ค่ำคืนวันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน 2562 อาจเป็นเพียงช่วงยามสิ้นสุดของวันในต้นสัปดาห์ที่แสนปกติของใครหลายคน แต่กับ ‘แสตมป์’ – อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข นี่คือคืนที่เขาตื่นเต้นที่สุดคืนหนึ่งในชีวิต
หลังจากโพสต์อินสตาแกรมในช่วงเช้าว่า ‘มีข่าวที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิตมาบอก’ และในคืนนั้นเอง แสตมป์ก็เฉลยให้แฟนเพลงที่ติดตามอยู่ได้ทราบว่า เขาได้เซ็นสัญญาออกอัลบั้มกับค่ายเพลงในญี่ปุ่นอย่าง TOY’S FACTORY เรียบร้อยแล้ว ความพิเศษยิ่งไปกว่านั้นคือนี่เป็นค่ายเพลงในฝันที่มีศิลปินญี่ปุ่นที่เขาชื่นชอบมากมาย ทั้ง BABYMETAL, Sekai no Owari, Five New Old หรือวงรุ่นใหญ่อย่าง Mr.Children และ YUZU
ยิ่งไปกว่านั้น แสตมป์ยังเป็นหนึ่งในสามของไลน์อัพศิลปินไทยที่จะมีโอกาสได้ขึ้นแสดงในเทศกาลดนตรี Summer Sonic 2019 ที่ญี่ปุ่นร่วมกับ ภูมิ วิภูริศ และ TELEx TELEXs ด้วย
แทบไม่ต้องจินตนาการเลยว่าเขาจะยิ้มตาหยีขนาดไหน
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่ศิลปินจากประเทศไทยคนหนึ่งจะมีโอกาสได้ทำอัลบั้มเพลงกับค่ายของประเทศญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มข้นในการทำงาน และไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าที่แสตมป์จะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหากจะให้ลองนิยามนักร้องนักแต่งเพลงอย่างแสตมป์ เราคงพูดได้เพียงว่าเขาคือศิลปินนักสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดคนหนึ่งของวงการเพลงไทย ที่ไม่ว่าหยิบจับอะไรก็ดูจะกลายเป็นความสนุกและน่าติดตามทุกครั้ง แม้ว่าจะเป็นผลงานของตนเอง หรือเป็นผลงานที่ทำร่วมกับคนอื่นก็ตาม
สิ่งที่เขารักก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และความสร้างสรรค์นั้นได้นำพาเขามาไกลจากวันแรก
ในโลกที่ศิลปะแขนงต่างๆ ต้องเกาะเกี่ยวเงื่อนไขทางธุรกิจ หลายคนอาจจะมองว่านั่นเป็นตัวบ่อนทำลายความคิดสร้างสรรค์ แต่ในมุมของแสตมป์ เขากลับคิดว่านั่นเป็นโอกาสที่จะทำให้เขาได้ทดลองหาหนทางใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์ผลงาน
“ธุรกิจก็คือโจทย์หนึ่งของความคิดสร้างสรรค์ ผมเลยคิดว่ามันไม่ใช่ศัตรู แล้วความคิดสร้างสรรค์คือคำตอบ” เขาเน้นย้ำกับเรา
จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมชื่อของแสตมป์ถึงยังคงโลดแล่นให้แฟนเพลงได้ติดตามมานับสิบปี พร้อมกับผลงานสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่เขารังสรรค์ขึ้น และสิ่งเหล่านั้นได้นำพาเขาก้าวไปสู่ประตูบานใหม่ในชีวิตที่เปิดกว้างรอรับเขาอยู่เสมอ
การได้เซ็นสัญญาออกอัลบั้มกับค่ายญี่ปุ่นอย่าง TOY’S FACTORY หรือการได้เป็นหนึ่งในไลน์อัพงานเทศกาลดนตรี Summer Sonic ถือว่าสำคัญยังไงกับอาชีพศิลปินบ้าง
ผมถือว่าเป็นกำลังใจที่ดีและเป็นหมุดหมายสำคัญมาก เหมือนเราสอบโทอิกผ่านแล้วก็ได้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ จากที่ทำงานในไทยมาตลอดทำให้ผมสงสัยว่าถ้าเราออกไปข้างนอก เขาจะยอมรับเราไหม พอทำตรงนี้ได้ก็เหมือนเป็นประตูบานแรกที่เขาเปิดให้เราแล้ว หลังจากนี้เราก็ต้องลองไปทำดูว่าจะเป็นอย่างไร
จริงๆ ก็มีช่วงที่ไฟหมดบ้าง ไฟมาบ้างตามประสามนุษย์เรา มีช่วงหนึ่งที่รู้สึกว่าทำไปแล้วไม่เห็นผลเลย ไฟก็แอบมอดเหมือนกันนะ ตอนนี้พอเห็นผลว่ามีเทศกาลเลือกเรา มีค่ายเซ็นสัญญากับเรา ไฟก็ค่อยๆ กลับมา (ยิ้ม)
เล่าให้เราฟังหน่อยว่าการเซ็นสัญญากับค่ายเพลงที่ญี่ปุ่นเกิดขึ้นได้อย่างไร
ย้อนกลับไปปี 2560 ผมมีโอกาสได้ทำอัลบั้มภาษาอังกฤษของตัวเองแล้วไปขายผ่านค่ายที่ชื่อว่า Parabolica Records ซึ่งเป็นค่ายเล็กๆ ที่ญี่ปุ่น ที่เขาจะเอาเพลงไทยไปขาย หรือไปเผยแพร่ที่นั่น ซึ่งก่อนหน้าผมก็มี สิงโต นำโชค มีวง Stoondio ที่เขาเลือกไป แล้วผมก็ได้เข้าไปทำด้วย
ผมมีโอกาสได้ไปทัวร์ตามไลฟ์เฮาส์ต่างๆ ที่ญี่ปุ่น ถือเป็นเส้นทางที่ศิลปินอินดี้ควรจะไป สนุกมาก ทีแรกผมไม่ได้หวังผลอะไร คิดว่ากะเอามัน กะเติมไฟเฉยๆ แต่พอทำไปสักพักก็มีวงดนตรีวงหนึ่งมาขอฟีเจอริงด้วย ชื่อว่า Five New Old ผมเลยได้เล่นดนตรีเปิดให้วงเขา ได้ทำเพลงร่วมกัน ทำให้ได้ใกล้ชิดกับค่ายของเขา ก็คือ TOY’S FACTORY แล้วก็จับพลัดจับผลูได้คุยกันว่าเราอยากจะทำอัลบั้มร่วมกัน จนเป็นที่มาของทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้
เห็นคุณอุบทุกอย่างไว้เป็นความลับมากๆ จนกระทั่งอัพภาพลงอินสตาแกรมว่ากำลังมีข่าวดีมาบอก
ใช่ๆ คือมีบอกเพื่อนบ้างแหละ แต่บอกตอนใกล้ๆ จะประกาศแล้ว แล้วก็มีคนพอรู้มาบ้างนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าได้ยินมาจากไหน แต่ว่าส่วนตัวไม่ได้บอกใครเลย… เดี๋ยวนะ เหมือนจะบอกแม่ไป แต่แม่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร (หัวเราะ) จริงๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมนะ แต่ผมไม่รู้ว่าสำหรับคนอื่นมันจะเป็น big deal ไหม ก็เลยไม่รู้ว่าถ้าบอกไปแล้ว คนจะแบบ ‘อะไรของมึงวะ’ หรือเปล่า ผมเลยไม่ได้มีความรู้สึกว่า โอ๊ย อึดอัด อยากบอกจังเลย แต่สำหรับผมถือว่าดีใจสุดๆ เลยแหละ
พอในที่ประชุมทางญี่ปุ่นสรุปว่าจะทำอัลบั้ม ความรู้สึกแรกของคุณคืออะไร เอาเลย หรือขอกลับมาคิดก่อน
เอาทันทีครับ (หัวเราะ) จริงๆ ก่อนจะได้คุยกับค่าย TOY’S FACTORY ผมมีโอกาสได้คุยกับค่ายอื่นๆ มาบ้าง ต้องเรียนว่า TOY’S FACTORY เป็นค่ายที่ผมชอบที่สุดในญี่ปุ่น คือศิลปินญี่ปุ่นที่ผมชอบจะอยู่ในค่ายนี้ พอรู้ว่าเขาสนใจเรา เราก็ดีใจมาก
แล้วผมก็คุยกับภรรยาว่ายังไงเราก็ต้องเอาค่ายนี้ให้ได้ เงื่อนไขอะไรค่อยมาทีหลัง แต่ว่าเขาก็แฟร์มาก เต็มที่กับเรามาก คือนึกภาพเราเป็นศิลปินต่างประเทศนะ อยู่ๆ เขาก็คิดโปรเจ็กต์นี้ขึ้นมา เราก็ซาบซึ้งในเมตตาของเขา เพราะว่ามันคงง่ายกว่าเยอะเลยที่จะเซ็นสัญญากับศิลปินในประเทศเขาเอง การพาทัวร์ก็ไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายอะไรมากมาย แต่เราเป็นคนต่างประเทศ มันต้องมาเริ่มใหม่จริงๆ เลยค่อนข้างจะรู้สึกขอบคุณเขามากๆ
ตอนนี้อัลบั้มก็เสร็จแล้ว เดือนสิงหาคมก็จะวางขาย แล้วก็ออกดิจิตอล ทั้งหมดจะเรียบร้อยก่อนไปเล่น Summer Sonic หนึ่งอาทิตย์ ช่วงนี้ก็มีการไปสัมภาษณ์บ้าง แล้วพอเสร็จจาก Summer Sonic ก็จะทัวร์ที่ญี่ปุ่นประมาณหนึ่งเดือน
ตอนนี้ยังมีความความกังวลหรือความกลัวบ้างไหม
ตอนนี้ไม่กลัวเลย รู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ไม่มีอะไรต้องเสีย แค่ได้ไปก็ฟินมากแล้ว แค่ได้มีชื่อเราอยู่ในเทศกาลดนตรี Summer Sonic มีชื่อเราอยู่ในเว็บค่าย TOY’S FACTORY ได้ออกอัลบั้ม ก็ไม่ต้องการอะไรมากกว่านั้นแล้ว แต่ถ้าจะมีอะไรมากกว่านั้น เราก็อยากจะทำ ถ้าจะกลัว ก็กลัวว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าที่เขาหวัง แต่เขาก็คงไม่ได้หวังอะไรมากมั้ง (หัวเราะ) แต่ก็จะทำให้ดีที่สุด
แล้วการทำงานกับคนญี่ปุ่นที่ว่าเนี้ยบมากล่ะ จริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้นไหม
ตอนแรกเราก็จินตนาการว่าเขาต้องเหี้ยมโหด แต่ว่าเขาก็เป็นคนที่ต้องการอารมณ์ขันเหมือนเรานี่แหละ ถ้าเราสบายๆ ใส่เขาไป เขาก็สบายๆ ใส่เรา เพียงแต่ว่าอาจจะมีระเบียบการอะไรบางอย่าง เช่น ถ้าเข้าไปในการทำงานที่มีลำดับขั้นตอน เขาก็จะมีหัวหน้า มีท่านประธาน มีระเบียบการ
อย่างล่าสุดผมไปญี่ปุ่นมา ก็ได้ทำสิ่งที่ชีวิตนี้ไม่เคยทำมาก่อน คือสะพายกีตาร์ตัวเดียวแล้วเล่นดนตรีให้ฝ่ายเซลส์ทั้งหมดของค่ายดู ซึ่งอยู่ประเทศไทยผมไม่เคยทำ เขาบอกผมว่า ‘ฝ่ายเซลส์จะได้รู้จักยู แล้วเขาจะได้ช่วยยูในเรื่องมาร์เกตติ้งไง’ ผมก็เอากีตาร์เข้าไปแล้วเล่นเพลงในอัลบั้ม พอเล่นไป ทุกคนก็นั่งแบบนี้ (ทำหน้านิ่ง) พอเล่นจบก็แบบนี้ (ตบมือนิ่งๆ) ซึ่งเกิดมาผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย
สมมติถ้าเป็นเมืองไทยแล้วมีใครมาเล่นดนตรีแบบนี้ คนก็อาจจะแบบอิ๊ อ๊ะ (ยิ้มแย้ม) นิดหนึ่ง แต่ว่าที่ญี่ปุ่นเขาอยู่ในโหมดทำงานร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็เลยรู้สึกว่าเข้มงวดจังนะ (หัวเราะ)
พอเจอเหตุการณ์นั้นมันทำให้คุณแอบนอยด์ไหม
ผมได้เข้าใจเขามากกว่า คือคนญี่ปุ่นจะมีสองโหมดชัดเจน โหมดทำงานก็จะไม่เล่นเลย โหมดเล่นก็จะบ๊องไปเลย แต่อย่างคนไทยเราจะผสมกันตลอด ประชุมก็จะมีแอบหยอดมุกอะไรแบบนี้ ซึ่งเราชินกับแบบนั้นไง แต่พอเราไปประชุมที่นั่น ฟังภาษาไม่ออกหนึ่งละ แล้วทุกคนไม่ยิ้มให้เราเลยเว้ย ก็มีความกลัวนิดหนึ่ง (หัวเราะ) แต่จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้เป็นคนที่ไม่ใจดีนะ แค่เขาทำงานอยู่เท่านั้นเอง
ปฏิกิริยาแฟนเพลงที่นั่นหลังจากปล่อยซิงเกิลแรก Bangkok Summer เป็นอย่างไรบ้าง
ตั้งแต่ออกซิงเกิลนี้ผมยังไม่ได้ไปเจอเขาเลย เดี๋ยว Summer Sonic จะเป็นที่แรกที่เจอ อยากรู้ว่าเขาจะชอบเพลงเราไหมเหมือนกัน (adB: ถ้าเขาปรบมือเหมือนตอนที่คุณไปเล่นให้ฝ่ายเซลส์ดูล่ะ) ก็โอเคอะ… (หัวเราะ)
แต่ในงานคอนเสิร์ตเวลาปรบมือเขาปรบดังนะ คือคนญี่ปุ่นเวลาที่เขาดูอะไร เขาจะโฟกัสมาก เวลาเราไปดูศิลปินต่างชาติไปเล่นที่ญี่ปุ่น เขาก็จะแอบเหวอกันทุกคนนะ เขาจะรู้สึกว่ามันปราบเซียน เพราะอย่างคนยุโรปหรืออย่างเราก็จะ… วู้ว เย้ สนุก แต่ของญี่ปุ่นเขาจะแบบว่า (ทำหน้านิ่ง) หรือเวลาเขาสนุกเขาก็จะทำแบบนี้ (ชูมือ) ก็เป็นบรรยากาศที่ไม่เคยเจอที่ไทย แต่ว่าเวลาที่เพลงจบ เขาปรบมือดังมาก นั่นแปลว่าเขาฟังอยู่นะ
อยู่ที่ประเทศไทยคุณก็เป็นสตาร์คนหนึ่งอยู่แล้ว ทำไมถึงคิดว่าจะไปเริ่มก้าวใหม่ต่างประเทศ ที่ก็ไม่รู้ว่าผลจะเป็นยังไง คุณมองเป็นความท้าทายหรืออย่างไร
มันเป็นความฝัน แล้วผมเป็นคนชอบฟังเพลงต่างประเทศ ก็เลยคิดว่า เราจะทำเพลงในระดับเดียวกับเขาได้ไหมมาตลอด หรือเราจะทำให้เพลงไทยคุณภาพเท่าเขาได้ไหม ซึ่งมันไม่มีอะไรพิสูจน์ได้เลย นอกจากการออกไปข้างนอก เล่นให้เขาฟัง แล้วดูว่าเขายอมรับไหม ผมว่ามันเป็นความฟินส่วนตัว
แต่ถ้ามองในแง่การงาน ก่อนหน้านี้มีช่วงหนึ่งที่ผมท้อกับหลายๆ อย่าง แล้วก็รู้สึกมืดมนในอาชีพการงานมากๆ อยากจะเลิกเลย แล้วผมก็ได้ไปพูดคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เป็นเจ้าของร้านแผ่นเสียงซึ่งผมนับถือมาก เขาก็บอกว่า ‘สิ่งที่แตมป์ทำอยู่เนี่ย มันคือการพยายามเดินขึ้นที่สูงไปเรื่อยๆ แต่ว่าศิลปินมันต้องเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่เดินขึ้นที่สูง’ เราก็ โอ้ อุปมาช่างล้ำลึก ถ้าให้ผมลองคิดก็คือว่าที่สูงคือที่เดิม เพียงแค่สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าไปข้างหน้าคือการไปในที่ที่เราไม่เคยไป ตั้งแต่ตอนที่ได้ยินคำนั้น ผมก็เลยมีความคิดนี้ในหัวเหมือนกันว่า เราอยากจะไปในที่ที่เราไม่เคยไปนะ
แล้วเวลาที่ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญๆ ในชีวิต คุณใช้หลักการอะไร
โห หลายๆ อย่างนะ ความรู้สึกก็เกินครึ่งแล้ว หมายถึงความรู้สึกว่าถ้าเราทำไปแล้ว เราจะเสียใจกับมันไหม ผมว่านี่คือสิ่งสำคัญสุดเลย สมมติมันได้ผลดีมาก มันจะตอบแทนเราอย่างดีเลย แต่เรารู้สึกว่าเราจะต้องเสียใจภายหลังแน่ ก็อาจจะไม่ทำ แต่ว่าผมก็โตมากจนกระทั่งหลายๆ เรื่องผมก็ยอม อย่างเช่น พอมาทำค่ายเพลง 12sumrecords เอง ผมก็ได้ไปในที่ที่ไม่เคยไป หรือว่าได้ทำหลายๆ อย่างมากขึ้น เพราะผมเห็นภาพรวมมากขึ้นว่าถ้าเราทำอันนี้ มันจะส่งผลให้ความฝันของเราได้ทำต่อ
เมื่อก่อนอาจจะมีความรู้สึกแบบ ‘ไม่อยากทำเพื่อเงินหรอก มันไม่ใช่ความฝันของนักดนตรี’ แต่ตอนนี้เราคิดว่า เราทำอะไรก็ได้ไม่เกี่ยง พอได้เงินทุนมา เราก็เอาเงินทุนนั้นมาสร้างความฝันให้เป็นจริง เอาไปเช่าห้องอัด หรือเอาไปทำอะไร มันก็ทำให้งานที่เราฝันอยู่เป็นจริงขึ้นมาได้ และก็เอื้อให้สิ่งที่เราทำอยู่ดีขึ้น
ดูคุณสนุกกับการกระโจนไปหาสิ่งใหม่ๆ ตลอด ทั้งทำเพลง เป็นโค้ชรายการเพลง ทำรายการบนยูทูบ ฟีเจอริงกับศิลปินอื่นๆ ไปทำเพลงที่ญี่ปุ่น ทัศนคติแบบนี้สำคัญอย่างไรกับการทำงานที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์
ผมไม่ได้คิดขนาดที่ว่าผมจะกระโจนเข้าไปนะ แล้วสิ่งต่างๆ ที่ได้ลองทำก็ไม่เสียหายอะไร ที่สำคัญคือช่วยให้เราได้ทำสิ่งที่ชอบต่ออีก จริงๆ ผมไม่ได้คิดว่ามันคือสิ่งใหม่หรือท้าทายอะไร แค่คิดว่ามีตรงนี้ก็ทำ ผมว่าวงการเพลงตอนนี้ค่อนข้างจะหลวมๆ ไปหมดเลย
