน

     มันคงเป็นความชอบส่วนตัวมากกว่าน่ะ เราชอบคุยกับคน ชอบถามว่าชื่ออะไร แซ่อะไร เติบโตมาแบบไหน ชอบกินอะไร พูดจีนได้หรือเปล่า แล้วภาษาอื่นล่ะ เป็นคนอย่างนี้ พอมาทำอาชีพนักข่าวเราก็เลยสนใจสิ่งนี้ด้วย เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยเริ่มต้นชีวิตนักข่าว ทีนี้พอผ่านเวลาไปยี่สิบสามสิบปี บางคนที่เคยคุยกันก็กลายไปเป็นรัฐมนตรีขึ้นมาก็มีมากมาย บางครั้งเราเห็นหน้าเราก็อ้าว เพื่อนเรานี่หว่า เวลาต้องไปทำข่าวพวกเขา เราก็จะชอบกลับไปค้นประวัติเก่าๆ ของเขามาเขียนประกอบลงไปด้วย เช่นเป็นคนแต้จิ๋ว เป็นไหหลำ เกิดที่เมืองไทยแต่ครั้งหนึ่งก็เคยไปมีประสบการณ์เป็นคอมมิวนิสต์ที่จีนนะ อะไรแบบนี้

     การทำข่าวของเราก็เลยต่างจากคนทำข่าวหลายๆ คนในปัจจุบันที่ไม่ได้สนใจในรายละเอียดพวกนี้มากนัก ส่วนนักการเมืองบางคน โดยเฉพาะคนใหญ่คนโตที่เขาอาจจะรู้สึกว่าตัวเองโดนขุด ก็เลยจะมีไม่พอใจบ้าง เราก็จะโดนด่าบ้าง (หัวเราะ) แล้วสมัยก่อนเวลาทำข่าว นิสัยอีกอย่างหนึ่งที่เราจะชอบมากๆ เลยก็คือเราชอบไปวัด ไปลอกชื่อจีนกับชื่อไทยของบรรดานักการเมืองต่างๆ มีรองปลัดฯ คนหนึ่งหน้าจีนเลยแต่ไม่ยอมบอกว่าแซ่อะไร พอเราไปงานกงเต๊กก็เราเลยรู้ว่าเขามีชื่อจีนว่าอะไร

 

การได้รู้จักชื่อจีนรู้จักต้นตระกูลของพวกเขา มันมีความสำคัญต่อการทำข่าวมากน้อยแค่ไหน

     มันสนุก เพราะบางคนเขามีบรรพบุรุษเป็นขุนนางในประวัติศาสตร์ หรืออาจจะเคยอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์ด้วยนะ เส้นทางการอพยพของพวกเขาที่คดเคี้ยวเหมือนการเลื้อยของมังกร สี่พันถึงห้าพันกิโลเมตรกว่าจะมาถึงตรงนี้ มันก็เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจอย่างหนึ่งในสายตาเรา

     อย่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลเวชชาชีวะ ต้นตระกูลเขามาจากฮากกา (จีนแคะ) ที่อพยพข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่เวียดนาม แล้วเวียดนามก็ไล่คนจีนมาอยู่จันทบุรี จากนั้นก็แตกไปทางปราจีนบุรีกับนนทบุรี ยิ่งสืบไปนี่ยิ่งรู้ว่าคนการเมืองหลายๆ คนที่เราเห็นหน้าค่าตากันอยู่ทุกวันนี้ก็มีบรรพบุรุษเป็นคนจีนทั้งนั้น แถมนักการเมืองไทยที่มาเปิดศึกทะเลาะกันนี่สืบไปสืบมากลายเป็นการต่อสู้ระหว่างจีนภูมิภาคนู้นนี้ ลูกครึ่งจีนทั้งนั้น แต่เดี๋ยวนี้เราไม่เรียกว่าลูกครึ่งแล้ว เราเรียกเขาว่าคนไทย คำว่าลูกครึ่งกลายเป็นคำที่ใช้กับคนที่มีเชื้อสายฝรั่ง

