ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟค

กิตติภัค ทองอ่วม: เบื้องลึกเบื้องหลังของตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟคที่ ‘เรียล’ ที่สุด

หลังจาก ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ เดอะ ซีรี่ส์ ซีซัน 2 จบลง รวมระยะเวลาสองปีเต็มที่กลุ่มเพื่อนตุ๊ดและดี้ห่างหายไปจากจอแก้ว จนกระทั่ง ‘ไตเติ้ล’ – กิตติภัค ทองอ่วม ผู้กำกับและหนึ่งในทีมเขียนบท ตัดสินใจสานต่อเรื่องราวแห่งจักรวาลตุ๊ดซี่ส์ให้กลับมาสร้างอรรถรสครั้งใหม่ที่อลังการขึ้นกว่าเดิมบนจอเงินในชื่อ ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟค 

        จริงอยู่ที่คนดูจะได้เห็นในหนังเรื่องนี้คือความตลกโปกฮาและความวายป่วงของบรรดาตัวละคร เพราะพวกเขาต้องร่วมมือกัน ‘เฟค’ เพื่อปิดบังสิ่งที่เพื่อนในกลุ่มก่อไว้ แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปมากกว่าเสียงหัวเราะ โดยเราจะพบความจริงของชีวิตที่ยึดโยงทุกคนเข้าไว้ด้วยกันได้เสมอ ทั้งมิตรภาพ ความรัก และการพยายามหาหนทางเอาตัวรอด แม้จะต้องตบตาใครต่อใครก็ตาม และเรื่องราวทั้งหมดนี้คือเบื้องลึกเบื้องหลังก่อนจะสำเร็จเป็นภาพยนตร์ที่ ‘เรียล’ ที่สุดจากปากคำของผู้กำกับ

 

ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟค

ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟค เป็นเนื้อเรื่องใหม่ที่ต่อยอดมาจาก ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ เดอะ ซีรี่ส์ อยากทราบว่า Big Idea ของจักรวาลตุ๊ดซี่ส์เวอร์ชันภาพยนตร์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

        ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟค (Tootsies & The Fake) เริ่มต้นจากโจทย์ที่เราอยากให้มีซูเปอร์สตาร์หญิงคนหนึ่งมาอยู่กับกลุ่มตัวละครหลักทั้งสี่ (กัส กอล์ฟ คิม และแนตตี้) เพราะเรารู้สึกว่าเสน่ห์อย่างหนึ่งของ ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ เดอะ ซีรี่ส์ คือการเปลี่ยนภาพจำของนักแสดงรับเชิญให้มีบทบาทต่างไปจากเดิมเพื่อเซอร์ไพรส์คนดู แต่เมื่อทำเป็นหนังก็ต้องทะเยอทะยานขึ้นไปอีก เราทำการบ้านกันเยอะมาก จนตัดสินใจได้ว่าจะนำตัวแม่จากหลากหลายวงการมารวมไว้ในหนัง แต่สำหรับซูเปอร์สตาร์หญิงที่ต้องมารับบทนำ เรายังคิดไม่ตกว่าจะออกแบบคาแรกเตอร์หรือเขียนบทอะไรให้เขามาแสดง จนกระทั่งวันที่ ‘เต๋อ’ – รัฐนันท์ จรรยาจิรวงศ์ (รับบท ‘คิม’) มาสวัสดีปีใหม่พร้อมกับจมูกใหม่ที่เขาเพิ่งทำมา แวบแรกที่เห็นยอมรับว่าตกใจนิดหน่อยจนทำตาเหลือกใส่ (หัวเราะ) เพราะหน้าของเขาค่อนข้างเปลี่ยนไปจากเดิม เมื่อเป็นแบบนี้คงต้องหยิบเรื่องศัลยกรรมมาพูดในหนังด้วย ไม่อย่างนั้นคนดูจะงงว่าคิมไปทำอะไรมา

