เหนือ จักรกฤษณ์

เหนือ จักรกฤษณ์ | คาแร็กเตอร์ดีไซน์ที่ขีดเขียนจากพลังของความรักและความศรัทธา

ถ้าพูดกันเรื่องผลงานของ ‘เหนือ’ – จักรกฤษณ์ อนันตกุล เชื่อว่าคงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก เพราะเขาคือหนึ่งในนักออกแบบคาแร็กเตอร์ที่โด่งดังในหลายประเทศทั่วโลก แต่เรื่องราวที่น่าสนใจของเขาสำหรับเราก็คือ งานในยุคหลังที่เจ้าตัวบอกว่าได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้า มาใช้เป็นแรงขับเคลื่อนให้ตัวเองมุ่งมั่นที่จะทำงานศิลปะเพื่อสังคม และพลังศรัทธาที่เกิดขึ้นนี้ก็เปลี่ยนแปลงตัวเขาเองให้กลายเป็นคนใหม่ ที่เต็มไปด้วยพลังของความรักและความศรัทธาซึ่งอัดแน่นอยู่ในตัวของชายคนนี้

เหนือ จักรกฤษณ์

 

เราอยากรู้ว่าก่อนที่คุณจะใช้พรจากพระเจ้ามาเป็นแรงบันดาลใจของชีวิต ในช่วงวัยรุ่นคุณเป็นคนแบบไหน

     เราก็เป็นวัยรุ่นเหมือนคนอื่นๆ มีความต่อต้าน ขบถ ห้อยตะกรุด ตีรันฟันแทง นั่นเป็นช่วงก่อนที่เราจะมาพบว่าจริงๆ แล้วชีวิตของมนุษย์นั้นถูกพระเจ้าออกแบบไว้แล้ว และรอเวลาที่เราจะพบกับความรักจากท่าน

 

แต่พลังวัยรุ่นก็เป็นสิ่งดีนะ เพราะนั่นทำให้เรามีความทะเยอทะยาน และผลักดันให้คุณเองกลายเป็นศิลปินที่ได้รับการยอมรับในทุกวันนี้

     ตอนนั้นเราขับเคลื่อนชีวิตด้วยความกลัว ความอยากมีชื่อเสียง อยากมีเงินทอง ก็จริงที่แรงขับดันเหล่านั้นพาเราไปสู่ความสำเร็จ เรามีความทะเยอทะยาน เราทำงานมาเป็นสิบปี จนกระทั่งในปี 2005 เราก็มีนิทรรศการเดี่ยวของตัวเอง ซึ่งประสบความสำเร็จมากเลย มีคนมาดูงานกว่าสองร้อยคน ตอนนั้นเรามีความสุขมาก จนกระทั่งงานแสดงผลงานจบลง เราก็เกิดคำถามกับตัวเองว่า แล้วยังไงต่อวะ ไปจนถึงขั้นถามตัวเองว่าแล้วเราเกิดมาทำไม

     วันหนึ่งผมก็หยิบไบเบิลขึ้นมาเปิด ซึ่งหน้าที่ผมเปิดเจอในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ พระองค์นำนิรันดร์กาลมายังมนุษย์เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเห็นเกินกว่าโลกนี้

     ซึ่งนิรันดร์กาลนี้หมายถึง ชีวิตที่เป็นนิรันดร์ การเกิดสันติสุขขึ้นในชีวิต ถึงแม้ว่าศาสนาคริสต์จะมีความเชื่อในเรื่องของการไถ่บาป เมื่อเราตายไปแล้วจะมีอยู่แค่สองทางคือไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ ซึ่งการทำความดีนั้นไม่สามารถลบล้างบาปที่เราเคยทำได้ แต่พระองค์ก็ทรงมอบความรักให้แก่เราเสมอ เมื่อเรารับความรักนั้นมาไว้ในตัว เราจะรู้สึกถึงความรักที่ล้นอยู่ในตัวจนต้องถ่ายทอดไปให้คนอื่น

     นั่นจึงเป็นที่มาว่าทุกวันนี้เราไม่ได้ทำงานศิลปะเพื่อสังคมเพื่อให้ตัวเองเจอความสบายใจ เพราะถ้าเราอยากสบายใจ เรานอนเล่นอยู่บ้านดีกว่า เราเลือกที่จะออกไปคุยกับผู้คน ไปเผยแพร่ความรักของพระเจ้า หลายครั้งเราก็โดนเขาไล่ เห็นไหมว่ามันไม่ได้เป็นความสุขหรือความสบายใจเลยนะ แต่เราก็ยังอยากเอาความรักไปมอบให้กับใครต่อใครอยู่

 

เหนือ จักรกฤษณ์

 