     ถามว่าสำคัญในแง่ไหน มันคงเหมือนกับการที่เราได้รู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของพวกเรา ถ้าเอ่ยชื่ออยุธยา หลายๆ คนจะชอบนึกว่าเป็นแผ่นดินของคนไทยแท้ แต่เราเคยไปช่วยคนญี่ปุ่นทำวิจัยจึงพบว่า จริงๆ แล้วอยุธยาเป็นเมืองของคนจีนแคะ มีคนเชื้อสายจีนแคะมากถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะ

 

ทั้งๆ ที่เป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินไทยเรา แต่กลายเป็นว่าคนต่างประเทศกลับรู้เรื่องราวพวกนี้มากกว่า

     ใช่ คนต่างประเทศให้ความสนใจมากนะ แต่คนไทยกลับมองไม่ให้ความสำคัญ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชยังเคยเขียนไว้ว่า แกงเป็ดใบหอมกับหนังแหนมหมูที่กินกันในวังนั้นมาจากเวียดนาม เพราะในวังมีเชื้อสายเวียดนามนะครับ พอเราไม่สนใจเรื่องพวกนี้เราจึงไม่รู้ว่าอาหารหลายต่อหลายอย่างที่เราคิดว่าเป็นอาหารไทยแท้ ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย ผัดไทยก็เป็นของคนจีนฮากกา กะปิก็เป็นของคนจีนไหหลำ ส่วนห่อหมกนี่นำเข้าจากเขมรนะ

 

สงวน คุ้มรุ่งโรจน์

 

ในการรายงานข่าวของคุณ บางครั้งคุณก็เอ่ยคำนำหน้าชื่อคนนั้นคนนี้ว่า ‘เจ๊ก’ อยากรู้ว่าคุณคิดเห็นกับคำๆ นี้อย่างไร

     ก็ลองไปถามดูว่าอาม่าอากงเขาถือบัตรต่างด้าวหรือเปล่า บางทีนักการเมืองพวกนี้เขาก็ชอบไปดูถูกคนต่างด้าวเหมือนกันไง เวลาที่เราเขียนนามสกุลเราก็เลยชอบวงเล็บแซ่เก่า หรือเรียกขานเขาแบบนี้บ้าง เพื่อไม่ให้ลืมว่าจริงๆ แล้วบรรพบุรุษเขาครั้งหนึ่งก็เคยตกอยู่ในสถานะคนต่างด้าวเหมือนกัน บางคนนี่ถึงขั้นไม่รู้ด้วยนะว่าจริงๆ แล้วต้นตระกูลตัวเองมาจากแซ่อะไรกัน แต่ก่อนสมัยเราอยู่โรงเรียนก็โดนล้อชื่อพ่อแม่นะ โดยเฉพาะโรงเรียนจีน สมัยก่อนนายอำเภอจะฟังคำจีนไม่ชัด ก็เลยสะกดชื่อผิด การเป็นลูกจีนเมื่อก่อนเป็นเรื่องซีเรียสมาก ลูกญวณก็เหมือนกัน แต่ลูกฝรั่งนี่ไม่เป็นไร

 

อยากให้ช่วยเล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของลูกหลานคนจีนในสมัยที่คุณยังเป็นเด็กให้ฟัง

     เราเกิดที่สำเพ็งในครอบครัวแซ่เล้า ถ้าเป็นภาษาจีนกลางคือแซ่หลิว เหมือนหลิวเต๋อหัวน่ะ (หัวเราะ) ส่วนชื่อจีนของเราคือ หลิว เจิ้น ถิง เกิดปี 2498 หรือในยุคของจอมพลสฤษดิ์ครองเมือง ถ้าเทียบอายุปีนี้ก็ 63 พอดี เยาวราชสมัยที่เราเกิดมีรถรางด้วย แล้วแถวนี้นะมีแต่คนจีนทั้งนั้น ส่วนใหญ่เป็นจับกังซะเยอะ ตอนนั้นภาษาจีนเป็นของต้องห้ามเลย ครูไทยกับครูจีนก็ไม่ถูกกัน