        จากคำว่าศัลยกรรมที่นึกขึ้นมาได้ในตอนนั้น เราก็คิดต่อยอดไปว่าจะเป็นอย่างไรหากซูเปอร์สตาร์ต้องมาแสดงเป็นคนที่ทำหน้ามาเหมือนเขาเป๊ะๆ แล้วเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ต้องปลอมเป็นตัวเองอีกทีหนึ่ง เราตั้งใจทั้งสร้างตัวละครใหม่และเขียนบทให้ท้าทายความสามารถของนักแสดง เพราะเราเห็นภาพในหัวแล้วว่าต้องออกมาสนุกและวายป่วงตลอดทั้งเรื่อง ต้องยกความดีความชอบให้จมูกใหม่ของเต๋อที่จุดประกาย ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟค

        นอกเหนือจากตัวละครแม่ค้าขายปูผัดผงกะหรี่ที่ต้องมาเฟกเป็นซูเปอร์สตาร์แล้ว ตัวละครอื่นๆ ก็จะมีวิธีเฟกเป็นของตัวเอง จุดนี้แหละคือประเด็นสำคัญที่จะเชื่อมโยงกับชีวิตจริงของคนดู เพราะว่าทุกวันนี้เราต่างเฟกใส่กันอยู่แล้ว มากบ้าง น้อยบ้างตามสถานการณ์ ที่พูดอยู่นี่ก็เฟกนะ (หัวเราะ)

ทำไมครั้งนี้คุณถึงเลือกเล่าเรื่องผ่านภาพยนตร์แทนที่ขยายต่อเป็นซีรีส์ ซีซัน 3 

        หลังจาก ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ เดอะ ซีรี่ส์ ซีซัน 2 จบลง คนก็ยังถามถึงซีซัน 3 อยู่เรื่อยๆ แต่ตัวเองคิดขำๆ ว่าถ้าจะต้องทำต่อ อยากสร้างเป็นหนังมากกว่า เพราะจักรวาลตุ๊ดซี่ส์ ไม่ได้มีประเด็นมากมายที่จะนำมาทำเป็นซีรีส์หลายๆ ตอนเหมือนเดิม ผ่านไปหนึ่งปี พี่วรรณ (วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์) และพี่เก้ง (จิระ มะลิกุล) ผู้บริหารของจีดีเอช ได้ติดต่อผ่านโปรดิวเซอร์ว่าอยากให้ทำเป็นหนัง

        ในตอนนั้น ความคิดแรกที่เกิดขึ้นในหัวคือ ‘จริงเหรอ’ เพราะรู้สึกว่าเป็นงานที่ต้องใช้เวลาทบทวนตัวเองแล้วค่อยตัดสินใจ แต่จะให้บอกปฏิเสธทันทีก็ไม่ควรทำเด็ดขาด เพราะมันคือโอกาส ในสายตาของเรา พี่ทั้งสองคนคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เขาคงเห็นอะไรบางอย่างจึงทาบทามให้เรามาทำโปรเจ็กต์นี้ แม้ว่าเราจะเป็นบัวในตมก็ตาม (หัวเราะ)

แต่ในที่สุดบัวในตมดอกนั้นก็เบ่งบานออกกลายเป็นผู้กำกับหนังคนใหม่

        เพราะพี่ๆ เขามาชี้ทางให้ไง

แน่นอนว่าคุณต้องรู้สึกกดดันไม่น้อย

        เรามีความกดดันแค่ในแง่กระบวนการทำงาน เพราะเราไม่เคยทำหนังมาก่อน จริงๆ ไม่เคยคิดฝันด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งจะได้กำกับหนัง เป็นอาชีพที่ไม่เคยคิดไว้ในหัวเลย แต่ในเมื่อได้รับโอกาสและความเชื่อใจให้ทำหน้าที่นี้ ก็พร้อมจะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสเต็ปสำคัญของชีวิตที่ไม่รู้จะไปหาจากไหน ถ้าไม่ได้รับโอกาสให้ทำ แต่ยอมรับเลยว่าในช่วงแรกๆ รู้สึกว่าตัวเองทำงานแบบมวยวัด