เราสนใจเรื่องนี้นะ เพราะหลายคนที่เราเคยเจอก็พูดทำนองเดียวกับคุณว่า เหมือนเราจะเป็นคนเลือกทางเดินชีวิตเอง แต่จริงๆ แล้วทุกอย่างถูกลิขิตมาให้เป็นอย่างนั้นเสมอ เหมือนหนังเรื่อง The Matrix ที่สุดท้ายไม่ว่าจะเลือกยาเม็ดสีอะไรก็ตาม นั่นคือทางที่ถูกจัดเอาไว้แล้ว

     สมัยเรียนเราเป็นคนที่สอบได้คะแนนน้อยมากทุกวิชาเลย ยกเว้นศิลปะกับวิชาศาสนาที่เราทำคะแนนออกมาได้ดีมากๆ เราศึกษาหลักของศาสนาทุกประเภททั้งศาสนาพุทธหรือฮินดูก็ตาม แต่เราก็มีคำถามของตัวเองว่า เวลาที่ตัวเองชอบใครสักคน ทำไมเราไม่มีเหตุผลเลยว่าชอบเขาเพราะอะไร และก็คิดมาตลอดว่าเรื่องของความรักไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล จนกระทั่งตัวเองได้เรียนศิลปะอย่างเต็มตัว ทุกอย่างมันถึงมาบรรจบกันว่า ชีวิตได้ถูกออกแบบไว้แล้ว เราไม่ได้เดินมาทางนี้ด้วยความบังเอิญ โลกที่เรายืนอยู่นี้ก็ถูกจัดวางไว้แล้ว คุณลองคิดดูสิว่าถ้าโลกใบนี้เกิดผิดไปอีกแค่องศาเดียว ทุกสิ่งในโลกนี้จะเป็นอย่างไร นั่นจึงทำให้เราเชื่อว่ามีพระผู้สร้างอยู่

 

เราเลยสงสัยว่าการออกแบบคาแร็กเตอร์แต่ละตัว คุณใช้ไอเดียในใจหรือวาดไปตามสัญญาณบางอย่างที่ตัวเองรับรู้

     บางครั้งเราเอาข้อความในพระคัมภีร์มาใช้เป็นช้อมูลในการทำงาน แต่บางครั้งคาแร็กเตอร์ที่ได้ก็เกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เหมือนเราวาดไปเรื่อยๆ ร่างไปเรื่อยๆ ตามที่มือพาไป แล้วกลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา อย่างตัวคาแร็กเตอร์ที่เป็นกำแพงสามเหลี่ยม เกิดขึ้นจากความคิดของเราว่า เมื่อก่อนเรามีเพื่อนมากมาย แต่แล้วพอเราโตขึ้นสังคมก็บีบบังคับให้พวกเราต้องแข่งขันกัน จากนั้นเพื่อนก็ค่อยๆ หายไป ซึ่งบางส่วนอาจจะเป็นเพราะเขาไม่ชอบเราด้วยก็ได้ เพราะเมื่อก่อนผมก็ใช้ชีวิตที่สนุกจนเกินไปเหมือนกัน เวลาย้อนกลับไปดูสเตตัสเก่าๆ ของตัวเองในเฟซบุ๊กก็ยังตกใจเลยว่าเราเป็นคนแรงๆ แบบนี้เลยเหรอ เมื่อก่อนผมก็เชื่อแบบที่หลายคนเชื่อว่า การพูดแรงๆ พูดตรงๆ คือคนจริงใจ แต่เราพูดด้วยท่าทีที่ไม่แสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนไง สิ่งที่เราพูดก็เลยไปทำร้ายใครต่อใครเยอะแยะมากมาย

 

จริงๆ คนเราก็ไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังส่งพลังงานลบให้กันและกันอยู่ โดยเฉพาะตอนนี้ที่มีโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นสื่อกลางให้เราอยากพูดอยากพิมพ์อะไรออกมาก็ได้

     ผมเอาพลังด้านลบที่ได้รับมามองเสียใหม่ ดูว่าในเรื่องลบนั้นพระเจ้ากำลังสอนอะไรเราอยู่ แล้วผมก็เปลี่ยนมุมมองนั้นให้เป็นเรื่องบวก ทำให้เรื่องนั้นเป็นชิ้นงาน อย่างตัว น้องกำแพง’ ที่เกิดขึ้นจากตัวเราสร้างกำแพงขึ้นมาในใจตัวเอง ทั้งๆ ที่พระเยซูทรงแสดงให้เห็นถึงความรัก ความเมตตา การอภัยกับเรา แต่เรากลับไม่ให้อภัยตัวเอง คาแร็กเตอร์ของน้องกำแพงจึงเกิดขึ้นมา เพราะเราเชื่อว่าน้องกำแพงสามารถสื่อถึงการให้อภัยนี้กับคนอื่นๆ ได้ เพราะถ้าเราเอาสีไปทาทับตัวคาแร็กเตอร์นี้ น้องกำแพงสามารถเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นได้ เช่น เปลี่ยนเป็นน้องพิซซ่าก็ได้ อยู่ที่ว่าเราจะเปิดใจหรือเปล่า

 

เหนือ จักรกฤษณ์

เหนือ จักรกฤษณ์

 

มันน่าทึ่งตรงที่คุณสามารถนำคำสอนในพระคัมภีร์ที่เข้าใจยากมาเปลี่ยนเป็นสารที่เข้าใจง่ายขึ้นได้ด้วยงานศิลปะ

     จริงๆ เมื่อก่อนเวลาผมทำงานแล้วโพสต์ลงเฟซบุ๊กผมได้ไลก์เยอะมาก แต่พอผมมาเชื่อในพระเจ้า งานผมก็เปลี่ยนไป ผมเอาหลักในพระคัมภีร์มาสอดแทรกไว้ในตัวงาน ยอดไลก์ผมลดฮวบเลยเหลือแค่ยี่สิบไลก์ต่อรูปเองมั้ง (หัวเราะ) ก็เข้าใจว่าพอเป็นเรื่องศาสนาคนก็ไม่กล้าตอบสนอง แต่ผมจะเจอคนรู้จักที่เข้ามาบอกว่าเขาได้อ่านสิ่งที่ผมเขียน ซึ่งผมดีใจมากถ้าใครสักคนที่กำลังแย่แล้วได้มาเห็นงานของผมแล้วเขาเหมือนได้รับการเยียวยา ซึ่งมันคุ้มค่ากว่าการสะสมยอดไลก์ที่พอผ่านไปก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว

 

สมัยโบราณงานศิลปะถูกนำมาใช้เพื่อเล่าเรื่องทางศาสนาอยู่แล้ว เพียงแต่งานของคุณกำลังเล่าเรื่องนี้ให้กับคนรุ่นใหม่ด้วยรูปลักษณ์ใหม่ ซึ่งตอนนี้งานของคุณกำลังพาคนดูมุ่งไปสู่เรื่องอะไร

     ผมทำงานศิลปะร่วมกับกลุ่ม KAIROS Only JESUS และมีโอกาสได้ไปเจอเด็กที่อยู่ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน แล้วพบว่าเด็กผู้หญิงบางคนถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง เพราะหน้าตาไม่น่ารัก เราอยากให้กำลังใจน้องๆ เหล่านั้น จึงหยิบเอาเพลงโซโลมอน 1:5 ที่กล่าวไว้ว่า

     “บรรดาสตรีชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย ดิฉันผิวคล้ำดั่งเต็นท์แห่งเคคาร์ก็จริง แต่ก็งามน่ารักเหมือนม่านเต็นท์ของโซโลมอน

     แล้วผมก็ออกแบบเต็นท์แห่งเคคาร์ขึ้นมา ซึ่งเต็นท์นี้จะโดนแดด โดนลม โดนสิ่งสกปรก ดูแล้วไม่น่าจับต้อง เหมือนกับชีวิตของคนที่ทำผิดมา ดังนั้นทุกคนจึงเท่ากันหมด แม้แต่ผ้าม่านของโซโลมอนที่มีสีดำ แต่เมื่อโดนแสงจะเปล่งประกายเป็นสีทอง เหมือนชีวิตของผมที่เคยเป็นคนบาป เมื่อมีพระเจ้าในใจ แสงสว่างจากพระองค์จะส่องลงมา นั่นคือสิ่งที่ผมนำเอาไปใช้ให้กำลังใจน้องๆ

     ผมจะบอกพวกเขาว่า พระเจ้าไม่ได้มองเราเหมือนอย่างที่มนุษย์มอง พระเจ้าไม่ได้มองคนที่ภายนอก พระองค์ดูที่จิตใจของเรา เหมือนในเพลงของโซโลมอนที่บอกว่า เธอช่างงามจริงๆ นะยอดรัก งามเหลือเกิน ดวงตาของเธอดั่งนกพิราบ น้องๆ ก็จะมีอาการเขินอายแต่สายตาของพวกเขามีประกายแห่งความสุขเปล่งออกมา

 

เวลาที่เราศรัทธาอะไรจนแรงกล้า จะเหมือนตัวเองเสียการควบคุมและมุ่งมั่นอยู่กับสิ่งที่เราเชื่อจนดิ่งลึก จนบางคนทิ้งงานหลักของตัวเองไปเลย คุณให้ลิมิตตัวเองไว้อย่างไร

     มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมคิดว่าตัวเองโคตรไร้ประโยชน์เลย ไม่เอา ไม่ทำอะไรแล้ว พระเจ้าก็บอกว่าพระพรที่เราได้ไปแล้วไม่เอาไปทำต่อก็เท่ากับดูถูกพระเจ้า ผมก็ถามกลับไปว่าแล้วจะให้ผมทำอย่างไร ต่อมาไม่นานผมก็มีโอกาสได้ทำงานกับเด็กๆ นั่นจึงทำให้รู้ว่าพระเจ้ากำลังจะสอนเราถึงการมีความหวังที่มั่นคง แล้วผมก็เริ่มที่จะไม่ทำงานหลัก จะทำแต่งานส่วนตัว แต่พระเจ้าก็เริ่มต้อนผมให้กลับมาทำงาน ทำเพื่อคนอื่น ทำเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ต่อมาผมก็กลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนที่หายจากกันไปนาน เกิดเป็นความเชื่อมโยงกันผ่านงานศิลปะ ผมถูกชวนให้ไปเพนต์กระเป๋า เพนต์รองเท้า ได้ทำงานแฟชั่น งานที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ พระเจ้าพาผมมาให้เกิดความสนใจเรื่องแฟชั่นและเรื่องอื่นๆ แต่เราก็ต้องคิดต่อว่าในความสนใจที่ได้มานี้จะเอาสิ่งดีๆ ไปส่งต่อให้คนอื่นได้อย่างไร การทำงานของผมในทุกวันนี้จึงเป็นความสนุกกว่าเมื่อก่อน

 

เหนือ จักรกฤษณ์

 

พูดถึงเรื่องความหวัง เรากำลังอยู่ในยุคสมัยที่ความหวังถูกทำให้ดับสูญได้ง่ายมากๆ โดยเฉพาะการที่คนเราให้ความสำคัญกับยอดไลก์ยอดแชร์ พอโพสต์งานที่ตัวเองทำขึ้นมาแล้วไมไ่ด้รับการชื่นชมก็ท้อแท้และล้มเลิกเอาง่ายๆ

     ในพระคัมภีร์สอนไว้ว่า ความหวังของเราอยู่ในสิ่งที่มองไม่เห็น ผมไม่เห็นพระเจ้าแต่ผมรู้ว่าท่านมีอยู่ พระเยซูมี จากความรักที่กำลังดำเนินอยู่ คนเรามีความหวังชีวิตถึงดำเนินอยู่ได้ ถ้าคุณมีความหวังว่าจะได้สิ่งนั้นมา คุณก็จะมีแรงที่จะทำ แม้คุณจะยังไม่เห็นสิ่งนั้น ทีนี้ถ้าคิดว่าเราทำงานเพื่อให้เห็นความสำเร็จ แล้วเกิดงานคุณประสบความสำเร็จขึ้นมาจริงๆ ความหวังที่เคยมีอยู่ก็หมดไปใช่ไหม แล้วคุณจะต้องตามหาความหวังใหม่ๆ อีกใช่ไหม ถ้าหาไม่เจอละคุณจะทำอย่างไร พระเจ้าจึงได้บอกให้เรามีความหวังในตัวพระองค์ เพราะนั่นคือความหวังที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย

 

นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้คุณสามารถทำโปรเจ็กต์ใหม่ๆ ต่อไปได้ใช่ไหม เพราะเราคิดว่าการทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์นั้นบางทีก็อยู่ในภาวะสมองตันได้ง่ายเหลือเกิน โดยเฉพาะการออกแบบคาแร็กเตอร์

     ผมพาน้องกำแพงไปสู่โปรเจ็กต์ชื่อ under construction ซึ่งมาจากในพระคัมภัร์ที่บอกว่าคนแต่ละคนถูกสร้างมาให้อวัยวะแต่ละส่วนของมนุษย์ คุณเป็นมือ ส่วนผมเป็นหน้าอก ดังนั้นถ้าวันหนึ่งหน้าอกเกิดอยากจะเป็นมือขึ้นมานั่นเป็นไปไม่ได้ แต่ทุกคนสามารถมาประกอบรวมกันเป็นร่างกายเดียวกันเพื่อทำงานได้ ดังนั้นทุกคนไม่สามารถที่จะเย่อหยิ่งต่อกัน ต้องสามัคคี รักใคร่ปรองดองกัน จนเกิดเป็นงานชุดนี้ ที่น้องกำแพงซึ่งเป็นสามเหลี่ยมแต่สามารถไปประกอบร่างร่วมกับใครก็ได้ และเกิดเป็นคาแร็กเตอร์ใหม่ขึ้นมามากมาย

 

เหนือ จักรกฤษณ์