     เราเรียนอยู่ที่โรงเรียนเลิศศิลป์พิทยา ตอนนั้นภาษาไทยเราห่วยมาก แต่ภาษาจีนนี่ที่หนึ่งเลยนะ เพราะครอบครัวเราพูดภาษาจีนกันทั้งบ้านเลย สมัยนั้นกรุงเทพฯ มีโรงเรียนจีนถึงสองสามร้อยแห่งเลย แต่ตอนนี้ปิดตัวไปเยอะไม่รู้เหลืออยู่เท่าไหร่

     อาคารเก่าๆ ที่เราเดินผ่านมาพวกนี้มันก็คืออาคารจากสมัยนั้น คล้ายอาคารที่เขมร-โปรตุเกส หรืออาคารในไซ่ง่อน ข้างหลังมีศาลเจ้าอาม้าเก็ง ซึ่งสมัยนั้นเป็นที่อยู่ของมาเฟีย มีบ่อน มีโรงฝิ่นอยู่เต็มไปหมด แล้วเยาวราชในความทรงจำอีกอย่างหนึ่งก็คือการเป็นถนนฮอลลีวูดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นี่มีโรงหนังประมาณ 20 โรง อากงยังชอบพาเรามาดูหนังวันละเรื่อง แต่ตอนนี้ปิดตัวกลายเป็นที่จอดรถไปจนหมดแล้ว

 

เมื่อก่อนพ่อแม่ของคุณทำอาชีพอะไรกัน

     ตอนนั้นต้องถือว่ายากจนมากนะ แต่ก่อนทั้งพ่อเราและอากงรับจ้างเป็นช่างไม้ แต่ทั้งๆ ที่เป็นแค่ช่างแต่พ่อเราก็โกหกเขาว่าเป็นสถาปนิก (หัวเราะ) คือคนจีนชอบโอ้อวดไง กลัวแพ้ กลัวอะไรต่างๆ มากมาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือเขาดีทีเดียว เวลาใครอยากสร้างบ้านหรือต่อเติมอาคารก็มักจะเรียกหา ส่วนแม่เราขายก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ อาศัยอยู่ในซอยแคบๆ อาจจะบอกว่าเป็นสลัมก็ได้ อาหารประจำบ้านเรานี่คือข้าวต้มใส่แค่เกลือ โรยปาท่องโก๋ชิ้นเล็กๆ แค่นั้นก็อิ่มแล้ว

     บ้านเราอยู่ใกล้ท่าน้ำ จำได้ว่าซอยคับแคบมากแล้วทุกคนก็จนมาก อยู่อาศัยกันเหมือนสลัมคลองเตยแบบนั้นเลย แล้วเอกลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของชุมชนชาวจีนคือแต่ละที่เขาจะตั้งชื่อของเขา แม้กระทั่งซอยเล็กๆ ก็จะมีชื่อของชุมชนตัวเอง ในวัยที่กำลังเติบโตเราได้เห็นการกวาดล้างคอมมิวนิสต์ที่ทำให้เวลาคนจีนจะพูดอะไรกันก็ต้องกระซิบกัน ต้องคอยบอกว่า “จุ๊ๆ อย่าเอ็ดออกไป” ต้องสงบเสงี่ยมเข้าไว้ พ่อแม่จะบอกเราเสมอว่าต้องเคารพกฎหมายนะ ห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เราก็เชื่อ

     แล้วพวกเราคนจีนก็จะแบ่งแยกกับคนไทย ตอนนั้นไม่ชอบคนไทย เกลียดเลยแหละ โดยเฉพาะในสังคมที่อยู่กันแค่ในซอยเล็กๆ อย่างนี้ ความคิดความอ่านเลยคับแคบเหมือนอยู่ในกะลา

 

