“ลูกหม่ำ”
ตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าใครก็เรียกเขาแบบนั้น ชีวิตที่ดำเนินไปใต้ร่มเงาของพ่อที่เป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ ตัวตนของเขาถูกกดทับด้วยความคาดหวัง โดนตั้งคำถาม และมีคำพูดที่กดดันเททับมาอยู่เสมอ
ถ้าเป็นตลกคงอนาคตไกล นั่นเป็นสิ่งที่เขาได้ยินมาตลอดชีวิต แต่สำหรับ ‘มิกซ์’ – เพทาย วงษ์คำเหลา ลูกชายคนเดียวของ หม่ำ จ๊กมก กลับไม่ได้คิดฝันแบบนั้น เขาเชื่อเสมอว่าชีวิตและความฝันเขาต้องเป็นคนที่ขีดขึ้นเอง นั่นทำให้เขาตัดสินใจพิสูจน์ตัวตนที่ ‘มากกว่าลูกหม่ำ’ บนเส้นของแร็ปเปอร์ ด้วย aka VKL
ทุกไรม์และทุกโฟลว์ของเขาถูกสร้างมาด้วยความเชื่อของตัวเอง ผสมผสานเอกลักษณ์และรากความเป็นอีสานบ้านเกิด จนกลายมาเป็นบทเพลงอย่าง ยโส หรือ ฟังกันแหน่ ที่มียอดวิวในยูทูบเกือบ 10 ล้าน Represent สำเนียงอิสานผ่านเพลงแร็ป ในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
แม้จะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ตกตะกอนตอบคำถามได้ทุกอย่างในชีวิต แต่เราคิดว่ามุมมองบางอย่างของเขาน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมุมมองต่อวงการฮิปฮอป ความภูมิในชาติกำเนิดของตัวเอง ไปจนถึงความสัมพันธ์ที่เขามีต่อพ่อ เราชวนคุณไปรู้จักเขาในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้
“
เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะบอกว่ามาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ลูกหม่ำ พ่อไม่เกี่ยวไม่ได้อยู่แล้ว พ่ออยู่ในใจผมเสมอ เพียงแต่ผมไม่เอามาใส่ในงาน เพราะว่าในงาน ผมมาด้วยตัวเองเท่านั้น
”
ตารางเวลาชีวิตคุณช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ตื่นมาอาบน้ำ กินข้าว แล้วก็ดื่มกาแฟ แต่งเพลง กินข้าวมื้อที่สองเสร็จ ถ้ามีเพลงที่ต้องอัดก็จะเข้าไปอัดต่อเลย แล้วก็ดื่มกาแฟต่อ เราพยายามกินข้าวให้ตรงเวลา พอถึงมื้อที่สามก็มานั่งฟังเพลงที่อัดไปแล้ว ว่าอยากแก้อะไร
ชีวิตมีอยู่แค่นี้เองเหรอ กาแฟ นอน กิน ทำเพลง
ใช่ถูกต้องครับ ผมเป็นแบบนี้มา 3 ปีแล้ว
มองย้อนไปถึงช่วงเริ่มต้นเข้าวงการแร็ปเปอร์ ยากไหมกว่าจะมาถึงตรงนี้
