คุณอาจรู้จักเขาในฐานะนักร้องนำของวงร็อกอย่าง The Yers แต่กับโปรเจ็กต์โซโลอัลบั้มของ ‘อู๋’ – ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ ในนาม torrayot หรือ ทรยศ (ที่มาจากการเขียนชื่อจริงแบบย้อนกลับ) คุณกำลังจะได้เสพงานดนตรีในอีกรสชาติ ที่จะพาดำดิ่งไปสู่ห้วงลึกด้านมืดของจิตใจและความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต ที่สำคัญคือแทบจะเป็นขั้วตรงข้ามกับดนตรีจาก The Yers ที่เราต่างคุ้นเคยกันดี
“เราจะทำอย่างไรก็ได้ให้คนที่เคยชอบ The Yers เกลียด torrayot ไปเลย” อู๋บอกกับเราเช่นนั้น
หากใครติดตาม The Yers จะทราบดีว่าการทำวงดนตรีคือความใฝ่ฝันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมของอู๋ แต่การทำโปรเจ็กต์อัลบั้มเดี่ยวที่บอกเล่าเรื่องราวความสนใจส่วนตัวได้อย่างเพียวๆ ถือเป็นอีกฝันที่เขาต้องการสร้างขึ้นมา จนกระทั่งโปรเจ็กต์ torrayot ที่เป็นการพูดถึงด้านมืดที่สุดที่คนคนหนึ่งรู้สึกได้ ผ่านประสบการณ์จากผู้คน จินตนาการ และความรู้สึกอันมืดมิดในยามเผชิญหน้ากับความห่อเหี่ยวของตนเองเสร็จสมบูรณ์
“มันเป็นความผิดพลั้งและความห่อเหี่ยวในช่วงหนึ่งของชีวิตเรา จนเหมือนเราไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เราเลยจำลองช่วงก่อนที่จะตายไป ช่วงระหว่างที่ตาย ช่วงหลังจากที่ตาย ออกมาเป็นความคิดที่ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับโลกนี้”
ถึงแม้งานของเขาจะฟังดูลึกและหม่นมากขนาดไหน แต่สิ่งเหล่านั้นกลับเป็นเพียงร่องรอยของความรู้สึกที่เขาหยิบมาใช้ในงานเพลงเท่านั้น มันเป็นเพียงภาพสะท้อนจากสายตาและความคิดของคนคนหนึ่งที่พยายามปอกเปลือกความเป็นมนุษย์ออกมาผ่านเสียงเพลง
“เราไม่ได้เอาความอิจฉาริษยา ความเกลียด หรือความรู้สึกแง่ลบทั้งหลายมาทับถม เพราะสุดท้ายพอเพลงออกมา นั่นคือการระบายของเราแล้ว”
“เราดันเป็นคนที่แยกแยะออกว่าเราควรจะเกลียดใครเมื่อไหร่ เราควรจะมองโลกในแง่ร้ายแล้วปรับใช้กับตัวเองเมื่อไหร่ แบบไหน และอย่างไร”
แต่ยิ่งเปิดเปลือยความจริงแท้ในจิตใจได้หยั่งลึกขนาดไหน นั่นต่างหากยิ่งน่าสนใจและน่าติดตาม เพราะมันสะท้อนตัวตนของเขาได้อย่างบริสุทธิ์ ทั้งในฐานะศิลปินและในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และเป็นเหตุผลว่าทำไมแฟนเพลงจึงรักเขา
อะไรทำให้คุณตัดสินใจทำโปรเจ็กต์ torrayot
มีหลายปัจจัยมากที่ทำให้เราอยากทำโปรเจ็กต์นี้ เริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2014 ช่วงที่เราทำอัลบั้ม YOU ซึ่งเป็นอัลบั้มที่สองของ The Yers เสร็จ ทีนี้ เราเริ่มทำเพลงเดี่ยวของตัวเองเก็บไว้เรื่อยๆ จนพอมีเพลง รอยมืดดำ เราก็รู้สึกว่าต้องทำเป็นอัลบั้มแล้ว ก็เลยไปบอกกับค่ายและเพื่อนในวงว่าขอหยุดวง The Yers ไว้สักพักก่อน แต่ยังไม่ทันได้ทำ ไปๆ มาๆ เราเริ่มมีงานโปรดิวซ์เข้ามา ส่วน The Yers ก็ทำอัลบั้ม Cry เพราะทางค่ายอยากให้มีผลงานต่อเนื่อง เพลงเดี่ยวของเราเลยทำๆ หยุดๆ ตลอด ใช้เวลาเกือบห้าปีถึงจะเสร็จเป็นอัลบั้มเดี่ยวตอนนี้