แล้วพี่น้องของคุณล่ะ

     ครอบครัวเรามีพี่น้อง 5 คน เราเป็นคนโตสุดของบ้าน ตอนนั้นน้องชายเราอยู่ที่เยอรมนี เขาก็จะมีความคิดแบบคนฝรั่งที่ไม่ค่อยชอบคนจีนนะ แต่กว่าพวกเราจะได้เปลี่ยนจากแซ่เป็นนามสกุลก็อายุปาเข้าไปเกือบ 20 กันแล้วล่ะ (หัวเราะ) เขาไม่ได้ห้ามคนจีนเปลี่ยนนามสกุลนะ แต่หากจะเปลี่ยนต้องเสียเงิน เวลาเปลี่ยนก็ต้องไปขอพระ ส่วนพวกทหารตำรวจมักจะฝากให้บุรุษไปรษณีย์ไปเปลี่ยนนามสกุลให้ นักการเมือง นักธุรกิจรุ่นใหญ่หลายๆ คนที่เห็นชื่อและนามสกุลเป็นภาษาไทย จริงๆ แล้วมีเชื้อสายจีนทั้งนั้น แต่ยุคหนึ่งเขาพยายามปฏิเสธกันนะว่าไม่ใช่ คงเพราะกลัวไม่ได้อยู่ในสังคมคนชั้นสูง

     ถึงจะยากจนแต่พี่น้องทุกคนก็ได้เรียนหนังสือ ด้วยความที่บ้านค่อนข้างหัวโบราณก็เลยจะโดนบังคับให้เรียนภาษาจีนภาคค่ำด้วย เรียนตั้งแต่สี่ห้าโมงจนถึงทุ่มหนึ่ง ตอนนั้นเขานิยมเรียนภาษาจีนตอนภาคค่ำเพราะกลางวันจะต้องทำงาน แล้วในที่สุดเราก็ได้ทุนเรียนฟรีจากรัฐบาลก๊กมินตั๋งให้ไปเรียนต่อที่ไต้หวัน

 

สงวน คุ้มรุ่งโรจน์

 

ไปเรียนต่อเพราะใฝ่รู้ใฝ่เรียนหรือเพราะอยากรวมกลุ่มกับพวกก๊กมินตั๋ง

     เราอยากเรียนภาษาจีน เพราะเราไม่เก่งภาษาไทย แล้วก็ไม่ได้รู้จักความเป็นไทยเอาซะเลย รู้แต่ว่าคนจีนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทย อย่าไปยุ่งการเมือง อย่าไปยุ่งเรื่องของชาวบ้าน เดี๋ยวจะเดือดร้อนกันหมด นี่คือสิ่งที่พ่อเราสอนมาตลอด แล้วเราก็เป็นคนที่อนุรักษ์วัฒนธรรมจีน เขาบอกว่าห้ามเอานิ้วไปชี้พระจันทร์เพราะเดี๋ยวหูจะขาดนะ เราก็ไม่กล้าเอานิ้วไปชี้ เราเชื่อแบบฝังหัวทุกอย่าง เจอศาลเจ้าที่ไหนก็ต้องยกมือไหว้ไปทุกที่ กลัวอะไรก็ยังไม่รู้เลย ตอนเป็นนักข่าวอายุเลย 40 เข้าไปแล้วก็ยังคงเชื่อแบบนั้นอยู่

     เราโดนโปรยคำหวานจนทำให้มองไม่เห็นอีกด้าน ยิ่งเอาเรื่องลูกจีนรักชาติมาพูดเราก็ยิ่งเชื่อ เราคิดว่าเราเป็นบรูซลีเลยนะ เหมือนสมัยที่เราเรียนอยู่ไต้หวัน ได้เห็นหนังบรูซลีที่ต่อต้านญี่ปุ่น มีฉากเตะคนญี่ปุ่น แล้วทุกคนลุกขึ้นมายืนปรบมือในโรงหนังด้วยความเฮโลสะใจ เราก็เอากับเขาด้วย หนังที่เข้าฉายเป็นหนังที่ใส่อุดมการณ์ชาตินิยมกันหมดเลย แล้วคนไต้หวันรักหนังชอบดูหนังกันมา คนก็ยิ่งมีอีโมชันกับเรื่องนี้เข้าไปใหญ่ เราก็รักชาติ แต่ชาติที่เราหมายถึงคือเมืองจีนสมัยก๊กมินตั๋งนะ พอเจอสถานการณ์ทางการเมืองในไทยที่ปลุกระดมด้วยการใช้คำว่าลูกจีนรักชาติ เราเคลิ้มตามเลย