ถึงตอนนี้เจนจัดขึ้นบ้างหรือยัง

        ก็ไม่เชิงนะ ถึงขั้นเคยพูดกับโอปอล์ (ปาณิสรา อารยะสกุล) และคนใกล้ตัวคนอื่นๆ ว่า หรือฉันต้องไปเรียนสร้างหนังให้รู้เรื่องรู้ราว ถ้าชีวิตจะมาทางนี้จริงๆ เพราะตอนทำงานกับผู้ช่วยผู้กำกับ เขายังมีความรู้ความเข้าใจการทำหนังมากกว่าเราอีก อย่างศัพท์เทคนิคที่ใช้คุยกับกล้อง บางคำเรายังไม่รู้จักเลย ก็ต้องเรียนรู้จากเขาด้วย เพราะชาติกำเนิดเราไม่ได้มาจากสายทำหนัง เราเรียนวิทยุโทรทัศน์ แต่อาศัยการเป็นคนชอบดูหนังมากกว่า ทำให้รู้ว่าการสร้างหนังเกี่ยวข้องกับแง่งามทางศิลปะ เป็นศาสตร์ที่ต้องใช้ทักษะและความสามารถที่แตกต่างไปจากตอนทำซีรีส์ ซึ่งผู้กำกับฯ เหล่านั้นสร้างภาพในหนังออกมาได้เก่งมาก พอมาทำงานนี้ เรายิ่งต้องเรียนรู้มากกว่าคนอื่น แม้ว่าเราจะทำหน้ามั่นใจว่าเก่งก็ตาม (หัวเราะ) เราพยายามทำให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์และดีที่สุด

        อย่างที่บอกว่าเราไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะกำกับหนังเป็นอาชีพจริงๆ จังๆ แต่ระยะหลังได้รับโอกาสให้ทำงานนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนคิดว่าหรือถึงเวลาแล้วที่เราต้องไปเรียนเพิ่มเติม เพราะจะอาศัยแต่ประสบการณ์และการทำงานกับคนอื่นๆ อย่างเดียวไม่ได้

 

ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟค

คุณคิดว่าอำนาจที่แท้จริงของการเป็นผู้กำกับฯ อยู่ตรงไหน

        การนำภาพที่อยู่ในหัวของเราออกมาเป็นภาพของหนัง เพราะเราเขียนบทหนังด้วย ภาพในหัวเลยค่อนข้างชัด แล้วเรารู้ว่าใครสามารถทำอะไรให้ได้บ้าง เพื่อทำภาพนั้นให้เกิดขึ้นในหนัง ก็จะขอให้แต่ละคน แต่ละฝ่ายมาช่วย เราต้องเลือกทุกอย่างที่รู้สึกว่าดีที่สุดสำหรับหนัง นี่คือสิ่งที่เราแข็งในฐานะผู้กำกับ บางครั้งทีมงานก็แย้งขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเรามีภาพในหัวที่ชัดเจนแล้วและสัญชาตญาณบอกว่าดี เราจะอธิบายให้เขาเห็นภาพเดียวกับเรา และยืนยันให้ทุกคนทำให้ตามภาพในหัวของเราไปก่อนเสมอ ซึ่งถ้าผลลัพธ์ออกมาแล้วไม่ใช่ เราก็พร้อมจะขอโทษทุกคน

        เราเป็นผู้กำกับฯ ที่ไม่เหวี่ยง ไม่วีน ซึ่งถ้ามองจากภาพลักษณ์คนอาจะไม่เชื่อ (หัวเราะ) ตอนทำงานเราเป็นผู้กำกับที่โดนผู้ช่วยผู้กำกับด่าด้วยซ้ำ เพราะเขามีประสบการณ์ ผ่านการทำหนังมาเยอะมาก มีหลายรายละเอียดเรื่องเทคนิคที่เขาเข้าใจมากกว่าเรา ดังนั้น เราจะไม่ด่ากราด มีอีโก้สูง หรือทำตัวกร่างใส่ใครทั้งนั้น เราเป็นผู้กำกับที่ทำตัวลีบๆ เล็กๆ ถ้าจะด่าก็ด่า ‘ปิงปอง’ – ธงชัย ทองกันทม (รับบท ‘กอล์ฟ’) คนเดียว เพราะเรารู้ว่าพูดดีๆ เพราะๆ แล้วเขาจะไม่ยอมทำตาม ต้องด่าให้ได้สติ”

ปกติคุณดูเป็นคนที่มีความมั่นใจสูง ใช้วิธีไหนที่ลดอีโก้ตัวเองลงได้

        ในชีวิตจริง เพื่อนที่สนิทกันมากๆ จะเข้าใจดีว่าเราเป็นคนหนึ่งที่โลกต้องหมุนรอบตัวเองเหมือนกัน (หัวเราะ)  แต่ในการทำงานเราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น นี่คือสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องปรับเมื่อทำงานกับคนอื่น เราไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้ เช่นวันที่เราเลิกกับผัวก็ต้องมาทำงานปกติ ต้องมีเหตุผล รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ใช่ลมเพลมพัด เททุกอย่าง ไม่ยอมทำงาน วันแรกของการถ่ายทำเราบอกทุกคนว่า ความสนุกและความตลกต้องเริ่มต้นตั้งแต่บรรยากาศในกองถ่ายก่อน เราไม่อยากให้คนทำรู้สึกไม่สนุก ทำอะไรผิดไปก็บอกกัน ขอโทษกัน

สำหรับนักแสดงล่ะ คุณทำงานกับพวกเขาอย่างไรให้แต่ละคนรู้สึกสนุกและตลกตลอดการทำงาน ทั้งๆ ที่ชีวิตจริงทุกคนไม่ได้รู้สึกตลกตลอดเวลา

        เราบอกนักแสดงเหมือนกันว่าระหว่างทำงานหากมีปัญหาให้มาคุยกัน เพราะหนังจะไม่มีทางตลกได้หากคนแสดงไม่รู้สึกสนุกแต่แรก อย่างวันที่เต๋อเลิกกับแฟน เขาซึมเหมือนซอมบี้มากองถ่าย เราพูดกับเขาว่า เรื่องส่วนตัวเอาไว้ก่อน นี่คืองาน เมื่ออยู่หน้ากล้องแล้วสั่งแอ็กชัน เขาคือคิม แต่หลังจากสั่งคัต จะเศร้าก็ค่อยว่ากัน นี่คืออาชีพ ทุกคนทั้งกองถ่ายต้องทำงานตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด

        เราต้องทำใจแข็งกับเรื่องบางเรื่อง เรารู้ว่าเมื่อไหร่ต้องแข็ง ตอนไหนยืดหยุ่นได้ แต่ต้องไม่ใช่คนที่ไร้หัวใจ เป็นคนใจหมาหรือใจสัตว์ เราว่าตัวเองเป็นผู้กำกับที่ใจดีนะ แม้ว่าบางครั้งก็อยากกรี๊ดเหมือนกัน (หัวเราะ) แต่ทำไปแล้วได้ประโยชน์อะไรล่ะ จะร้ายกับคนที่ทำงานกับเราไปทำไม

ทำไมตุ๊ดต้องคู่กับความตลก ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟค ก็ยังคงเลือกนำเสนอความตลกของตุ๊ด

        เราเข้าใจคนที่บอกให้ช่วยฉายภาพตุ๊ดในมุมมองอื่นๆ แต่เราโตมาจากการดูละครที่มีตุ๊ดตลก จึงมองว่าความตลกในตุ๊ดก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีตรงไหน เราเชื่อว่าทุกคนชอบอยู่กับเพื่อนตลกที่มองโลกด้วยอารมณ์ขัน เพราะทำให้ชีวิตสนุกและมีสีสัน คนรอบตัวส่วนมากก็เป็นแบบนี้ เราไม่เคยปฏิเสธความตลกในความเป็นตุ๊ด เรายอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของตุ๊ดและทุกๆ คน แต่ที่เราเลือกเล่าความตลกของตุ๊ด เพราะตัวละครต้นเรื่องทั้ง 4 คนมาจากเพจ ‘บันทึกของตุ๊ด’ ซึ่งเป็นเพื่อนที่มีอารมณ์ขัน แล้วเราก็ไม่ได้นำเสนอแต่ความตลกอย่างเดียว เราสอดแทรกเรื่องจริงจังของชีวิตด้วย ซึ่งเราชอบตรงนี้มาก คือไม่ได้เอาความตลกมาเป็นโจทย์ตั้งต้นว่าต้องมาทำหนังตุ๊ดตลกกันเถอะ เพียงแต่ว่าคนต้นเรื่องเป็นกลุ่มเพื่อนอารมณ์ดีที่ถูกจริตคนทั่วไป ความตลกก็เป็นเฉดอีกสีหนึ่งของตุ๊ด