อีกอย่าง เราใฝ่ฝันไว้ตั้งนานแล้วว่าอยากทำโปรเจ็กต์เดี่ยวที่เป็นคนละเรื่องกับ The Yers ไปเลย เพราะเราเป็นคนชอบเก็บซีดีอัลบั้มที่เป็น side project ของศิลปินที่เราชอบ คนที่จุดประกายคนหนึ่งเลยคือ John Frusciante มือกีตาร์ของ Red Hot Chili Peppers ที่เขามีโปรเจ็กต์เดี่ยว ซึ่งค่อนข้างเป็นคนละโลกกับ Red Hot Chili Peppers เลย ฉะนั้น เวลาสมาชิกวงไหนมีโปรเจ็กต์เดี่ยว เราจะตามเก็บตลอด เราอยากรู้ว่าเขาคิดอะไร จนเริ่มเป็นความหลงใหลว่าสักวันหนึ่งเราอยากทำบ้าง เราอยากมีวงที่คนรู้จักวงหนึ่งและมีโปรเจ็กต์ที่ส่วนตัวมากๆ อีกอันหนึ่ง
อยากรู้ว่าปฏิกิริยาของคนในวงตอนที่คุณบอกว่าอยากหยุดทำวง The Yers ไปสักพัก เป็นอย่างไร
เขาไม่คิดว่าเราจะทำอะไรแบบนี้ เพราะตอนแรกที่บอกเรายังไม่ได้เอาเพลงให้เขาฟัง เรายังไม่ได้บอกจุดประสงค์ว่าทำไมเราถึงทำ เขาก็มีรีแอ็กชันที่งงๆ กันนิดหนึ่งว่าเราจะทำจริงเหรอ แล้ววงจะเป็นอย่างไร เราเลยอธิบายให้ฟังว่าสิ่งนี้ทำเพื่อตอบสนองอะไรบางอย่างของเรา ไม่ได้ทำเพื่อเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ทำมาหากินได้ ถ้าใครฟังเพลงจะรู้ว่าเพลงประเภทนี้ทำมาหากินไม่ได้แน่ๆ (หัวเราะ) เราเชื่อว่ามันจะสร้างประโยชน์ให้เราเองและวงด้วย
พอเริ่มเสร็จเป็นรูปเป็นร่าง เรารู้สึกขอบคุณตัวเองมากที่ตัดสินใจทำโปรเจ็กต์นี้ เพราะมันรีเฟรชเราให้กลับเป็นเด็กคนที่ทำวง The Yers ใหม่ๆ เราว่าศิลปินหลายคนก็น่าจะขาดความรู้สึกแบบนี้และถวิลหา เชื่อไหมว่าถ้าอยู่ในวงการนานๆ ความรู้สึกนี้จะหายไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ศิลปิน แต่เป็นทุกสายอาชีพ เราเลยคิดว่าโชคดีมากที่ได้ทำ เรามาสัมภาษณ์วันนี้ เราแม่งตื่นเต้นเหมือนตอนที่ The Yers ปล่อยเพลง การสื่อสาร แล้วได้เข้าคลื่นวิทยุ มีคนมาสัมภาษณ์ ซึ่งเราตามหาความรู้สึกตื่นเต้นแบบนี้มาประมาณ 6-7 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้มันเริ่มเฟดลงเรื่อยๆ พอวงเริ่มมีชื่อเสียง เรากลับไม่รู้สึกตื่นเต้นเลย
ฟังดูสวนทางกันนะ ทั้งที่วงดังขึ้น คุณน่าจะต้องรู้สึกตื่นเต้นขึ้นไม่ใช่เหรอ เพราะอะไรถึงรู้สึกแบบนั้น
เพราะว่าดังขึ้นเรื่อยๆ มีคนรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ เราเลยเริ่มตื่นเต้นกับมันน้อยลง เหมือน The Yers ทำอะไรออกมาก็มีคนซัพพอร์ตตลอด ออกไปเล่นก็เริ่มมีคนรู้จักโดยที่เราไม่ต้องกังวล ผิดกับ torrayot ที่เราไม่รู้เลยว่าถ้าไปเล่นสดจะเป็นยังไง เพลงแบบนี้จะมีคนฟังหรือเปล่า มันคาดเดาไม่ได้ และตื่นเต้นทุกขั้นตอนเลย เรารู้สึกดีใจมากที่ตัวเองกลับไปรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง ส่วนแฟนๆ ก็คงมีสองแบบ คือดีใจกับช็อก (หัวเราะ)
ตอนนี้เราได้ฟัง รอยมืดดำ ที่เป็นซิงเกิลแรกของอัลบั้มแล้ว ทำไมถึงเลือกเพลงนี้เป็นเพลงเปิด