 

จุดเปลี่ยนทางความคิดของคุณเกิดขึ้นตอนไหน

     มันมาเริ่มเปลี่ยนตอนเราออกไปชุมนุมเฮโลไปกับพวกเขา บ่อยๆ เข้าแล้วเรารู้สึกว่า ทำไมเขาถึงพูดแล้วพูดอีก ไม่จบสิ้นสักที เหมือนพาออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพอมาดูข่าวในสื่อ เฮ้ย เขาทำชิ้นเดียวกับเรา แต่เขาเขียนไม่เหมือนสิ่งที่เราเห็นมาเลยนะ พอเราเขียนต่างเรากลายเป็นเป้าหมายที่ถูกสื่อด้วยกันโจมตีใส่ร้าย เพราะเขาตีความว่าเราไม่ได้เห็นด้วยกับเขา เราไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับเขา เคยโดนกระทั่งข่มขู่กันเลยก็มี

 

การกุข่าวการเขียนข่าวเท็จเพื่อใส่ร้ายป้ายสีทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแตกต่างจากเมื่อก่อนมากน้อยแค่ไหน

     ตอนนั้นเรากลับมาเริ่มต้นอาชีพนักข่าวช่วง 2519 เนอะ พอมาเปรียบเทียบกับปัจจุบันแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่เหมือนกันซะทีเดียว มีบางอย่างที่แตกต่างไป เมื่อก่อนมีการสร้างข่าวเท็จแล้วคนเชื่อได้ง่ายกว่านี้เยอะ ช่างภาพสามารถสร้างภาพข่าวได้ง่าย เรียกได้ว่ากำกับคนให้ถือนู่นถือนี่ได้เลย เพื่อเอาไปโกหกคน สร้างเรื่องว่าคนกลุ่มนี้เป็นแบบนั้น คนกลุ่มนั้นเป็นแบบนี้ ยกตัวอย่างเช่นให้ชาวบ้านแต่งตัวเป็นเขมรแล้วขายภาพให้หนังสือพิมพ์บางหัวเอาไปทำข่าว มันเป็นแบบนั้นเลยนะ

 

สงวน คุ้มรุ่งโรจน์

 

สิ่งใดที่หล่อหลอมให้คุณทนไม่ได้กับความไม่ยุติธรรม

     เราชอบอ่านหนังสือ แล้วอาชีพนักข่าวก็ทำให้เราได้เป็นแบ็กแพ็กเกอร์เดินทางมากว่า 70 ประเทศ เรียกได้ว่าทุกทวีปทั่วโลกเลย เราก็ได้เห็นว่าหลายๆ ประเทศในโลกมีประชาชนเป็นตัวยืน ประชาชนคือผู้บริสุทธิ์ แต่สิ่งที่ทำให้ไม่เท่าเทียมกันคือชนชั้นผู้ปกครอง ที่เราคิดแบบนี้ก็อาจเป็นเพราะว่าเราเกิดมาท่ามกลางความยากจน จึงมีความฝันตั้งแต่สมัยหนุ่มว่าสังคมต้องเป็นธรรม อยากให้เฉลี่ยคนส่วนใหญ่ไปในทางร่ำรวยขึ้น ไม่ใช่รวยเพราะฉวยโอกาสแบบในบ้านเรา

     หัวหน้าเราสมัยที่เคยทำอยู่หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นยังเคยถามเราว่า รู้มั้ยทำไมคนไทยประเภทเจ้าสัวถึงร่ำรวยกว่านักธุรกิจชั้นนำของญี่ปุ่น ก็เพราะว่าญี่ปุ่นเขารู้จักพอ เขามีกองทุนช่วยเหลือ ไม่ใช่จ้องแต่ขยายแล้วฮุบทุกกิจการเป็นของตัวเองเหมือนคนไทยไง