แล้วเฉดสีเข้มที่สุดของคุณคือเรื่องอะไร

        ความสัมพันธ์ (ตอบทันที) เป็นเรื่องสากลของทุกคน เราเองก็มีประสบการณ์

 

ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟค

เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ ความรักของตุ๊ดมักจะถูกตีตราว่าเป็นเรื่องไม่สมหวัง คุณคิดอย่างไรกับประเด็นนี้ แล้วประสบการณ์ความรักของคุณเป็นอย่างไร

        ก็เพราะว่าสื่อเลือกนำเสนอและต้องการขายข่าว ในเมื่อนำเสนอข่าวตุ๊ดรักกันดี แต่คนก็ไม่สนใจ ก็ต้องนำเสนอเป็นข่าวตุ๊ดเกย์หึงหวงแล้วฆ่ากันตาย เพราะทำให้คนสนใจมากกว่า สุดท้ายคือการฉายภาพซ้ำ

        ส่วนเรื่องความรักส่วนตัวสมหวังดี แม้ว่าก่อนหน้านี้จะพังพินาศก็ตาม แฟนคนนี้คบกันได้ 2 ปีแล้ว ตอนแรกต้องปรับตัวอยู่ระยะหนึ่งเลย เพราะต่างกันทั้งอายุ ทัศนคติ เชื้อชาติ ทำให้มองโลกต่างกันไปด้วย ก็ต้องช่วยกันสานความสัมพันธ์ เราใช้ทั้งธรรมะ หลักคิดจากพี่อ้อยกับพี่ฉอด หรืออะไรก็ตามที่ทำให้ความรักคงอยู่ได้ เราจะนำมาปรับใช้กับชีวิตรักอยู่เรื่อยๆ ซึ่งที่ไม่ต่างจากคู่รักหนุ่มสาวทั่วไป อย่างถ้าช่วงไหนทะเลาะกันบ่อย ก็จะมานั่งเคลียร์ความรู้สึกกัน เพราะความรักของเรามันมีบริบททางวัฒนธรรมซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตั้งแต่เรื่องภาษา การตีความหมาย และสิ่งที่แต่ละคนยึดถือ สุดท้ายความรักคือการเรียนรู้กันและกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่สิ่งหนึ่งที่บอกตัวเองตลอดคือ เวลามีปัญหา เราจะไม่ใช้วิธีเปลี่ยนคน แต่จะแก้ไขก่อน จนกว่าจะรู้สึกว่าแก้หรือปรับไม่ได้แล้วจริงๆ

คุณนำประสบการณ์ความสัมพันธ์และมุมมองความรักมาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างงานด้วยใช่ไหม เพราะบรรยากาศของซีรีส์ดูจะอบอวนไปด้วยกลิ่นอายเหล่านี้

        มีบ้าง โดยเฉพาะการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครชื่อกัส น้องๆ นักแสดงยังแซวว่า เป็นกัสเหรอ เพราะเขารู้สึกว่าเราอินกับตัวละครนี้มาก จริงๆ อินตั้งแต่ตอนเขียนบทแล้ว เพราะเราชอบคิดแทนตัวละครว่าจะทำอย่างไรเมื่อพบกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่ทีมเขียนบทคนอื่นๆ ก็จะคอยค้านว่าไม่ได้ โดยเฉพาะ ‘ปุ๊กกี้’ – ปวีนุช แพ่งนคร หลายเหตุการณ์ที่ละเอียดอ่อน ในมุมมองของคนเป็นแม่ เขาถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด แต่สำหรับเราที่มีแค่แฟน ไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก กลับรู้สึกรับได้ ก็ต้องหารือกัน