อย่างที่บอกว่าเป็นเพลงที่เมื่อทำเสร็จ เรารู้สึกเลยว่าต้องมีอัลบั้มแล้ว เพราะองค์ประกอบทุกอย่างของเพลงคือสิ่งที่เราต้องการมากๆ ทั้งแนวดนตรีสโตเนอร์ (Stoner metal) ทั้งชูเกซ (Shoegaze) ทั้งดูมเมทัล (Doom metal) พวกนี้รวมอยู่ในเพลงหมดเลย เรารู้สึกว่ามันมีส่วนผสมของสิ่งที่เราชอบ เพลงนี้สามารถบอกได้ว่าอัลบั้มที่ทำหน้าตาจะเป็นอย่างไร เราไม่เคยทำอัลบั้มที่มีคอนเซ็ปต์ชัดเจนขนาดนี้มาก่อน ใน The Yers ทั้งสามอัลบั้มมีอะไรที่หลากหลายมาก แต่อันนี้มีความเป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้ม และมีแนวเพลงที่เป็นก้อนกลมมากๆ อัลบั้มนี้โคตรเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากคอนเซ็ปต์หรืออุดมการณ์ที่เราคิดไว้เลย
เห็นบอกว่าคุณทำงานคนเดียวทั้งหมดในโปรเจ็กต์โดยมีรุ่นน้องมาช่วยคนเดียว ทำไมถึงเลือกทำอะไรที่จำกัดขนาดนี้
โปรเจ็กต์นี้เราเขียนเอง เรียบเรียงเอง อัดเอง แล้วก็มีน้องที่เป็นซาวนด์เอนจิเนียร์มาเล่นเบสให้ เราทำที่บ้านกันสองคน เขาเป็นคนกดอัด เราก็วิ่งไปร้อง แล้ววิ่งกลับมาฟัง (หัวเราะ) อีกอย่างคือมันเป็นโปรเจ็กต์เดี่ยวของเรา เราเป็นคน one-man show มาตลอดอยู่แล้ว แม้ว่าจะเป็น The Yers ก็ตาม หมายถึงว่า The Yers เราก็เริ่มเองอย่างนี้แหละ เพียงแต่ว่าเรากระจายให้แต่ละคนในวงทำส่วนที่เขาต้องทำ แต่ด้วยความที่อันนี้เป็นงานเราเดี่ยวๆ ก็เลยอยากอยู่กับมันทุกขั้นตอนจริงๆ แล้วเราพอจะเล่นเครื่องดนตรีอื่นได้บ้างก็เลยเล่นเท่าที่เรารู้
ย้อนกลับไปช่วงที่แต่งเพลงเดี่ยวเก็บไว้ ตอนเขียนเพลงที่มีความหม่นแบบนี้คุณรู้สึกอย่างไร คุณอินกับมันขนาดไหน
เราอินกับทุกการเขียนเพลง ไม่ว่าจะของ The Yers หรือของเราเอง แต่ torrayot มันคือเรื่องที่ deep down ลงไปอีก เราคิดว่าเรื่องของ The Yers เป็นเรื่องที่เสียใจก็จริง หม่นก็จริง แต่ว่าเป็นเรื่องเสียใจที่สามารถเผยแพร่และจูนกับมนุษย์ทั่วไปได้ แต่ torrayot เป็นเรื่อง inside out สุดๆ โดยที่ไม่แคร์เรื่อง outside in เลย เวลาพูดเรื่องอะไรที่เราเสียใจใน The Yers เราจะพ่วงเรื่องความรัก วิธีคิด หรือพ่วงเรื่องความรู้สึกของคนทั่วไปเข้ามาอยู่ในเพลงด้วย แต่อันนี้คือกบฏแบบสุดๆ ไปเลย เราไม่แคร์อะไร จะพูดเรื่องความเสียใจก็พูดร้อยเปอร์เซ็นต์ไปเลย ทั้งอัลบั้มจะไม่มีเรื่องของคนอื่นเลยแม้แต่หนึ่งเปอร์เซ็นต์
จริงๆ มันคือการขุดลงไปในความรู้สึกแหละ สตอรีของอัลบั้มนี้คือช่วงที่ทำอัลบั้ม Cry เพลงที่เผยแพร่และพอจะจูนติดกับคนได้เราให้อยู่ใน The Yers แต่เพลงไหนที่มัน deep down หรือรุนแรงจริงๆ เราเอาไว้ฝั่ง torrayot
การอินกับการเขียนเพลงที่หม่นขนาดนี้คุณเคยรู้สึกดิ่งจนบังคับตัวเองและหาทางออกในความรู้สึกไม่ได้บ้างไหม
เราว่าเราหาทางออกได้ เราชอบอะไรที่เศร้า ลึก หม่น ก็จริง แต่ทุกครั้งที่เราจะเขียนเรื่องอะไรพวกนี้ ถ้าไม่มีความสุข เราเขียนไม่ได้นะ ถ้าไม่มีงานเพลงออกมานั่นแปลว่าเราเครียดมากๆ เราจะไม่ทำงานเวลาที่เครียดหรือจมอยู่กับเรื่องนั้น เราจะผ่านมันมาก่อน แล้วค่อยนึกถึงเรื่องอะไรพวกนั้น The Yers ก็เหมือนกัน นั่นแปลว่าสิบเพลงที่ออกมาคือช่วงเวลาที่เรามีความสุขมากๆ ที่จะได้เล่าเรื่องพวกนี้เฉยๆ ตัวเราจะมีถัง E คอยเก็บความรู้สึกไว้ตลอด อะ มึงมาเลย เรื่องส้นตีน ไอ้คนนี้ที่เคยนิสัยเหี้ยกับเรา คอมเมนต์เหี้ยๆ ในอินเทอร์เน็ตที่ด่าเรา มาเลย เราเก็บไว้ใส่ถัง E แล้วเราก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ ถ้าเราจม เราก็จมอยู่ แล้วพอเราผ่านมันมา ก็หยิบถัง E มาเขียนเพลงเท่านั้นเอง
ด้านมืดของจิตใจและความไม่สมบูรณ์แบบ คือองค์ประกอบหลักของงานเพลงในอัลบั้มชุดนี้ ทำไมถึงสนใจในแง่มุมนี้
จริงๆ เราเป็นคนติงต๊องเหมือนคนทั่วไป เป็นคนมีความทุกข์ มีความสุข เหมือนคนทั่วไป อยู่กับแฟนเราก็ปัญญาอ่อน อยู่กับเพื่อนในวงเราก็เล่นมุกบ้าบอ แต่เพิ่งมารู้ตัวเองว่าพอทำวง The Yers เหมือนเราได้เจอพื้นที่ในสังคมของตัวเองว่าเราจะเป็นคนแบบไหน เราอยากเผยแพร่อะไร เราจะนำเสนออะไรโดยที่ไม่เขิน ซึ่งก็คือความรู้สึกหม่นที่ว่า เราเริ่มสังเกตตัวอง เฮ้ย ทำไมเราดูหนังที่นิ่ง สงบ หรือหม่น แล้วเราชอบวะ ทำไมเราชอบดูรูปถ่ายที่มีอะไรลึกลับซ่อนอยู่ ดูหม่น ดูน่ากลัว เฮ้ย เป็นความสุขของเราว่ะ ไหนจะนิสัยมองโลกในแง่ร้ายของเรา ทำไมเราชอบมองโลกในแง่ร้ายตลอดเวลา แต่การมองโลกในแง่ร้ายของเราเอามาต่อยอดทำงานได้ตลอดเลย เป็นแรงบันดาลใจทุกครั้งเวลาจะขึ้นเพลง จะจับกีตาร์ สุดท้ายมันกลายเป็นเราโดยที่ไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำว่าโตขึ้นจะเป็นคนที่มาสายนี้ เหมือนเรารู้แล้วว่าสิ่งที่เรานำเสนอและหลงใหลคือความรู้สึกแบบนี้ บรรยากาศแบบนี้
ในวัยที่เด็กกว่านี้ เวลามองเรื่องหม่นๆ เศร้าๆ คุณมองมันด้วยความรู้สึกถึงเสน่ห์แบบทุกวันนี้ไหม หรือมองด้วยสายตาแบบไหน
ไม่เหมือนตอนนี้นะ เราเป็นคนหนึ่งที่เสียใจตามศีลธรรม มีความสุข แล้วก็กลับมาเสียใจต่อ ร้องไห้ก็ร้องไปเลย ไม่ได้มานั่งคิดอะไรแบบนี้ เราว่าสิ่งหนึ่งที่น่าจะหล่อหลอมให้เราเป็นแบบนี้คือเพลง หนัง และงานศิลปะ สามอย่างนี้ เราฟังเพลงหลากหลายก็จริง ทั้งพ็อพ เมทัล บอสซาโนวา ฟิวชั่นแจ๊ซ เราฟังไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วพอเรามาเจอกลุ่มคนที่เล่นเพลงแนวหม่นๆ พวกนี้ เรารู้สึกว่านี่คือพื้นที่ของเรา อยู่แล้วสบายใจ รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย ตอนเด็กๆ เราพยายามจะเป็นฮิปฮอป มันก็ฝืน ตอนพยายามที่เป็นนูเมทัลก็ฝืนอีก แต่พอมาเจออะไรที่เป็นโลกของเรา เราไม่เขินเลย เราไม่ต้องพยายามด้วย
แสดงว่าความหม่นและลึกลับในงานไม่ได้มาจากความเศร้าที่ฝังลึกอะไรในใจเลย แต่มาจากงานศิลป์ที่มีผลต่อจิตใจคุณล้วนๆ