 

ใน 70 กว่าประเทศที่ได้เดินทางไป ประเทศไหนที่เปิดโลกคุณมากที่สุด

     มีเยอะเลย เช่น เราไปที่มอนติคาร์โล แล้วเราข้ามถนนไม่ดูไฟแดง ปรากฏว่าเรากลายเป็นตัวตลกไปเลยนะ มีอยู่ครั้งหนึ่งเรายังเคยถูกจับที่มัลดีฟเพราะถ่ายรูปพระราชวัง จริงๆ เราไม่ได้ตั้งใจถ่ายนะ เราจะถ่ายโลโก้สิงคโปร์แอร์ไลน์ เพราะตอนนั้นเราทำงานอยู่หนังสือพิมพ์สิงคโปร์พอดี แต่ไม่รู้ว่าภาพที่เราถ่ายติดไปเป็นพระราชวัง เขาก็เลยเข้ามาจับเพราะเขาสงสัยว่าเราถ่ายไปทำไม

     แล้วนอกจากอาชีพนักข่าว เราก็เคยทำอาชีพอื่นๆ อย่างเล่นหนัง เขียนบท สอนหนังสือ เป็นไกด์ ชีวิตเราอยู่กับความเสี่ยง อยู่ท่ามกลางอันตรายที่ไม่อันตรายน่ะ

     โอกาสมากมายในชีวิตทำให้ตอนนี้เราพูดไทย อังกฤษ จีนกลาง กวางตุ้ง แต้จิ๋ว แล้วก็ฮกเกี้ยนได้คล่อง ส่วนที่พอพูดได้ก็คือภาษาญี่ปุ่น เวียดนาม เกาหลี การรู้ภาษาเยอะมันเป็นกำไรมาก ได้พบได้คุยกับคนใหม่ๆ มากมาย การได้พบโลกกว้างอย่างนี้ทำให้เราประมาณตน เลิกดูถูกคนอื่น กินอาหารได้ทุกอย่าง และอยู่ได้โดยไม่ออกไปโต้แย้งว่าโขนเป็นของเขมรหรือของไทย

     เราชอบความหลากหลายจับฉ่ายแบบมาเลเซีย แม้กระทั่งอินโดนีเซีย คนจีนกับแขกสามารถอยู่ร่วมกันได้ ถ้าถามว่าของเราอยู่ได้มั้ย มันก็ได้แต่ได้แบบไม่มีสีสันเท่าไหร่ เพราะอะไรๆ ก็เอาแต่อ้างความเป็นไทย แล้วมันคืออะไร แม้แต่คนไทยก็ยังไม่รู้กันเลย

 

จริงๆ แล้วเมืองไทยน่าอยู่มั้ยสำหรับคุณ

     สมัยก่อนน่าอยู่กว่านี้ เราอยู่กันแบบไม่ต้องปิดประตูก็รู้สึกปลอดภัย รถเมล์ก็มีวิ่งแทบทั้งคืน สิบปีที่แล้วตอนตีหนึ่งตีสองยังมีรถเมล์วิ่งอยู่เลย เดี๋ยวนี้สามทุ่มก็หมดแล้วเนอะ สมัยก่อนให้ออกไปสวนลุมตอนตีสามตีสี่เราไปตลอด เดี๋ยวนี้จ้างให้เราก็ไม่ยอมตื่นไปหรอก มันไม่มีความหมาย ไม่ได้เป็นชุมชนที่รักใคร่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างแต่ก่อนอีกแล้ว ตอนหลังบางกลุ่มเข้าไปทำให้กลายเป็นพื้นที่ของการเมืองการชุมนุมไปเลย

     สำหรับผมถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว ผมคิดถึงสวนลุมในวันที่มีกินรีนาวาเป็นภัตตาคารใหญ่ มีเอื้อ สุนทรสนาน ตั้งสโมสรลีลาศที่มีชื่อเสียงจนติดอันดับในภูมิภาคนี้ ทุกคนต้องไปฝึก ไปเต้นกันที่นั่น นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย