“สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรนอกจากชอบร้องเพลง การที่กลับมาแล้วได้ทำเพลง ได้เป็นศิลปินอีกครั้ง ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ที่ทำให้ชีวิตของผมได้มีหนทางไปต่อ จึงเป็นสิ่งที่ผมจดจำ และมีความสุขมาจนถึงทุกวันนี้”
ชายหนุ่มตรงหน้าเราทำสายตาครุ่นคิด เขากำลังรำลึกไปยังช่วงเวลาในวัยเยาว์ ก่อนจะเล่าย้อนกลับไปว่าตัวเขาเองนั้นเป็นเด็กที่ชอบแสดงออก งานกิจกรรมในโรงเรียนล้วนทำมาหมดแล้วทุกอย่าง จนกระทั่งได้ฉายแววการเป็นซูเปอร์สตาร์ตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งหลายคนคงคุ้นตากันในบทบาทของ ‘เด็กชายส้มฉุน’ จากละครเรื่อง เรือนมยุรา แม้หลังจากนั้นจะมีผลงานการแสดงออกมาอีกมากมาย แต่กิจกรรมเดียวที่เขายังทำตลอดมาเลยคือการร้องเพลง
“นั่นก็แปลว่าผมชอบในการร้องเพลงมาก” ‘ทอม’ – อิศรา กิจนิตย์ชีว์ กล่าวย้ำอีกครั้ง เราจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อประมาณสิบปีก่อนใครๆ ก็ต่างตกหลุมรักเสียงละมุนชวนฝันอันมีเสน่ห์ของเขาจากการคัฟเวอร์เพลงลงยูทูบจนได้รับโอกาสเดบิวต์เป็นศิลปินอีกครั้งในตำแหน่งนักร้องนำวง Room 39 แม้ว่าในวันนี้จะกลายเป็นอดีตที่ชวนให้คิดถึงไปแล้ว แต่เขาก็ยังโด่งดังเรื่อยมาทั้งกระแสหน้ากากทุเรียนจอมตะมุตะมิ แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้าหวานละมุนที่ประทับด้วยรอยยิ้มพริมใจของเขานั้น ได้เก็บซ่อนความรู้สึกที่บอกใครไม่ได้ไว้มากมายเหลือเกิน
ช่วงสองปีที่ผ่านมาสำหรับทุกคนถือว่าหนักหน่วงกันพอสมควร แล้วสำหรับ ทอม อิศรา คุณจัดการกับความยากลำบาก และผ่านจุดนั้นมาได้อย่างไร
ความจริงแล้วผมเป็นคนที่เครียด วิตกกังวล และคิดวกวนไปมามากๆ ช่วงที่ปล่อยซิงเกิลเดี่ยวเพลงที่สอง (เพลง คิดเอง) ออกไป ตอนนั้นโควิด-19 เริ่มระบาดพอดี ผมก็ลุ้นว่าแล้วจะเป็นอย่างไรต่อกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม คิดว่าน่าเสียดายตรงที่เราน่าจะมีงานโชว์แล้วจะได้เจอกับแฟนคลับมากมาย แต่ก็ต้องหยุดออกไปพบปะกับใคร
ซึ่งการร้องเพลงเป็นแรงผลักดันของผมอยู่แล้ว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเอาความชอบ เอาความฝันมาทำเป็นงานหลัก หลายครั้งก็ต้องเจอกับความยาก บางทีก็เหนื่อยจนเครียดโดยไม่รู้ตัว จึงทำให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘หรือว่าเราไม่ได้ชอบร้องเพลงแล้วนะ’ ผมเลยลองเรียนรู้อะไรใหม่ๆ พอกลับมาทำเพลงอีกครั้งก็รู้สึกดีขึ้นเหมือนได้สร้างสมดุลให้กับตัวเอง ทำให้ได้รู้ว่าบางทีที่เราออกไปทำอย่างอื่นแล้วเรากลับมาทำสิ่งเดิมมันยิ่งตอกย้ำเราว่า เรารักที่จะทำในสิ่งนี้แล้วมีความสุขกับมันจริง
และความโชคดีของผมคือมีภรรยาที่สามารถดูดซับเรื่องเครียดๆ ของผมได้ สุดท้ายแล้วจึงผมพบว่าในชีวิตของตัวเองแค่ต้องการใครสักคนที่พร้อมจะรับฟังเรา ซึ่งบางทีคนคนนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเก่งกว่า หรือคอยมาสอนผมว่าต้องทำแบบนั้นสิแบบนี้สิแล้วปัญหาจะคลี่คลายไป ผมขอแค่เป็นคนที่รับฟังปัญหาของเรา แค่อยากนั่งอยู่ข้างๆ และเข้าใจความรู้สึกที่ผมมีอยู่ตอนนั้นก็พอแล้ว
ถ้าเกิดว่าตอนนั้นคุณไม่มีใครอยู่เคียงข้าง คุณจะจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ไหม
ผมคงก็ต้องหาเพื่อนหรือใครสักคนที่อยากรับฟังเราจริงๆ เพราะผมเคยจมอยู่ในจุดที่ดิ่งมากๆ ถ้าตอนนั้นไม่มีใครอยู่ข้างๆ คอยรับฟังเป็นเพื่อน ผมก็จะผ่านเรื่องนั้นไปไม่ได้เลย ซึ่งตอนนี้ส่วนใหญ่คนที่รับฟังผมจะเป็นภรรยาครับ
ถือเป็นความโชคดีมากที่มีคนใกล้ตัวคอยดูแลความรู้สึก แล้วกลัวบ้างไหมว่าเวลาเราระบายกับเขา จะทำให้เขาจะเครียดไปกับเราด้วย
ผมว่าเขาก็คงเครียดนะ เชื่อว่าคนเป็นหมอถ้ามาฟังเรื่องผมก็ยังต้องเครียดเลย (หัวเราะ) แต่ว่าแฟนผมเป็นคนใจเย็นมากๆ แล้วข้อดีของเขาตรงนี้ทำให้ผมกลายเป็นคนใจเย็นตามเขาไปด้วย
แสดงว่าคุณเป็นคนใจร้อนมากๆ เลยอย่างนั้นใช่ไหม
ใช่ ผมเคยเป็นคนใจร้อนมากๆ แต่พอเราโตขึ้นบวกกับแฟนเป็นคนใจเย็นแล้วถ้าผมยังเป็นคนใจร้อนอยู่ก็จะอยู่ร่วมกันไม่ได้ บางสิ่งที่ผมคิดว่าสิ่งนี้คือถูกแต่กลายเป็นว่าทำให้เขารู้สึกไม่ดีหรือเปล่า ผมก็ต้องค่อยๆ คิดทบทวนใหม่อีกครั้ง
ถ้าอย่างนั้นการที่ต้องอยู่กับเพลงที่มีเนื้อหาหม่นๆ นั้น ไม่กลัวว่าจะส่งผลกับความรู้สึกของคุณบ้างเลยเหรอ
เหมือนว่า ณ ตอนนี้ผมมีความสุขนะ เพราะผมได้นำเสนอตัวเองออกมาใส่ในเพลง ได้เอาเรื่องที่อึดอัดออกมาปลดปล่อยบ้าง เพราะว่าผมไม่สามารถไปนั่งเล่าตัวต่อตัวกับใครได้ว่าชีวิตผมเป็นแบบนี้นะ ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ผมเลยเล่าออกมาผ่านทางเพลงแทน