มันเหมือนคนที่หางานที่ตัวเองรักเจอ แม้ว่าเราชอบดนตรี แต่ว่าดนตรีประเภทไหนล่ะที่เราชอบ บางคนอาจจะทำงานออฟฟิศ เข้าไปทำในบริษัทที่ตัวเองชอบ แต่ได้อยู่ในแผนกที่ตัวเองชอบหรือเปล่า เราดันโชคดีที่เราเจอแผนกที่ตัวเองชอบ แล้วได้ทำแผนกนั้น มีคนพยายามแอนตี้เรา หมายถึงว่าไม่เห็นด้วยกับการทำอะไรแบบนี้ เพราะว่าเดี๋ยวชีวิตจะจมอยู่กับความเสียใจ ทำไมมองโลกแบบนี้ โดยเฉพาะครอบครัวเรา ตอนแรกๆ ที่เราทำ The Yers ครอบครัวเรากังวลมาก พี่สาวเราก็มาบอก “ถ้าแกทำอะไรแบบนี้ มันจะนำแต่พลังลบเข้ามาหาชีวิตแกนะ คนไม่ดี สิ่งไม่ดีจะเข้ามาหาแกนะ” เราก็บอกกับพี่สาวและพ่อแม่เราว่า “เดี๋ยวคอยดู ใจเย็นๆ คอยดูว่าความคิดแบบนี้ การมองโลกในแง่ร้าย การอิจฉาริษยา การเกลียดคนนู้นคนนี้ เดี๋ยวจะทำให้ดูว่ามันสร้างผลดีกับชีวิตได้อย่างไร” สุดท้ายพอ The Yers อัลบั้มแรกออกมา เขาก็ อ๋อ โอเค เข้าใจแล้ว (หัวเราะ)
แต่มองในมุมมองของพี่สาวคุณก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะกังวล เพราะเราก็เห็นศิลปินมากมายที่จมดิ่งกับเพลงแนวนี้แล้วสุดท้ายก็จบไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับศิลปินต่างประเทศ
ใช่ๆ เข้าใจได้ แต่เราดันเป็นคนที่แยกแยะออกว่าเราควรจะเกลียดใครเมื่อไหร่ เราควรจะมองโลกในแง่ร้ายแล้วปรับใช้กับตัวเองเมื่อไหร่ แบบไหน และอย่างไร
ฟังดูแล้วคุณเป็นคนที่เข้าใจตัวเองมากๆ รู้จักตัวเองมากๆ
มันมีช่วงชีวิตช่วงหนึ่งที่เราอิจฉาคนนู้นคนนี้ เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แล้วก็ห่อเหี่ยวอยู่อย่างนั้น จนพอเราเจอ The Yers เราพลิกได้ เรารู้แล้วว่า เชี่ย วงนี้เจ๋งกว่ากูได้ไงวะ กลับกลายเป็นว่า โอเค เดี๋ยวกูจะเจ๋งกว่ามึงให้ดู พอเจอคนงี่เง่าๆ ทั้งหลายในชีวิตก็ โอเค เดี๋ยวกูแต่งเพลงให้ แล้วทั้งหมดก็กลายมาเป็นเพลง เกลียด เป็นเพลงใน The Yers และใน torrayot มากมาย คือกูจะเขียนเพลงด่ามึง พอมีคนชอบเพลงนี้ทั้งประเทศเหมือนที่กูรู้สึก เท่ากับคนทั้งประเทศเกลียดมึงเหมือนกัน (หัวเราะ)
คือเราไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้คนพวกนั้น ไปด่าเขาก็ไม่ใช่ นั่นคือวิธีที่ผิดของการเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายและอิจฉาริษยา เราก็เลยเอาเพลงไปสู้ สมมติว่ากูรวยไม่ได้เท่ามึง ไม่เป็นไร แต่กูจะเอาจำนวนยอดวิวเพลงไปสู้กับยอดเงินในกระเป๋าตังค์มึง (หัวเราะ) เราก็จะเอามาเปรียบเทียบและเป็นไฟให้เราตลอด แต่ไม่ได้เอาความอิจฉาริษยา ความเกลียด หรือความรู้สึกแง่ลบทั้งหลายมาทับถม เพราะสุดท้ายพอเพลงออกมา นั่นคือการระบายของเราแล้ว
มีเรื่องไหนที่จำได้ชัดมาก หรือกระทบจิตใจมากจนเอามาแต่งเป็นเพลงบ้างไหม