ในการทำงาน ตัวละครแต่ละตัวต่างมีชุดความคิดเรื่องความรักที่กำหนดไว้ ในฐานะที่คุณเป็นทั้งผู้เขียนบทและผู้กำกับฯ คุณสื่อสารอย่างไรให้นักแสดงเข้าใจได้อย่างไร

        เราชอบคำพูดของ กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา (รับบท ‘วิน’) เขาเคยบอกว่า ไม่ได้มองตัวละครนี้เป็นเกย์ แต่มองว่าตัวละครชื่อวิน รักตัวละครชื่อกัส แล้วเขาก็ไม่ได้แสดงเป็นเกย์ เขาแค่แสดงความรักให้คนอีกคนหนึ่งเท่านั้นเอง ดังนั้น เวลาคุยกับนักแสดง เราจะแค่บอกเขาว่ารู้สึกรักแฟนยังไงก็แสดงแบบนั้น ถ้าเขาสามารถเล่นออกมาตรงกับที่บทต้องการสื่อเราจะบอกว่าถูกต้องแล้ว ถ้ายังไม่ใช่ ก็ต้องปรับกัน แต่เราจะไม่บอกนักแสดงผู้ชายว่าให้เล่นเป็นตุ๊ด เราอธิบายบนพื้นฐานของความรัก ซึ่งเป็นเรื่องสากลที่ทุกคนรับรู้และรู้สึกได้

คุณปลุกปั้นจักรวาลตุ๊ดซี่ส์มาตั้งแต่แรกเริ่ม เคยคิดไหมว่าวันหนึ่งอาจจะได้ไปเชื่อมสัมพันธ์กับจักรวาลหนังตุ๊ดตลกอื่นๆ

        เคยคิดไว้เหมือนกัน (หัวเราะ) และถ้าเกิดขึ้นจริงจะรู้สึกเป็นเกียรติมาก เพราะเราเป็นหนึ่งคนที่ไปดูหนังเหล่านั้น แล้วรู้สึกชื่นชมมาก เราปลี้มเจ๊แต๋ว ชอบอีแพนเค้ก (จากเรื่อง หอแต๋วแตก) ถ้า ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟค สามารถสร้างความสนุกสนานและเสียงหัวเราะได้เหมือนกับหนังที่เราไปดู คงรู้สึกดีใจมากเหมือนกัน

 

ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟค

มุกตลกใน ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ เดอะ ซีรี่ส์ ส่วนใหญ่ มักเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริงหรือกระแสต่างๆ ที่สังคมให้ความสนใจ ทำไมคุณถึงหยิบยกมุกตลกเหล่านี้มาล้อเลียนในภาพยนตร์ เช่น มุก ‘อีกะเทย มึงสิอีกะเทย’

        ง่ายๆ เลย เพราะมันตลกและสนุก ปกติเราชอบเอาอะไรแบบนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของงานอยู่แล้ว เมื่อพบเห็นเหตุการณ์ทำนองนี้ แล้วสามารถนำมาอยู่ในหนังได้อย่างลงตัว เราจะมีความสุขมาก (เน้นเสียง) แต่ก็มีคนติว่า ทำไมไม่คิดเอง ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่เราคิดกันอย่างดีแล้วนะ เพราะทุกสิ่งที่นำมาใส่ในหนังต้องปรับเปลี่ยนเข้ากับเรื่อง ไม่ได้เอามาใส่ดื้อๆ ลอยๆ แล้วจบ ไม่ใช่แบบนั้น ซึ่งตัวเราเองถนัดทำงานที่ค่อนข้างร่วมสมัย ทันยุคทันเหตุการณ์ เรารู้สึกว่ามุกตลกเหล่านี้มีเสน่ห์ในตัวเอง เมื่อคนดูเห็น ก็จะสามารถเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องได้ง่าย ดังนั้น ทั้งในซีรีส์และหนัง จะมีทั้งศัพท์ตุ๊ด คำสร้างใหม่ และคำที่เป็นกระแส หรือแม้แต่คำที่ใช้เฉพาะกลุ่ม ถ้าเรารู้สึกว่าตลกและน่ารัก จนอยากขยายให้คนทั่วไปได้รู้จัก เราก็จะเลือกมาใส่ในงานด้วยเสมอ

