“วันนั้น ที่เคยฝันกันว่าดี วันนี้ อาจยังผิดหวังก็ได้ แต่ขอให้เราฝันกันต่อไป วันไหนสักวันความฝันก็คงจะจริง”
เพลง วันนั้น วันนี้ วันไหน เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง ฉลุย ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่สร้างกำลังใจให้กับคนยุค 80-90s มาแล้ว และหนึ่งในนักแสดงของหนังเรื่องนี้คือ ‘เอ็ม’ – สุรศักดิ์ วงษ์ไทย ชายหนุ่มที่ยังคงมีมาดเซอร์ๆ อย่างเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่วัยรุ่น จนถึงวันที่เขาอายุ 52 ปี และด้วยความเก๋าของเขานั้นก็ทำให้เราอยากรู้เหลือเกินว่า ในอดีตชายคนนี้เคยสิ้นหวังท้อแท้บ้างไหม
“คำว่า ‘ลูสเซอร์’ สำหรับผมไม่เคยมีนะ ผมมารู้จักคำนี้ครั้งแรกตอนที่เริ่มดูหนัง ซึ่งในหนังจะมีตัวละครที่พูดกันว่าแกมันพวกขี้แพ้ แต่ในยุคผมไม่มีคำนี้อยู่ในชีวิตกันหรอก เพราะเราแค่เดินไปเจอกับสิ่งหนึ่งแล้วพบว่าทำไม่ได้ ก็ไปหาอะไรอย่างอื่นทำ ไม่ได้เอาตัวเองไปจมอยู่กับคำนี้ คำนี้เลยไม่มีความหมายในยุคที่ผมเติบโตขึ้นมา
“ยุคสมัยไม่ใช่คำตอบหรอก เป็นเรื่องของทัศนคติ” เขาพูดขึ้นมาหลังจากที่เราวิเคราะห์ว่า ปัจจุบันสิ่งที่ทำให้คนยุคนี้ท้อแท้ง่าย คงเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี คนสามารถอวดตัวตนได้มากขึ้นในโซเชียลเน็ตเวิร์ก เสพติดยอดไลก์ ยอดแชร์ และเมื่อไม่ได้รับความสนใจก็จะรู้สึกแย่
“เราต้องมีทัศนคติก่อน ก็คือคำที่คนยุคนี้ชอบพูดว่า คุณต้องมี attitude คุณต้องใช้ attitude แล้วคำนี้ในความหมายของพวกคุณจริงๆ คืออะไร สำหรับผม ทัศนคติคือสิ่งที่จะบอกกับเราเมื่อมุ่งจะไปในเส้นทางหนึ่ง ท่านมุ้ย (หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล) เคยสอนไว้ว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง
“ดังนั้น เวลาทำอะไรก็ตาม ผมก็จะเข้าไปหาเหตุผลว่าจะทำให้งานชิ้นนั้นเป็นไปได้อย่างไร ถ้าวิธีนี้ไม่ได้ ก็ลองอีกทาง เมื่อถึงที่สุดแล้วก็ยังเป็นไปไม่ได้ ก็ถือว่าเราได้ลองทำแล้ว แต่ในระหว่างทางที่ได้ทดลอง เราจะเกิดความคิด เป็นความคิดที่หลากหลาย ถึงจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง แต่สุดท้ายเราจะพบว่ายังมีคำตอบอีกหลายรูปแบบที่แตกออกมาเป็นกิ่งก้านสาขาไปเรื่อยๆ ซึ่งบางทีคำตอบในนั้น อาจจะเป็นคำตอบที่ดีกว่าคำตอบที่กำลังตามหาด้วยซ้ำ”
อาจเป็นเพราะอิทธิพลจากภาพยนตร์หลายๆ เรื่องที่นำเสนอภาพของคนขี้แพ้คือคนเท่ ความเหงาคือความโรแมนติก เลยทำให้เราหลงติดไปกับภาพนั้น มโนเอาเองว่าตัวเองเป็นเหลียงเฉาเหว่ย หรือเอาใกล้ๆ ตัวเลย หนังเรื่อง ฉลุย ที่เขาแสดงนำก็นำเสนอภาพของคนขี้แพ้เหมือนกัน
“ถ้าให้เปรียบเทียบกับหนังเรื่อง ฉลุย การแพ้ทำให้ผมเกิดคำถามว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นใช่ไหม ถ้าไม่ใช่เรายังจะทำต่อไปไหม ถ้าทำแล้วยังไม่ใช่อีก จะสู้ต่อไปไหม นี่คือสิ่งที่ผมสรุปเองจากหนังเรื่องนี้ ฉลุย สำหรับผมคือ ความฝัน ความหวัง ความเป็นจริง และอยู่กับมัน เพราะนี่คือสิ่งที่ชีวิตเป็น อยู่ คือ” เขากล่าว