มีเพลง Mendacious life หรือแปลว่าชีวิตที่ตอแหล เราเจอผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในวงการ เขาไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมาก เราเจอเขาทีไรก็ไม่เคยทักทายเรา แต่ทำหน้าหยิ่งใส่ มองเราด้วยแววตาประมาณว่า อี๋ The Yers เหรอ เสี่ยว อะไรแบบนี้ จริงๆ หลังจากอัลบั้มแรกมา เราเจอแววตาแบบนี้เยอะมาก เราเลยเกลียดคนนั้นมาก อยากมีเพลงหนึ่งที่ด่าเขา เราเลยเขียนเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่งเล่าว่า “คุณกำลังเต้นรำอยู่ใต้ต้นไม้ ส่วนฉันก็เตรียมมีดเอาไว้แล้ว คืนนี้ฉันจะฆ่าคุณ เอากระดูกของคุณมาปั่นกิน เอาตับไตไส้พุงของคุณมาปั่นรวมกัน ให้ปีศาจที่มาจากนอกโลกกิน ไม่ต้องกลัวนะ มีดฉันคมมาก คุณจะตายแบบไม่รู้ตัวเลย และนี่ก็คงเป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตอันแสนตอแหลของคุณ” อันนี้เป็นเนื้อภาษาอังกฤษนะ เราเลยเล่าไปถึงนอกโลกได้ (หัวเราะ)
คุณเอาไอเดียเขียนเนื้อเพลงพิสดารแบบนี้มาจากไหน เรื่องแบบนี้บางคนอาจมองว่ามันรุนแรงมากนะ
จริงๆ มันเป็นวิธีการเล่าเรื่องของแนวดนตรีที่เราเล่น พวกดูมเมทัล (Doom metal) ฟูเนรัลเมทัล (Funeral metal) หรือบรูทัล (Brutal) แต่สิ่งที่เราเล่นน่าจะแค่สโตเนอร์ (Stoner metal) สลัช (Slush) หรือดูม คงไม่ลึกถึงขั้นบรูทัลหรือเดธเมทัล (Death metal) ขนาดนั้น วิธีเล่าเรื่องของวงดนตรีเหล่านี้ไม่หนีจากเรื่องพวกนี้มาก แต่ดนตรีเราไม่ได้หนักเท่านั้น
แต่นอกจากเรื่องที่เจอคนแย่ๆ ในอัลบั้มก็มีเพลงที่เขียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง เราคิดเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่นด้วย มันเป็นความผิดพลั้งและความห่อเหี่ยวในช่วงหนึ่งของชีวิต จนเหมือนเราไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เราเลยจำลองช่วงก่อนที่จะตายไป ช่วงระหว่างที่ตาย ช่วงหลังจากที่ตาย ออกมาเป็นความคิดที่ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับโลกนี้ ซึ่งสุดท้ายเรามองว่าความตายก็คือช่วงที่เราห่อเหี่ยวมากๆ ในชีวิตนั่นแหละ
ความรู้สึกที่บอกว่าไม่มีตัวตนเกิดมาจากอะไร
เราเพิ่งไปพบจิตแพทย์มา เราถามเขาว่าอาการที่เราเป็นคืออะไร เราดีใจมากที่ไม่ได้เป็นซึมเศร้า แต่เราเป็นโรคที่เรียกว่า Adjustment Disorder คือห่อเหี่ยวด้วยตัวเองและฟื้นขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง เหมือนจัดการตัวเองได้ คือโรคนี้เริ่มเกิดกับเราช่วงที่ทำ The Yers อัลบั้ม Cry เราห่อเหี่ยวมากๆ มันเกิดจากเรื่องที่ตอนนั้นเราเป็นคนคิดมาก ชอบยึดติดกับเรื่องที่ทำผิดไป ทำให้คนอื่นเสียใจ ทำให้ตัวเองเสียใจ ผิดหวัง แต่อย่างที่บอกพอมันเข้ามามันก็ออกไป พอมันออกไปเราก็เขียนเพลง
คุณหมอบอกไหมว่ามันเกิดมาจากอะไร
มันเป็นแขนงหนึ่งของโรคซึมเศร้า คือชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เป็นเพอร์เฟ็กต์ชันนิสต์จนเกินไป พอไม่เป็นดั่งหวังก็เศร้า ในขณะเดียวกันเราโชคดีมาก คือพอเราเปรียบเทียบกับคนอื่นที่รู้สึกว่าเขาดีกว่าเสร็จ เราจะเปลี่ยนไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่แย่กว่าเสมอ เหมือนว่าสุดท้ายยังมีคนที่แย่กว่าเราอีก แต่ทำไมเขายังอยู่ได้ อะไรแบบนั้น