คือสมัยก่อนอาจจะมีเส้นทางที่ชัดเจนว่าศิลปินต้องออกอัลบั้มสิ แล้วก็ไปทัวร์คอนเสิร์ต แล้วก็กลับมาทำอัลบั้ม แต่เดี๋ยวนี้ทุกอย่างมันหลวมหมด คุณออกหนึ่งซิงเกิลแล้วก็ไปทำอันนั้นอันนี้ แล้วเอาเพลงมาประกอบอันนี้ทำยูทูบ กลายเป็นว่า นักร้องนักดนตรีคนหนึ่งทำอะไรได้มากกว่าการเป็นศิลปินขึ้นเยอะเลย แล้วยิ่งทำก็ยิ่งเอื้อต่อเส้นทางใหม่ๆ ไง เพราะพอเส้นทางมันหลวมปุ๊บ กลายเป็นว่าการเดินเส้นตรงอาจจะไม่ได้ผลเท่าการกระโจนนะ
ถ้าถามว่าทุกคนต้องมีทัศนคติในการพยายามลองสิ่งใหม่ไปเรื่อยๆ ไหม ผมว่าแล้วแต่ดีเอ็นเอของแต่ละคน บางคนเขาก็คราฟต์ในสิ่งที่ตัวเองทำ พิถีพิถันกับสิ่งเดียวทั้งชีวิต แล้วผลลัพธ์ดีมากๆ และน่านับถือมาก แต่ผมคิดว่าผมไม่ใช่คนที่นั่งคราฟต์สิ่งเดิม เพราะผมจะเบื่อแล้วก็เลิก ผมว่าที่ทุกคนต้องมีคือแพสชันมากกว่า อยู่ที่ว่าคุณเติมแพสชันด้วยอะไร อย่างเช่น ผมอาจจะเติมแพสชันด้วยการกระโดดไปในที่ที่ไม่เคยไป แต่ว่าบางคนก็เติมแพสชันด้วยการทำสิ่งๆ เดียวให้เจ๋งที่สุดในโลก ก็แล้วแต่คนนะ
คุณเคยต้องติดกับรูทีน ทำเพลง-ถ่ายเอ็มวี-เล่นคอนเสิร์ต ของการเป็นศิลปินบ้างไหม
ผมยังอยากจะติดกับดักมันมากกว่านี้ด้วยซ้ำนะ เพราะจะได้เป็น schedule ที่โฟกัสได้ ผมเห็นวงต่างประเทศที่เขาทำทุกอย่างเป็น schedule แล้วโฟกัสจริงๆ เช่น อยู่ในห้องอัดสามเดือน เบรกแต่งเพลง บันทึกเสียงเสร็จ จองบุ๊กกิ้งทัวร์ทั้งปี งานที่เขาทำก็เข้มข้นมาก ผมอิจฉาเขามากเลยนะ คือการตื่นมาทำอะไรอย่างเดียวนี่มันสุดยอดเลย ผมคิดว่าผมอยากเป็นอย่างนั้นมาก
แต่ในยุคนี้อย่างที่บอกว่ามันก็จะหลวมๆ หน่อย แต่งเพลง เอาไปเล่นในผับบ้าง ทำรายการวิทยุ ทำรายการโทรทัศน์ ทำ vlog ไม่งั้นเดี๋ยวเราจะโดนกลืนหายไป ซึ่งมันก็สนุกดีแหละ แต่ผมว่าพลังโฟกัสสู้ระบบ schedule ไม่ได้ ถือว่ามีข้อดีและข้อเสียนะ
แต่ศิลปินบางคนอาจจะเบื่อกับรูทีนนี้มากเลยนะ
ผมคิดว่าที่เราเบื่อ หรือศิลปินที่เบื่อ เพราะว่าศิลปินในประเทศไทยไม่มีรูทีนมากกว่า คือเขาต้องทำทุกอย่างภายในวันเดียว เขาต้องไปสัมภาษณ์ทีวี เขาต้องกลับมาอัดเพลง เขาต้องทำเพลงโฆษณา แล้วตอนกลางคืนก็ต้องไปเล่นที่ผับ เราไม่มีรูทีนที่แน่นอนว่าตอนนี้ต้องโฟกัสกับอะไร
ผมว่าการที่เราจัดตารางได้ว่าเราทัวร์หกเดือน ทำเพลงสามเดือน อะไรแบบนี้ โคตรสนุกเลย แต่ว่าประเทศเราไม่ได้ทำอย่างนั้น และคงทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว เพราะว่าเราคงไม่ได้ค่าตอบแทนมากพอที่จะมีทุนทำอัลบั้ม แล้วที่สำคัญคือเงินรายได้ของพวกเรามาจากการเล่นสด ซึ่งประเทศเราไม่มีการทัวร์ ประเทศเราคือการเล่นที่ผับ ผับไม่รอเรา เราไม่รอผับ พี่ตูน บอดี้สแลม เคยจะทำทัวร์ทั่วประเทศ ซึ่งถ้าทำได้มันจะพลิกทุกอย่าง แต่มันยังแค่เกือบนะ ก็อยากให้มันเกิดให้ได้
ผมว่าศิลปินประเทศเราไม่เหมือนที่อื่น ผมไปคุยกับวงญี่ปุ่นเขางงกันหมดเลย ‘บ้า ยูเล่นเพลงในผับ ยูทำทำไมวะ ยูทำแล้วมันทำลายอาชีพยูนะ’
คุณเคยมีช่วงเวลาที่ตีบตันทางความคิดไหม คุณมีวิธีคลี่คลายให้ตัวเองอย่างไร