พอพูดถึงชีวิตที่ดำเนินต่อไป สิ่งที่เจอคือทางเดินของแต่ละคนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หนำซ้ำบางครั้งยังมีหนามคอยทิ่มตำให้เจ็บปวดด้วย คนที่ทนพิษบาดแผลไม่ได้ก็ต้องล้มเลิกไปตามกฎของธรรมชาติที่จะคัดเลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เราสามารถทำชีวิตให้มันง่ายไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องฝ่าฟันแบบนั้นได้ไหม
“คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ” เขาแย้งทันที “ความอดทนไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่เราต้องอดทน คำนี้จะไม่มีเลยถ้าเรารักงานของเรา และเลือกแล้วว่าจะทำงานนี้ให้ดีที่สุด แม้ว่าทำเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้สักที ก็จะทำต่อไป ทำจนกว่ามันจะได้ ถ้ามองจากสายตาคนข้างนอก เขาก็จะมองเราว่าทำไมอดทนจัง ทำไมฝ่าฟันจัง แต่ในความรู้สึกของเรานั้น เราไม่ได้อดทนอะไรเลย เราแค่รักงานของเรา และอยากเห็นงานของเราถูกทำออกมาให้ดีที่สุด
“แต่…”
เขาพูดค้างไว้พร้อมกับยกกาแฟดำขึ้นมาจิบ
“ที่คนยอมแพ้ง่ายเพราะเขาแค่มาลองทำงาน เพราะเห็นว่าทำงานครีเอทีฟนี่เท่ แต่ไม่ได้รัก เขามองแค่ว่าทำงานแบบนี้ได้แต่งตัวดีๆ แต่ไม่ได้มองถึงข้างในตัวเองว่า เรารักที่จะทำไหม ชอบงานแบบนี้จริงๆ หรือเปล่า”
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ มายาคติที่คนเจนวายยกขึ้นมาอ้างบ่อยๆ คือ ไม่ต้องเรียนจบก็ประสบความสำเร็จได้
“ผมว่าน่าจะเริ่มต้นตั้งแต่เรามีคำว่า ‘นอกกรอบ’ ขึ้นมา แล้วก็มาถึงเรื่องไม่ต้องเรียนหนังสือ ก็ประสบความสำเร็จได้ แล้วก็ไปโฟกัสกันแค่ประโยคนี้ โดยที่ไม่ได้มองลงไปให้ลึกว่าคนดังๆ ที่เขาเรียนไม่จบนั้นเพราะการเรียนไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตของเขา เขาเลยออกมาทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ เพราะถามตัวเองแล้วว่าอยากทำอะไร แล้วก็มุ่งไปในสิ่งนั้น สตีฟ จอบส์ ทำเครื่องแมคอินทอชขึ้นมาเพราะเขารักในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ซึ่งสมัยนั้นการสร้างคอมพิวเตอร์ ยังไม่มีในหลักสูตรการเรียนการสอนไง เมื่อเขาประสบความสำเร็จ เด็กก็จะมองว่า นี่ไงไม่เห็นต้องเรียนเลยก็เก่งได้ แต่ไม่ได้ศึกษาเส้นทางชีวิตของเขาอย่างถ่องแท้”
ถ้าพูดถึงเรื่องการทำตัวนอกกรอบ ในยุคนั้นจำได้เลยว่าเขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่คิดและทำอะไรไม่เหมือนใครเหมือนกัน
“ใช่ๆ ผมเป็นพวกดอกไม้แตกกอ เป็นพวกผ่าเหล่า” เขาหัวเราะลั่น
“
แต่ถ้าเราจะเดินนอกกรอบเราต้องรู้จักกรอบก่อน หรือเราจะแหกกฎ ก็ต้องรู้จักกฎทุกอย่างก่อน ทฤษฎีต้องแม่น พื้นฐานต้องรู้ ไม่ใช่สักแต่ว่าพูดแล้วเท่ กูเป็นคนนอกกรอบ กูเป็นคนอินดี้ แต่ไม่มีความรู้อะไรเลย หลอกตัวเองว่าเป็นอย่างนั้น แล้วก็กลายเป็นความเชื่อผิดๆ ที่ส่งต่อๆ กันไป