ต้องบอกก่อนว่าตอนแรกผมหวังเอาไว้มาก หลังกลับมาจากแคนาดาผมเริ่มทำเพลงตอนเข้ามหาวิทยาลัย ชื่อเพลง อย่าลืม แล้วคิดว่านั่นเป็นเพลงสุดท้าย กะปล่อยเสร็จไม่เอาแล้ว ไม่ทำ เพราะก่อนหน้านั้นผมตั้งเป้าเอาไว้ว่าทำเพลงออกมาต้องได้ยอดวิว ต้องมีงานจ้างอย่างนู้นอย่างนี้ จนผมนอยด์ คนไม่เข้าใจ คนไม่เก็ตเลยว่ะ เลยหยุดไปได้อาทิตย์หนึ่ง จนผมไปฟังเพลงพี่อิล (ILLSLICK) เพลง Chosen One ตอนที่ทำเพลงอยู่กับ Bangbath มีท่อนหนึ่งพูดว่า ‘ไม่มีเงินสักแดงกูยังจำวันนั้นได้’ ผมฟังแล้วสะอึก พี่อิลเขาเริ่มมาจากศูนย์ เขาไม่มีตังค์ เขายังลำบากเลย กูมีทุกอย่างทำไมกูไม่ยอมลำบากเลยวะ ผมคุยกับตัวเองในหัว แล้วบอกว่าช่างแม่ง ต่อไปนี้ใครจะคิดกับกูยังไงช่างแม่ง กูจะทำของกูแล้ว นั่นแหละผมก็เลยทำมายาวถึงวันนี้
แล้วในแง่ของการเป็นลูกตลกดังล่ะ อยากรู้ว่ากดดันแค่ไหนกับการถูกนำไปเปรียบเทียบกับพ่อ
ลูกหม่ำ คนก็ต้องมองว่าเป็นลูกตลก ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว หรือคนต้องคิดว่าโตขึ้นผมต้องช่วยพ่อเล่นตลก ตอนเด็กๆ ผมเหมือนอคตินะ ตอนนั้นผมแค่อยากทำให้คนรู้ว่าผมเป็นมากกว่าลูกหม่ำ มากกว่าลูกตลก คือผมก็มีความสามารถ ผมก็ทำอะไรได้เหมือนกัน ผมเลยทำเพลง เพื่อให้คนรู้ว่าผมก็มีผลงานได้ ผมก็หาตังค์ได้ด้วยตัวเอง
แต่ถ้ามองว่าเส้นทางตลก หรือบทบาทในวงการบันเทิงอื่นๆ ที่พ่อกรุยไว้ให้แล้วก็น่าจะง่ายกว่าทำเพลง ทำไมถึงไม่เลือกทางนั้น
เพราะว่าผมมีทุกอย่างแล้วไง ลำบากบ้างไม่ได้เหรอ ลองดูก็ได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ สุดท้ายพ่อแม่ก็เป็นคนที่ช่วยเราใช่ไหม เราก็ลองลำบากบ้าง ลองทำอะไรที่เป็นของตัวเองบ้าง นี่ผมต้องอยู่บ้านพ่อผม จริงๆ ผมอายนะ แต่ผมต้องพิสูจน์ก่อนไง ถ้าผมมีเงินพอก็ออกจากที่นี่นะ ผมไม่อยู่ ความรู้สึกมันเหมือนผมไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง พ่อผมทำได้ พ่อผมมีบ้านได้ ผมก็ต้องทำได้สิ แต่ตอนนี้ผมยังทำไม่ได้ ผมเอาเงินไปลงกับห้องอัดหมด เอาเงินไปลงกับเพลงหมด ซึ่งสำหรับพ่อลูกมันเป็นเรื่องปกติแหละ แต่ที่ผมคิดแบบนี้เพราะว่าพ่อลำบากมาเยอะกว่าผม
ผมว่าทางเดินของเราให้คนอื่นขีดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ ผมว่าคนที่อยู่ในสถานะเดียวกันกับผม ควรลองพิสูจน์ดู เพื่อที่เราจะได้มีอะไรเป็นของตัวเอง เราจะได้รู้ว่าเราทำได้นะ ไม่ใช่แค่เอามรดกของพ่อแม่มาใช้ เราเกิดมาก็ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วย ไม่ใช่ว่านอนสบายอยู่บ้าน ผมว่ามันไม่ใช่ เวลาเจอเรื่องอะไรหนักๆ ผมคิดแบบนี้ ผมอยากเจอหนักกว่านี้ เพื่อที่เราจะได้สิ่งดีๆ มาในอนาคต
คุณเลิกขอเงินพ่อตั้งแต่เมื่อไหร่
ตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะว่าช่วงเรียนพ่อยังให้ค่าขนมอยู่ หลังจบผมก็ทำหนังกับพ่อเป็นโปรดิวเซอร์ ควบงานร้องเพลงแร็ป รับจ้างแต่งเพลง ไป featuring กับศิลปินคนอื่น รับทำโปรดักชันเอ็มวี
พิสูจน์ตัวเองมาถึงจุดหนึ่งแล้ว ทุกวันนี้พ่อคุณมองเปลี่ยนไปไหม
ก็โอเคขึ้น เขาก็ยอมรับแล้ว แต่วันนี้เขาอยากให้เราเคาะให้ชัวร์ๆ ว่างานของเราสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ รับผิดชอบตัวเองได้ ถ้าเรารักในสิ่งนี้ ถ้าเราอยากเป็นศิลปิน อยากทำงานในห้องอัด เราต้องหาเงินกับมันให้ได้จริงๆ ไม่ใช่แค่ทำอย่างเดียว
สิ่งที่คุณได้รับอิทธิพลที่สุดจากพ่อคือเรื่องอะไร
ถ้าตอนเด็กๆ คือเรื่องมารยาท ต้องรู้จักไหว้ผู้ใหญ่ ต้องพูดครับมีหางเสียง ออกไปข้างนอกอย่าพูดทะลึ่งนะ เพราะไม่เหมือนคนในบ้านเรา ทำไม่ดีคือโดนตี นั่นคือเรื่องที่ผมซึมซับมาตั้งแต่เด็ก แต่พออายุ 10-20 ปี สิ่งที่ผมได้คือเรื่องงาน ผมตัดต่อโปรแกรมพรีเมียร์โปรเป็น ทำหนังสั้นเป็นตั้งแต่อายุ 11 ผมเอาผ้า Green Screen ไปตั้งไว้หน้าบ้าน สั่งแอ็กชันแล้วก็ถ่ายกันตรงนั้น เพราะตอนผมอายุ 10 ขวบ พ่อเขาเริ่มทำหนังแล้ว เขาก็จะมาเล่าขั้นตอนการทำงานว่ามีอะไรบ้าง สอนว่าต้องไปให้ตรงเวลา บางทีเขาไม่ได้บอกกับผมตรงๆ หรอก เขาบอกกับลูกน้องตอนประชุม หรือทำให้เราเห็น เวลาพ่อไปไหนเขาก็ไปก่อนเวลา วางแผนเป็นเดือนๆ เป็นอาทิตย์ให้ชัวร์ พวกระบบงานพ่อเขาสอนให้เรารู้เลยว่าเวลาทำอะไรอย่าขาด ให้มันเหลือ ห้ามมีคำว่าพอดี ให้เหลือดีกว่า
พ่อเป็นผู้ชายแบบไหนในมุมมองของคุณ
เขาเหมือนผู้ชายเกาหลีที่วางฟอร์มหล่อๆ หน่อย ไม่ค่อยพูดมาก ต้องรู้ด้วยตัวเอง (หัวเราะ) แต่ผมว่ามันก็เท่ดี เขาก็น่ารักในมุมเขานะ แต่เวลาทำงานเขาซีเรียสจริงจัง เป็นคนละเอียดมาก เสื้อผ้าหรือว่าอะไรถ้าเขาไม่ชอบ ไม่ใช่ คือไม่เอาเลย เขาเป๊ะกับทุกอย่าง ผมชอบ เขาคือไอดอลของผม
แต่ที่เวลาผมบอกว่า ผมอยากทำให้รู้ว่าไม่ใช่ลูกหม่ำ คือต้องการทำให้มากกว่าลูกหม่ำ เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะบอกว่ามาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ลูกหม่ำ พ่อไม่เกี่ยวไม่ได้อยู่แล้ว พ่ออยู่ในใจผมเสมอ เพียงแต่ผมไม่เอามาใส่ในงาน เพราะว่าในงาน ผมมาด้วยตัวเองเท่านั้น
ในงานเพลงของคุณมีการเอาความเป็นอีสานเข้าไปใส่อย่างชัดเจนมาก ความเป็นอีสานน่าสนใจอย่างไรในมุมมองของคุณ