อธิบายคำว่าเปรียบเทียบให้ฟังเพิ่มเติมหน่อย
อย่างเช่น เราพูดจากับคนคนหนึ่งแรงมาก จนทำให้เขาเสียใจ เขาผิดหวังในตัวเอง เอ๊ะ แต่เราไม่ได้ไปฆ่าเขานี่หว่า อะไรแบบนั้น หรือวงเราไม่ประสบความสำเร็จเหมือนวงดนตรีวงอื่นเลย ทุกวันนี้ยังทำมาหากินกับวงตัวเองไม่ได้เลย เอ๊ะ แต่ก็มีวงที่มาไม่ถึงจุดที่เราอยู่อีกเยอะนะ แล้วเขาสู้กว่าเราเยอะเลย นึกออกไหม เวลาคนเราได้อะไรมาจะมองไม่เห็นสิ่งที่ตัวเองมี แต่จะเอาไปเปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้ แต่ช่วงหลังๆ สำหรับเราคือ โอเค มีคนชอบเราตั้งเยอะ เรากลายเป็นไอดอลของคนเยอะมากๆ ในขณะเดียวกันเราอาจจะไม่ได้ไปถึงจุดที่สูงกว่านี้ แต่ทำไมเราไม่พอใจกับสิ่งที่มีล่ะ เราโชคดีที่ดันคิดเป็น ไม่รู้นะ เราคิดว่าครอบครัวเราอบอุ่นและสอนเรามาดีด้วย
กลับมาพูดถึงโปรเจ็กต์ torrayot ด้วยความที่มันไม่เหมือน The Yers ที่คนพร้อมสนับสนุน คุณคาดหวังอย่างไรกับอัลบั้มนี้
เราคาดหวังว่า ถ้ามีคนฟังร้อยคน แต่ไม่ชอบเลยทั้งร้อยคน นั่นคือประสบความสำเร็จมากๆ ถ้ามีคนมาบอกว่าเพลงเหี้ยอะไรวะ เราก็สำเร็จมากๆ เพราะเราต้องการสร้างเพลงที่คนไม่อยากฟังให้เกิดขึ้นในประเทศนี้บ้าง รสนิยมของเราเป็นแบบ torrayot มาตลอด ลึกๆ มันมีความหงุดหงิดว่าทำไมไม่มีคนไหนสักคนในประเทศนี้ที่จะทำอะไรที่ไม่ต้องเพลย์เซฟแม้แต่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ โอเค ทุกวันนี้เรามีวงที่ชอบมากๆ ในประเทศไทย ไม่ว่าจะแนวเรกเก้ ชูเกซ เมทัล หรือแนวไหนๆ แต่จะมีสักวงไหมที่คุณกบฏทุกอย่าง คุณแอนตี้ทุกอย่าง คุณตามใจตัวเองทุกอย่างอย่างที่คุณให้สัมภาษณ์ เราเลยต้องการทำอะไรบางอย่างที่จะได้รู้ว่าทำให้คนเกลียดเพลงเราได้ขนาดไหน หรือใส่หูฟังอยู่แล้วโยนหูฟังทิ้ง แบบนั้นเลย เรามีทัศนคติแบบนี้มาตั้งแต่มัธยมแล้ว คำว่าพังก์ฝังอยู่ในตัวเรามาตลอด แต่เราไม่มีโอกาสทำอะไรแบบนี้สักที เลยคาดหวังว่าเราจะทำอย่างไรก็ได้ให้คนที่เคยชอบ The Yers เกลียด torrayot ไปเลย แต่ในขณะเดียวกัน ถ้ามีคนที่จูนติด แล้วมีคนที่ชอบขึ้นมา เขาจะชอบมันมากๆ
เหมือนที่คุณเคยบอกว่าใครที่ชอบ The Yers จะเกลียด torrayot ไปเลย
ใช่ หลายคนก็คิดว่าเราจะทำเพลงรักหวานซึ้งหรือเปล่า ไม่ใช่เลย เพราะช่วงนี้ชีวิตเราก็แฮปปี้มาก
พูดถึงความสุข คุณทั้งเพิ่งมีคอนเสิร์ตใหญ่ไป และเพิ่งแต่งงาน แถมกำลังจะมีโปรเจ็กต์เดี่ยว ถือได้ว่านี่เป็นอีกปีหนึ่งที่ดีมากๆ ของชีวิตเลยหรือเปล่า
เราเพิ่งตรัสรู้มาสักพักนี่เองว่าปีนี้เป็นปีของเราจริงๆ มีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเราทั้งนั้นจนเริ่มกลัวแล้ว (หัวเราะ) คือเราไม่รู้ว่าที่ปีนี้เป็นแบบนี้ เป็นเพราะก่อนหน้านี้เราเจออะไรที่ไม่ดีมาก่อนหรือเปล่า หรือปีนี้ดีมาก แล้วปีหน้าจะมีอะไรเข้ามาหรือเปล่า ก็เริ่มกังวลนะ แต่ก็พยายามบาลานซ์ทุกอย่างให้ดี เราว่าเป็นอย่างนี้แหละ มีขึ้นก็มีลง แต่เรารู้สึกว่าปีนี้เราขอบคุณพระเจ้าตลอดเลย มันสุดยอดมากๆ