”
ในอดีตเขาเป็นนักแสดงที่โด่งดังในยุค 90s ต่อมาก็ออกเทป ซึ่งกระแสก็ไม่ได้แย่ แต่ทำไมถึงเลือกที่จะทิ้งชื่อเสียงเงินทองแล้วอยู่ๆ ก็หันไปทำงานเบื้องหลังแล้วก็หายจากวงการไปนานเลย
“เพราะคนเราต้องตั้งคำถามกับตัวเอง ผมเล่นหนังมาเยอะ แล้วก็รู้สึกเบื่อไม่อยากเล่นแล้ว เลยตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้ากลับไปที่ศูนย์ ไปอยู่ในจุดที่ไม่มีเงินใช้จะอยู่ได้ไหม เรายืมจมูกคนอื่นหายใจเยอะเกินไปหรือเปล่า เราสามารถหายใจด้วยตัวเองได้ไหม มองย้อนกลับไปก็สนุกดีนะ เพราะผมก็ไม่รู้หรอกว่ากรอบชีวิตของตัวเองคืออะไร รู้แค่ว่าจะลองใช้ชีวิตและทำงานโดยที่ความรู้ของตัวเองต้องแน่นก่อน เล่นหนังแล้วก็เบื่อ ร้องเพลงแล้วก็ไม่ชอบ เอ้า ลองไปทำงานประจำดู พอทำก็รู้แล้วว่าไม่ใช่
“แล้วเราอยากทำอะไรละ อ๋อ เราเป็นคนชอบทำหนัง แล้วจะทำกับใครดี ก็ต้องกับคนเก่งๆ ผมก็เดินเข้าไปของานกับท่านมุ้ย พอทำแล้วก็พบว่าตัวเองชอบงานโปรดักชัน งั้นงานโฆษณาก็ตอบโจทย์เราสิ ก็เดินเข้าไปขอทำงานที่ Matching Studio ทีนี้เมื่อได้ทำในสิ่งที่ชอบและอยากทำแล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตให้รอด
“คุณคิดว่าเขาจะจ่ายเงินเดือนคุณจากอะไร ก็ต้องจากความสามารถและประสบการณ์ของคุณใช่ไหม แล้วคุณมีพอหรือยัง จะไปเรียกเงินเดือนเขาเยอะๆ ความรู้คุณก็ต้องเยอะกว่าคนอื่น สำหรับผม ผมไม่เคยหวังเรื่องการขึ้นเงินเดือนเลย เพราะผมรู้ว่าเงินเดือนขึ้นแต่ละปีไม่เยอะหรอก 3-5% เท่านั้น ผมแค่รู้ว่าเขารับเราทำงานด้วยเงินเดือนเท่านี้ พอใช้จ่ายในชีวิตแล้วก็จบ เงินเดือนจะขึ้นหรือไม่ขึ้นช่างมัน แต่เราจะหยุดนิ่งไม่ได้ เพราะคนรุ่นใหม่เก่งกว่าเราเสมอ ถ้าเราไม่รู้เท่าพวกเขาเราก็ทำงานต่อไม่ได้”
ปัญหาของเรามักพบว่าพอตัวเองโตขึ้น อายุมากขึ้น กลับไม่รู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องรอบตัวอีกแล้ว เหมือนเวลาที่เห็นน้องๆ เขาตื่นเต้นกับกล้องฟิล์ม เรากลับรู้สึกเฉยๆ ซึ่งคิดว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ถ้าปล่อยให้ตัวเองเป็นคนแบบนี้ต่อไป
“คุณต้องสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่เสมอ คุณบอกว่ารู้จักกล้องฟิล์ม แล้วคุณรู้จักมันจริงๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม รู้จักถ่องแท้หรือยัง ฟิล์มทำอะไรได้บ้าง มีน้ำยากี่ตัวที่จะเอาไว้ล้าง เปิดหน้ากล้องเท่านี้ได้ภาพแบบไหน เลนส์ตัวนี้ถ่ายในแสงเดียวกันได้อารมณ์ภาพแบบไหน มีอีกตั้งหลายเรื่องที่เราจะหาความสนุกจากรายละเอียดของสิ่งที่เราคิดว่ารู้จักมันดีแล้ว คนมักจะคิดว่าตัวเองรู้แล้ว พอแล้ว สุดท้ายก็กลายเป็นน้ำที่เต็มแก้ว ถ้าไม่ลองหาอะไรสนุกๆ จากรายละเอียดเล็กๆ ที่อยู่ในของที่บอกว่ารู้จักดีแล้ว คุณก็จะมีชีวิตอยู่แบบซังกะตายไปวันๆ”