จากความในใจเหล่านั้นเลยกลายมาเป็นเพลง ‘ไม่ใช่ไม่รู้สึก’ ในนาม ทอม อิศรา เล่าให้ฟังหน่อยว่าเพลงนี้ต่างกับเพลงที่ผ่านมาอย่างไร
ต่างกันที่ความรู้สึก ณ ตอนที่ทำเพลงครับ อย่างเพลง ไม่ใช่ที่ของฉัน ซึ่งเป็นเพลงแรกของ ทอม อิศรา ก็จะมีโทนของความหม่นๆ เทาๆ ขมุกขมัวหน่อย จนมาถึงเพลง ไม่ใช่ไม่รู้สึก เพลงนี้ผมได้พี่แทน ลิปตา (ธารณ ลิปตภัลลภ) มาเขียนเพลงให้ พวกเราก็มานั่งคุยกันว่าจะนำเสนอในเรื่องอะไรดี ซึ่งพี่แทนก็ถามว่าช่วงนี้ทอมเป็นอย่างไรบ้าง มีความคิด มีมุมมองแบบไหนในการใช้ชีวิต รวมถึงทัศนคติในเรื่องความรัก และต่อเรื่องต่างๆ แบบไหนบ้าง เมื่อเล่าความรู้สึกทั้งหมดให้เขาฟัง พี่แทนก็กลับไปทำเพลงนี้มาให้ผมร้อง
หมายความว่ามีเรื่องราว ความรู้สึกส่วนหนึ่งของคุณซ่อนอยู่ในเพลงนี้ด้วยใช่ไหม
มีครับ ผมมักเป็นคนขี้กลัว ขี้เกรงใจ แล้วก็เก็บความรู้สึกไว้ในใจ แม้แต่เวลาที่มีคนถามว่าหิวหรือยัง กินข้าวไหม รีบไหม ผมก็จะบอกว่าไม่เป็นไรครับ แล้วถ้านำนิสัยนี้มาพูดถึงในมุมของความรัก ความรู้สึกของการแอบชอบก็เป็นเรื่องของการที่เราไม่บอกความรู้สึกของเราออกไปเหมือนกัน บางทีการที่เราไม่บอกความรู้สึกออกไปกลายเป็นเรื่องโกหก ซึ่งเราอาจจะรู้สึกได้ว่าเราโอเค ไม่เป็นไร แต่ความจริงในใจแล้วเราก็รู้สึก ต่อเราเก็บมันไว้ข้างในแต่ก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเรารู้สึก
ในเพลงนี้ก็เลยนำมาพูดถึงเรื่องราวของเพื่อนที่แอบรักเพื่อน คือเรารู้อยู่แล้วว่าเพื่อนไม่สามารถรักเพื่อนได้นะ เพราะถ้าบอกปุ๊บแล้วเกิดความผิดพลาดขึ้นมาก็จะเสียเพื่อนคนนั้นไปเลย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไม่บอกไปจะดีกว่า ซึ่งความรู้สึกของผมก็เลยถูกอ้างอิงออกมาเป็นเรื่องของความรักที่ไม่สามารถพูดออกไปได้
แต่ถ้าในอีกมุมหนึ่งจะมองได้ไหมว่า การแอบรัก การจินตนาการ การเก็บไว้ในใจก็สามารถเป็นความสุขได้
ได้นะ ความจริงไม่มีผิดไม่มีถูกเลย ทุกคนสามารถมองเป็นแบบไหนก็ได้ทั้งหมด อย่างเพลงที่แล้ว (เพลง คิดเอง) ของผม ผมพูดในมุมนั้นเลยนะว่ามีความสุขที่ได้จินตนาการ คือแค่ได้รักก็มีความสุขแล้ว แต่คนที่อยู่ในโมเมนต์เหล่านั้นก็มีแวะเวียนเข้ามาให้หัวนะ ว่าก็อยากให้ความรักของเราเป็นจริงบ้างแล้วก็แอบเครียด คือคนเรามีหลายมิติมากเลย แล้วแต่ว่าในโมเมนต์นั้นๆ เราจะอยู่ในอารมณ์ และความรู้สึกแบบไหน อะไรที่จะมากระตุ้นให้เรารู้สึกขึ้นมา