แน่นอน มีตลอดเวลา แต่วิธีคลี่คลายของผมคือทำงานกับคนอื่น ผมว่าเราไม่ได้ตันหรอก แต่ว่าเราไปคาดหวังผลลัพธ์ให้เป็นแบบเดียวจนกระทั่งเราฆ่าความเป็นไปได้ทั้งหมดออก เราอาจจะมีเมโลดี้ตัวนี้ที่แต่งขึ้นมาแล้วทิ้งๆๆ แล้วก็ไปคิดว่าเราตัน แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะว่าเราคาดหวังสูงกับผลงานของตัวเองมากกว่า
วิธีก็คือถ้าเราลดความคาดหวังด้วยตัวเองไม่ได้ ก็ให้ไปทำงานกับคนอื่น คือคนอื่นเขาจะชอบซื้อไอเดียที่เราไม่ซื้อ ผมเจอประจำเลย พอเราเล่นแบบนี้ไปแล้วเขาบอก เฮ้ย อันนี้ดี เราก็ อ้าว เหรอ เออ ดีก็ได้ (หัวเราะ) ทีนี้พอเราบุกตะลุยไปกับไอเดียที่เราไม่ได้คิดว่ามันดีมาก แต่มีคนเห็นค่า มันก็อาจจะกลายเป็นสิ่งดีๆ ขึ้นมาก็ได้
ทางที่มันตัน เพราะเราคิดว่ามันคือทางเดียวที่จะไปได้ แต่จริงๆ แล้ว ทางอื่นก็ไปได้นี่ แต่เราไม่คิดว่ามันเป็นทางแค่นั้นเอง พูดได้ดี! (หัวเราะ)
ในโลกที่เราถูกบอกว่าให้แตกต่างเพื่อเป็นตัวเอง สำหรับคุณ สิ่งนี้สำคัญยังไง ทำไมเราต้องแสดงออกถึงความเป็นตัวเอง
ผมว่าไม่ต้องขนาดที่ว่าต้องไม่เหมือนคนอื่นนะ แต่ว่าถ้าไม่เหมือนคนอื่นมันก็ดีกว่าแหละ เช่น พอเห็นแล้วรู้ว่านี่คืองานของมูราคามิ มูลค่าก็จะสูงกว่าอยู่แล้ว ถ้าคนยอมรับในตัวตนของเรา ยอมรับในสิ่งที่ปลูกฝังมาเป็นเรา มันน่าภูมิใจดีนะ
แต่ผมก็เชื่อเหลือเกินว่าทุกคนไม่เหมือนกันอยู่แล้ว อาจจะแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย แต่ว่าสุดท้ายก็จะมีรายละเอียดที่เรารู้สึกได้ว่าคนนี้ไม่เหมือนอีกคนหนึ่งตรงไหน ผมเลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองให้แตกต่างหรอก เพราะว่าเราแตกต่างด้วยธรรมชาติอยู่แล้ว อะ อันนี้ก็พูดได้ดี เก็บ! (หัวเราะ)
คุณว่าศิลปินสักคนจะอยู่กับการทำงานศิลปะหรืองานดนตรีไปได้ยาวนานตลอดชีวิตของเขาอย่างไร
ว้าว ว้าว เยส (หัวเราะ) ผมว่าอยู่ได้อยู่แล้ว ถ้ามีคนสนับสนุน คนที่อยู่ไม่ได้หรือเลิกทำไป ไม่ได้เป็นเพราะเขาไม่อยากทำนะ แต่แค่อาจไม่รู้ว่าจะหารายได้อย่างไรมากกว่า แต่ถ้าเราตัดเรื่องรายได้ออกไปได้ แล้วทำงานที่บ้านโดยไม่หวังผลอะไรแบบนั้นก็คงทำได้แหละ ผมว่าด้วยปัจจัยหลายอย่าง รวมถึงความคาดหวังของเราด้วยว่า โอเค คนเรามีช่วงพีก ช่วงที่อยู่ตัว ช่วงที่ไม่หวือหวา ช่วงที่เงียบ อยู่ที่ว่าเราคาดหวังว่าจะอยากได้อะไรจากมัน ถ้าเราอยากได้ความหวือหวาตลอดก็อาจจะต้องเลิก แต่ว่าถ้าไม่ต้องการก็ทำไปได้เรื่อยๆ
แน่นอน ผมอยากได้ผลลัพธ์ที่ดีนะ ทุกๆ งานผมไม่สามารถบอกได้ว่า ‘งานนี้ผมทำเพราะว่าผมสนุกผมชอบเพียงอย่างเดียว ถ้าคุณจะชอบหรือไม่ชอบก็แล้วแต่คุณ’ ผมไม่คิดแบบนั้น ผมคิดว่าถ้าคุณชอบก็จะเป็นบุญมากเลย หรือถ้ามีคนสนับสนุนหรือได้มีโอกาสไปเล่นที่ต่างๆ ด้วยเพลงเพลงนี้ก็จะมีความสุขมาก แต่ถ้าไม่ก็ไม่เป็นไร ก็ลุยกันต่อไป แค่นั้นเอง
แล้วถ้าวันหนึ่งไม่มีคนสนับสนุนคุณแล้วล่ะ
ผมก็คงต้องทำงานอื่นเพื่อเลี้ยงชีพ แต่ผมก็จะใช้เวลาว่างๆ ทำต่อไป ก็ต้องยอมรับว่าเราคงไม่ดันทุรังที่จะไม่ทำอย่างอื่นนะ ก็คงต้องทำอะไรก็ตามแต่ถ้าเป็นไปได้ ทำธุรกิจอื่น แต่ว่าก็คงต้องทำสิ่งที่เราชอบอยู่เพื่อหล่อเลี้ยงแพสชัน ถ้าเรายังมีแพสชันเหลืออยู่นะ
สำหรับคุณ สภาวะแบบไหนที่จะก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการคิดงานมากที่สุด