แล้วการแต่งงานทำให้คุณเติบโตขึ้นในแง่ความคิดไหนบ้างไหม
เรายังพูดกับแม่เมื่อวานซืนอยู่เลย ว่า “แม่ ป๊า ทำไมอู๋แต่งงานแล้วยังรู้สึกปัญญาอ่อนอยู่เหมือนเดิมเลย” (หัวเราะ) เราไม่ได้แต่งงานเพราะอยากจะเป็นผู้ใหญ่ อยากจะมีครอบครัว หรืออยากมีลูกอะไรขนาดนั้น เราแต่งงานเพราะเราอยากอยู่กับแฟน แค่นั้นเลย เราขาดแฟนเราไม่ได้ เราไม่ได้รู้สึกเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทุกวันนี้จะจ่ายภาษีก็ทำไม่เป็น หรือทำธุรกรรมที่ผู้ใหญ่เขาทำกันก็ยังทำไม่เป็นเลย แถมยังรู้สึกว่าเด็กมหาวิทยาลัยบางคนหน้าแก่กว่าเราอีก (หัวเราะ)
แสงสว่างที่ทำให้คุณหลุดจากรอยมืดดำของชีวิตในวันวัยนี้คืออะไร
โอ้โฮ ตอบอย่างไม่เคอะเขินเลย มองไปที่ผู้หญิงเสื้อขาวดำตรงนั้น (ชี้ไปที่ภรรยา) นี่เรื่องจริงนะ เขาเป็นคนที่ทำให้เราอยากอยู่บนโลกนี้ แล้วก็ครอบครัวเรา ครอบครัวเขา แค่นี้เลย จุดหนึ่งที่ทำให้เราผ่านช่วงที่ย่ำแย่มาได้คือเรานึกถึงหน้าเขา เราขอบคุณเขามากเลยที่ทำให้รู้ว่าคำตอบในการใช้ชีวิตอยู่บนโลกคืออะไร มันทำให้เราอยากทำดีเพื่อเขา ทำให้อยากมีชีวิตอยู่เพื่อกันและกัน เราอยู่เพื่อเขา เขาอยู่เพื่อเรา เราไม่ได้ประดิษฐ์เลยนะ เรารู้สึกอย่างนี้จริงๆ เราหาเหตุผลอื่นไม่เจอเลย ดนตรีอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดก็ได้ แต่นี่คือทั้งหมด มันเป็นความจริง เราเพิ่งมารู้เมื่อตอนที่เรารู้สึกอยากแต่งงานนี่แหละ ว่าชีวิตเรามีค่ามากกว่านี้ได้ เพราะว่ามีคนที่เรารักและเขารักเรา
จากคนที่แอนตี้การแต่งงาน มองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เสียเวลา รับปริญญาก็รับเพื่อให้พ่อแม่มีรูปติดบ้าน เดินออกมาปุ๊บถอดใส่กางเกงขาสั้น เราเกลียดพิธีรีตอง เราเกลียดปาร์ตี้ เราเกลียดการเฉลิมฉลองมาก จนวันหนึ่งที่อยู่บ้าน จู่ๆ คำตอบก็ ปึ้ง! เข้ามาหมดเลย อ๋อ เราต้องแต่งงาน เพราะเหตุผลนี้แหละ เราเป็นคนเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ถ้าเราเสียใจแล้วทำอะไรที่ไม่ดีกับร่างกายเราเอง บาปหนาแน่นอน เราเลยพยายามทำชีวิตให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง และคนรอบข้างอยู่เสมอ
โปรเจ็กต์ torrayot ของคุณฟังดูหม่น แต่ชีวิตจริงคุณกลับเต็มไปด้วยความรักมากเลย
อาจฟังดูแปลก แต่ถ้าเราไม่มีความรัก เราทำงานหม่นขนาดนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีงานเพลงอะไรที่ออกมาจากเรานั่นแปลว่าชีวิตเราหม่นมาก นั่นแปลว่าเราอยู่บ้านแล้วพยายามดูหนังตลก ดูรายการตลก เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องพวกนั้นอยู่ แต่ช่วงที่มีความสุขคือเราจะเปิดเพลงแนวที่ชอบฟังในบ้านแบบมีความสุขมาก แต่แฟนเราแบบ “เพลงบ้าอะไรเนี่ย” เราเลยต้องใส่หูฟังตลอด (หัวเราะ)