กลับมาที่ฝั่งของคนที่แอบรัก การที่เขารู้สึกแต่ก็ต้องทำเป็นไม่รู้สึกซึ่งจุดนี้หากมีซีนที่ทำให้เห็นว่าก็มีคนคอยฟังเขาก็น่าจะดีไปอีกแบบนะ
ถ้าได้ดูในมิวสิกวิดีโอเราจะไม่ได้ยินเสียงคนพูดเลย แต่ว่าทุกคนจะสามารถเห็นความรู้สึกได้จากสายตาของน้องนักแสดงคนนั้น (หยิ่น-วอร์) ความรู้สึกทุกอย่างได้แสดงออกมาทางสายตาหมดแล้ว เพราะไม่สามารถพูดความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกไปได้ ซึ่งคนประเภทนี้เวลาที่มีอะไรอยู่ในใจ อาการมักจะออกทางสีหน้าหรือแววตา ซึ่งคนที่ไม่ได้ใส่ใจเราเขาก็คิดว่าเราไม่เป็นอะไรหรอก เขาเห็นว่าที่ผ่านมาเราอะไรก็ได้ก็คงอะไรก็ได้ไปตลอด เพราะเขาไม่ได้สังเกตเรา เลยไม่ได้คิดว่าคนเราต้องโตขึ้น หรือคิดว่าเราไปเจอเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ทำให้ตัวเราเปลี่ยนไป แต่เราเป็นคนที่รู้ตัวเองว่าทุกๆ อย่างเปลี่ยนไปแล้ว
ณ วันนี้ทุกคนรู้ว่าคุณมีความสามารถมากมายในการร้องเพลง คิดว่าควรจะกลับไปทำเพลงในสไตล์เดิม หรือคิดว่าอยากเพิ่มทักษะในการร้องเพลงให้สูงกว่านี้มากกว่า
ผมเชื่อว่าหลายคนอาจจะอยากเห็นผมร้องเพลงที่ง่ายขึ้น เพราะบางทีชีวิตของเขาอาจจะต้องเจออะไรมามากมาย เขาอยากฟังเพลงที่ผมร้อง แต่เป็นเพลงที่ทำให้เขาหายเครียดมากกว่าหรือเปล่า แต่ด้วยความรู้สึกของผมตอนนี้ยังอยากจะทำเพลงแบบนี้อยู่ แต่ถามว่าอยากมีเพลงสบายๆ ฟังง่ายไหม อยากมี แต่การทำงานด้วยตัวเองตอนนี้ก็คือการลองไปเรื่อยๆ ก่อน
แล้วแผนการณ์ของตัวเองปีนี้วางไว้อย่างไรบ้าง
ที่ผ่านมาผมปล่อยเพลงเฉลี่ยตกอยู่ปีละหนึ่งเพลง แต่ก็ปีนี้ก็ตั้งใจว่าจะมีอีกสักเพลงหนึ่ง ตอนแรกก็กังวลเรื่องโควิด-19 เลยลังเลอยู่ว่าจะปล่อยดีหรือไม่ปล่อยดี แต่ผมก็มองว่ารอไปก็เท่านั้นเพราะเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย ณ ตอนนี้แค่มีความสุขที่จะได้ทำแค่นั้นก็พอแล้ว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ผมเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแปลว่าดีทุกอย่าง ทำให้เราได้เรียนรู้กับการรับมือและความเสียใจได้ ดังนั้น ค่อยๆ ทำไปไม่ต้องเครียดมาก แล้วก็พยายามผ่อนคลายบ้าง เพราะถ้าเอามาบั่นทอนตัวเองผมก็คงเลิกร้องเพลงไปแล้ว แต่ผมคิดแค่ว่ามีความสุขที่ได้ร้องเพลง ได้สื่อสารกับคนที่ยังรอฟังเพลงจากผมอยู่แค่นั้นผมก็สุขใจแล้ว