ว้าว ว้าว เยส (หัวเราะ) เดายากมากเลยนะ มันไม่เหมือนถั่วงอกที่แบบว่าปลูกในอุณหภูมิเท่านี้แล้วจะขึ้น มีหลายปัจจัยมากเลย เช่น เราไปเจอเรื่องนั้นพอดี แล้วอารมณ์เราเป็นประมาณนี้พอดี คือผมเชื่อว่าคนเราทำงานได้ตลอดเวลานะ แต่ว่าจะคาดหวังว่าผลไม้นี้จะสุกสวยแค่ไหนก็ต้องพึ่งหลายปัจจัยมาก เราอาจจะรดน้ำตามเวลาแล้ว แต่ว่าช่วงนี้อากาศแห้งไป ต้นไม้ก็อาจแคระแกร็นบ้าง ก็เลยคาดเดายากมากว่าสภาวะไหนที่จะเอื้อต่อการทำงานที่สุด
ถ้าอย่างนั้นคุณต้องเปิดสวิตช์ตัวเองตลอดเวลาหรือเปล่า เพื่อให้ได้รับอินพุตจากสิ่งที่พบและนำมาใช้ในงานสร้างสรรค์
ผมก็เหมือนคนปกติเลยนะ แต่ว่าผมว่าทุกๆ คนที่ทำงานแต่ละอาชีพก็จะมีธรรมชาติบางอย่างอยู่แล้ว คนทำงานบัญชีก็อาจจะอ่อนไหวกับตัวเลข คนทำ PR ก็อาจจะหวั่นไหวต่อมนุษยสัมพันธ์ หรือคนทำงานอย่างผมก็อาจจะอ่อนไหวต่อไอเดีย อ่อนไหวต่ออะไรที่มันสปาร์ก แค่นั้นเอง แต่ว่าไม่ได้เปิดตลอดเวลา ผมก็มีโหมดนอนเล่นเกมไฟนอลฯ ทั้งวันไม่ได้สนใจอะไรเลย ผมว่ายิ่งไปพยายามฝืนให้อยู่ในโหมดที่ต้องคิดงานตลอด มันก็ยิ่งไม่มานะ เออ เครียดว่ะ (หัวเราะ)
คุณมีวิธีเขียนเพลงหรือทำดนตรีให้สดใหม่หรือสนุกตามแต่ละยุคได้อย่างไร
จริงๆ ผมไม่ได้คิดขนาดว่าเราจะต้องใหม่ตามแต่ละยุค เพราะบางทีในขณะที่คนชอบเพลงใหม่ เราก็ไปชอบเพลงเก่า หรือบางทีเราก็ไปชอบเพลงใหม่ ในขณะที่คนชอบเพลงเก่า แต่สิ่งที่ผมเพิ่งค้นพบว่าจำเป็นต่อผม คือเราต้องฟังเพลงอยู่ตลอดเวลา
ผมจะเล่าให้ฟังว่า แฟนผมเคยเป็นเลขาสถาปนิกที่ใหญ่มาก แล้วหน้าที่ของเขาคือซื้อแมกกาซีนทั้งแผงที่เกี่ยวกับสถาปนิกมาให้รุ่นพี่อ่าน รุ่นพี่เขาก็จะเปิดอ่านว่ามีอะไรบ้าง มันเหมือนกับการฟังเพลง ซึ่งผมคิดว่าของพวกนี้รู้ไว้ไม่เสียหลาย
ผมเคยปิดตัวเองแบบว่าไม่ฟังเพลงใหม่แล้ว พอกันที เราแก่แล้ว แล้วก็รู้สึกว่างานที่เราทำอยู่มันเคยสนุกมากนี่ เราเคยตื่นเต้นกับมัน ตอนเด็กๆ เราเคยปั่นจักรยานไปซื้อเทป ที่สำคัญ การฟังเพลง การดูหนัง การอ่านหนังสือ ไม่ใช่เรื่องยากเลย สนุกจะตาย ผมเลยมาคิดว่า เราฮึบตัวเองนิดหนึ่ง แล้วตั้งโจทย์ให้ตัวเองว่าเราต้องชอบเพลงแนวที่ไม่ชอบให้ได้ แล้วเราก็ชอบได้จริงๆ นะ
ตอนนี้มาตกตะกอนว่า จริงๆ แล้ว แนวที่เราไม่ชอบมันไม่ใช่ไม่ดี เราแค่ไม่คุ้น เราต้องสู้กับอคติตัวเอง ฟังๆๆ แล้วก็จะหาสุนทรียภาพได้เอง ทุกวันนี้ถือเป็นความท้าทายในโลกของเพลง โลกของหนังที่สนุกมาก
จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าเราแก่ หรือเด็กรุ่นใหม่ไม่เหมือนเรา เราแค่อคติมากขึ้น คือพอเราคุ้นชินกับอะไรอย่างหนึ่งเราก็จะเริ่มปิดกรอบตัวเอง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าคนไม่ได้ฟังเพลงใหม่ไม่ดีนะ ผมแค่รู้สึกว่า ณ ขณะที่เรายังทำงานในวงการเพลงอยู่ การรู้ย่อมดีกว่าไม่รู้
แสดงว่าอายุที่เพิ่มขึ้นไม่มีผลกับการทำงานสร้างสรรค์ใช่ไหม
ตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้นนะ แต่พอได้ฟังชุดใหม่ของ พี่เจ เพนกวินวิลลา (เจตมนต์ มละโยธา) แล้วผงะเลย ผมเคยคิดว่าถ้าผมมีลูกคงทำงานไม่ได้ เพราะต้องเลี้ยงลูก แต่พี่เจลูกสาม แล้วอัลบั้มชุดล่าสุดของเขาคือพลังของเด็กมหา’ลัยชัดๆ เลยรู้สึกว่าเราจะน้อยหน้าไม่ได้ พี่เขาสุดยอดจริงๆ ก็ถือว่ามีตัวอย่างของรุ่นพี่ที่เขาโตกว่าเรา แต่กลับให้ความรู้สึกว่างานเขาเด็กกว่าเราอยู่เยอะแยะนะ
สำหรับคุณ ธุรกิจถือเป็นศัตรูกับความคิดสร้างสรรค์ไหม
ผมกลับคิดว่างานสร้างสรรค์ที่เจ๋งมากๆ คืองานที่ใหม่แล้วไปพร้อมกับธุรกิจได้ด้วย ตอนที่ผมเรียนสถาปัตย์ ถ้าผมออกแบบอะไรที่ไม่มีลูกค้า บอกไม่ได้ว่าผู้ใช้อันนี้คือใคร อาจารย์ก็จะบอกว่าให้ไปเรียนศิลปกรรม ดังนั้น ทุกอย่างที่เราทำตอนเรียนสถาปัตย์ คือการแก้ไขปัญหา คือการตอบโจทย์ ซึ่งธุรกิจก็คือโจทย์หนึ่งของความคิดสร้างสรรค์ ผมเลยคิดว่ามันไม่ใช่ศัตรู แล้วความคิดสร้างสรรค์คือคำตอบ
แต่ก็มีงานเพียวอาร์ตที่ไม่ได้ใช้โจทย์เป็นธุรกิจ แต่ใช้โจทย์เป็นหมุดหมายเรื่องประวัติศาสตร์หรือความรู้สึก เพราะความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้มีแบบเดียว ความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่มีธุรกิจเลยอาจจะทำให้ได้งานที่เพียวมาก แต่อาจจะไปไม่ถึงมนุษย์ ก็มีประโยชน์ต่างกันนะ
สำหรับผม ธรรมชาติผมเป็นคนหั่นอยู่แล้ว คือป๊อปด้วย ธุรกิจด้วย ผมเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองระดับหนึ่ง กลัวเขาไม่ชอบงานเรา ผมเป็นคนชอบงานป๊อปอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าป๊อปขนาดไหน ป๊อปของใครเท่านั้นเอง แต่อย่างน้อยต้องป๊อปของเรา จะให้ผมไปทำงานแบบฟุ้งๆ เพียวๆ เลยก็สะใจนะ เคยทำเหมือนกัน ก็สำเร็จไปอีกแบบ แต่ผมว่าถ้าจะฟินสุดคือเราเพียวมากๆ แล้วมันดันป๊อปนะ อันนั้นคงจะเจ๋งมาก
ทุกวันนี้ความหมายของการทำเพลงของคุณเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม
มันก็เคยมีช่วงที่ผมเคย commercial มากกว่านี้ ด้วยความที่อยากจะพิสูจน์ว่าเราเลี้ยงตัวเองได้ แล้วก็มีช่วงที่ผมติสต์กว่านี้ ด้วยความที่อยากจะพิสูจน์ตัวเองให้คนอีกกลุ่มหนึ่งเห็นว่าผมทำเพลงหลากหลายนะ อย่างชุดที่ผมไปต่างประเทศ ผมก็จะโคตรเพียว ชุดที่ถ่ายที่ไทยก็อาจจะ commercial หน่อย คิดถึงคนในผับว่าเขาจะร้องกันยังไง ถือว่ามีหลายด้าน ตอนนี้เลยไม่ได้คิดว่าเราทำเพื่อสิ่งเดียว แต่เป้าหมายการทำเพลงของผมถ้าให้ตอบเป็นคำเดียวคือ เพื่อให้ได้ทำต่อ
สมมติผมทำเพื่อเงิน ก็เอาเงินมาทำเพลงต่อ ไม่ใช่เอาเงินไปซื้อรถเฟอร์รารี ผมทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้ทำงานที่ชอบต่อไปเท่านั้นเอง
สุดท้ายงานสร้างสรรค์ของคุณจะไปสิ้นสุดตรงจุดไหนในชีวิต
คงสิ้นสุดตอนผมตาย แต่ผมก็ไม่อาจบอกได้ว่าผมจะตายก่อนนะ มันอาจจะต้องสิ้นสุดก่อนผมตายหรือเปล่า อืม… (นิ่งคิด) ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าอีก 5 ปี ผมจะเป็นยังไง ผมอาจจะอยู่ๆ หมดไฟไปก็ได้ เลยไม่อยากจะการันตี เดี๋ยวพอผมบอกว่าจะทำจนตาย แต่ผมดันเลิกก่อน แล้วคนจะ อ้าว โกหก เพียงแต่ว่าความคิด ณ ชั่วโมงนี้คืออยากทำจนแก่ตาย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับหัวใจผมในอนาคตอยู่ดีนะ