แล้วทำไมชื่อภาพยนตร์ถึงต้องเป็น ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟค ด้วย

        เราคิดกันเยอะมาก ใช้เวลาหนึ่งปีเต็มเพื่อหาหัวข้อน่าสนใจ แล้วเราก็พบว่าทุกคนต้องเคยโกหกหรือพยายามปกปิดความลับบางอย่าง ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไรก็ตาม โกหกเพื่อความอยู่รอด โกหกให้อีกฝ่ายมีความสุข โกหกให้อีกคนสบายใจ เราต่างมีความเฟกเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น

ถ้าคุณต้องเฟกหรือพูดโกหก ส่วนใหญ่เป็นเพราะเหตุผลอะไร

        สำหรับเราการโกหกขึ้นมาก็เพื่อทำให้อีกฝ่ายสบายใจ เพราะปกติเราเป็นคนตรง แต่หลายครั้งพบว่าการพูดตรงก็สร้างความฉิบหายให้กับคนอื่นและตัวเอง เลยต้องเฟก เพราะเป็นวิธีที่จะทำให้คนรอบตัวสบายใจ แต่โกหกเพื่อเอาตัวรอดก็มีบ้าง (หัวเราะ)

สุดท้ายถ้าคุณกลับเป็นฝ่ายโดนหลอกเสียเอง เรื่องอะไรที่คุณจะไม่ยอมเด็ดขาดหากใครก็ตามมาเฟกใส่

        เป็นการมาเฟกเพื่อให้เรารู้สึกดี ถ้าไม่ได้รู้สึกดีด้วยแต่แรกก็ไม่ต้องทำ ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องมาตีสองหน้า ไม่ชอบ เราคิดว่ามันละครไป โชคดีที่ชีวิตจริงเราแทบไม่เคยเจอคนแบบนี้เลย ไม่เข้าใจว่าเขาทำไปทำไม เอาอะไรหล่อเลี้ยงตัวเอง แต่ถ้าเจอคนแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ เราคงแสดงสีหน้าที่สื่อชัดเจนกว่ามึงตอแหลทำไม ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าเป็นคนตอแหลจับได้ ไม่ชอบใครก็ไม่ต้องไปยุ่ง จะให้ไปปั้นหน้าเฟกกลับ เราทำไม่ได้

        แต่ถ้าเป็นเรื่องความรักความสัมพันธ์ ก่อนคบใครเราจะบอกทุกคนที่มาเป็นแฟนว่า แม้ว่าเราจะชอบปรับ แต่สิ่งเดียวที่จะไม่ขอปรับและไม่ให้อภัยเลยคือการนอกใจ เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้น ถ้าเราซื่อสัตย์กับใคร เราจะคาดหวังว่าคนคนนั้นต้องซื่อสัตย์กับเราด้วย ยอมรับว่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบ monogamy ความรักต้องเป็นเรื่องของคนสองคนเท่านั้น เราสุดลิ่มทุ่มประตูกับเรื่องนี้มาก แต่ทุกวันนี้เราตัดสินไม่ได้แล้วว่าความรักที่ข้องเกี่ยวกับคนมากกว่าสองคนเป็นเรื่องผิด ตราบใดที่ทุกคนในความสัมพันธ์ตกลงยอมรับเงื่อนไขกันได้ แล้วพวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ก็เป็นเรื่องของเขา เรายินดีด้วย อย่าไปเสือกเรื่องคนอื่น เรารับผิดชอบความสัมพันธ์ของตัวเองก็พอแล้ว เรื่องบางเรื่องเรารู้ว่าไฟมันร้อนก็ไม่ต้องเข้าไปเล่น เราเรียนรู้จากประสบการณ์คนอื่นได้