ที่เอาความเป็นอีสานเข้าไปใส่เพราะผมอยากลอง ผมไปเห็นพี่โจ้ (โจอี้ บอย) เขาทำสามช่า หรืออย่างในเพลง คิดถึงจังหวะ ผมก็คิดว่าเราเป็นคนอีสานเพียวๆ เลย ทำไมเราไม่ลองเอาสำเนียงอีสานมาทำดู มันอาจจะมีอีกมิติหนึ่ง อีกความรู้สึกหนึ่ง ที่คนยังไม่เคยฟังความเป็นอีสานแบบนี้ก็ได้ ผมก็เลยลองทำ ไม่คิดด้วยว่าจะดัง เริ่มทำแบบสนุกๆ
เคยเห็นบางคนที่รู้สึกอายกับภูมิลำเนาตัวเอง คุณคิดอย่างไร
ผมไม่รู้นะ ผมเป็นคนมีปม อย่างเรื่องลูกหม่ำ หรือเรื่องที่คนดูถูกอีสาน ผมไม่คิดแบบนั้น ผมเชิดชูความเป็นอีสาน เหมือนอยู่บนหิ้ง เหมือนกำลังบูชามันอยู่เลย ผมไม่ค่อยพูดภาษาอีสานนะ เพราะรู้สึกว่าไม่อยากพูดภาษาอีสานทั่วไป มันมีคุณค่าในแบบที่ผมทำได้ในเพลง ยโส ผมทำให้เป็นแบบนั้น ให้ยิ่งใหญ่อย่างนั้นได้ ผมว่ามันคือทุกอย่าง ที่มาที่ไปของตระกูล ของตัวเรา
ผมไม่อายที่เป็นคนอีสาน ที่ผมปล่อยเพลง ยโส ออกมา ผมว่าผมโคตรเท่ ยังไม่มีใครเคยทำแบบนี้ในบ้านเกิดของตัวเอง คือผมไม่ได้บอกว่าผมเจ๋งสุด แต่ในภาคอีสานมันตูม คือผมโคตรเท่ ผมภูมิใจ ภูมิใจมาก ผมว่าถ้าใครลืมตัว มันคือลืมตัวเอง แล้วสักวันก็ต้องลืมพ่อแม่ นั่นคือคุณเลือกที่จะลืมอดีตของคุณแล้ว
วงการเพลงฮิปฮอปในมุมมองของคุณวันนี้เป็นอย่างไร
ไม่ต้องถามผมหรอก คุณก็รู้ ช่วงนี้ยิ่งมั่วกันไปหมด คนที่มีตัวตนของตัวเองหายไปเยอะเลย แล้วร้องก็ไม่ประสาน ประสานกันขี้หมามาก ขอโทษ… ก็ผมพูดความจริง ผมว่าตัวตนมันหายไป อย่างผมแบบนี้ นี่คือแร็ป นี่คือฮิปฮอป คือแต่งตัวแบบนี้ แต่ไปร้องแบบนั้น แบบคีย์สตริง คือมันร้องได้นะ แต่ต้องมีแร็ปด้วย แต่ตอนนี้ในวงการมันไปทางเดียวกัน เหมือนที่ผมพูดในเพลง YasoStar
คุณอยากเห็นอะไรในวงการ
ไม่ต้องเหมือนผม แต่ต้องมีจุดยืนและตัวตนของตัวเอง อยากทำในแนวของตัวเอง ทำเพลงฮิปฮอปมาทำไมมีร้องหมด เฮ้ย ฮิปฮอปมีแค่นั้นจริงเหรอ มันมีแนวอื่นอีกนะ ถ้าเปรียบเทียบเมืองนอกมี XXXTENTACION เสียดายเขาไม่น่าตายเลย ตะโกนร้องดังลั่น เสียงแตก ประเทศไทยเป็นไง ร้องเสียงหล่อหมดเลย
ให้ทุกคนไปสาบานเลย ต่อหน้าอะไรก็ได้ ว่าอยากทำจริงหรือเปล่า ป๊อปอะ แต่ผมก็เข้าใจบางส่วนที่เขาต้องทำนะ เพราะว่าต้องกินข้าว ต้องเลี้ยงครอบครัว แต่บางคนที่รู้และไม่เดือดร้อน รู้ว่าฮิปฮอปตอนนี้ไปผิดทาง คุณยังจะหน้าด้านและไปต่อหรือเปล่า แต่คุณได้ตังค์นะ มีตังค์ไปจนตาย แต่ไปถึงตอนนั้นถึงยุคหลาน ฮิปฮอปอาจจะกลายเป็นอะไรไปแล้วไม่รู้ อาจจะเป็นเกิร์ลกรุ๊ปก็ได้ ผมเลยอยากจะถามว่า ยอมปล่อยได้ใช่ไหม ถ้ายอมปล่อยได้ก็โอเค แต่หาจุดยืนของตัวเองบ้างเถอะ
ดูคุณยึดติดกับวัฒนธรรมมากๆ มันดูขัดกับความขบถของเพลงฮิปฮอปหรือเปล่า
ทุกแนวดนตรีมีวัฒนธรรมหมด สตริงก็จะมีแนวของเขา ร้องลิเกก็มีวัฒนธรรม ถ้าพวกคุณให้เกียรติกับสิ่งเหล่านั้นได้ แต่ทำไมในฮิปฮอปไม่ทำให้ไปในทางที่ถูกต้องล่ะ คือฮิปฮอปไปผิดทางเกินไปแล้ว ลืมวัฒนธรรม ผมคิดว่าแบบนั้นไม่ใช่ เพลงทุกแนวมีวัฒนธรรม อยู่ที่คุณเลือกจะเอามาพูดหรือเปล่าเท่านั้นเอง
สำหรับคุณ ฮิปฮอปคืออะไร
โอ้โฮ ถ้าเป็นตอนแรกผมบอกได้เลยว่าคือเสื้อผ้า ตอนที่ไปอยู่แคนาดาผมคิดแค่นั้น เพราะว่าผมแต่งตัวแบบนั้น ยังไม่ได้เริ่มแร็ปเลยนะ แต่พอแต่งตัวไปเรื่อยๆ ผมก็มาคิดว่ามึงแค่แต่งตัวฮิปฮอปเหรอมิกซ์ มึงแร็ปไม่เป็นหรือไม่ยอมทำอะไร จะทำแค่นี้เหรอ เลยมาเริ่มมาลองแร็ปดู
แต่ถ้าเป็นตอนนี้ผมว่าแร็ปมันคือชีวิต เป็นทั้งสิ่งที่เรารัก เป็นกิจวัตรประจำวัน ถ้าให้อธิบายผมว่าคงพูดได้ไม่หมด ไม่รู้ว่าศิลปินที่เป็นแร็ปเปอร์ทุกคนจะเป็นแบบผมหรือเปล่า บางครั้งผมรู้สึกคุยกับคนไม่รู้เรื่อง แต่เรามานั่งทำเพลงอัดเพลงรู้สึกว่ารู้เรื่องกว่าคุยกับคน ผมรู้สึกสบายใจ ผมรู้สึกว่าผมคือมัน มันคือผม
คาดหวังกับงานเพลงของตัวเองในอนาคตไว้อย่างไร
ในกระบวนการทำงาน ผมจะทำเพลงไปเรื่อยๆ พอมีเพลงตุนไว้สัก 10-15 เพลง โอเค ผมจะทำอัลบั้มแล้ว หาคอนเซ็ปต์อัลบั้ม ก็จะมาดูว่าใน 15 เพลงที่แต่งไว้มีเพลงไหนที่เหมาะกับคอนเซ็ปต์นี้แล้วบ้าง แล้วเราต้องทำเพิ่มอีกกี่เพลง คือผมไม่ได้วางไว้ว่าอันนี้ต้องได้ตังค์ ต้องหาเงินมากินข้าวได้ ไม่ ผมทำคอนเซ็ปต์ของผมก่อน ทำมันออกไปก่อน ได้ไม่ได้ค่อยมาว่ากันอีกที ถ้าไม่ได้ก็ช่างมัน หาโปรเจ็กต์ใหม่แล้วมาสู้ต่อ
ทำเพลงไปเพื่ออะไร ไม่เอาเงิน ไม่เอาชื่อเสียง
ความจริงครับ ผมต้องการความจริงในวงการฮิปฮอปเท่านั้นเอง ให้มันเป็นในสิ่งที่มันเป็น ก่อนผมจะทำ ก่อนผมจะเกิดก็มีฮิปฮอปในไทยแล้ว แต่มันไม่ใช่ฮิปฮอปที่เหมือนต้นกำเนิดจริงๆ ผมแค่อยากให้มันมีที่มาที่ไป บอกว่าทำฮิปฮอปแต่ทำบีตเกาหลีคืออะไร
ทำไมไม่มองว่ามันก็เป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
เพราะได้ตังค์เร็วไง ถูกไหม ได้ตังค์ง่ายแค่นั้นเอง แต่ของผมทำได้แล้วนะ ทำเพลง ยโส ผมได้ 6 ล้านวิว เพลง ฟังกันแหน่ ผมได้ 9 ล้านวิว โอเค อาจจะไม่ได้เยอะหรอกถ้าเทียบเพลงในกระแส คือเพลงผมไม่ใช่เพลงในกระแส เพลงผมไม่ใช่เพลงรัก คนอาจจะบอกว่าเพลงส้นตีนอะไรไม่รู้ แต่มันได้ 9 ล้านวิวนะ นั่นแสดงว่าสักวันหนึ่งกูจะได้ 100 ล้านวิว เดี๋ยวเจอกู คือผมได้ 9 ล้านวิวด้วยเพลงที่ไม่ใช่เพลงรัก เพลงอกหัก ผมยืนในจุดของตัวเอง นี่ไงผมทำได้