ว่าน รัชชุ ป่าน ระภา

ความสัมพันธ์สุดเฮี้ยวของสองพี่น้องนักสถาปนิก ที่ (ไม่) โรแมนติกเหมือนเพลง ‘พี่ชายที่แสนดี’

“ครั้นโดนเขารังแก ร้องงอแงร้องไห้ พี่คนนี้ยังคอยคุ้มครองคุ้มภัย น้องเอยอย่ากลัวใครเขาสองพี่น้องเดินไป น้องตามพี่ชอย จับมือจูงน้องไป มองฟ้าอันกว้างใหญ่ ฟ้าคงไกลไป ขี่คอพี่สูงเอง”

        ‘พี่ชายที่แสนดี’ บทแพลงรักสุดโรแมนติกที่พูดถึงความสัมพันธ์อันแสนวิเศษระหว่างพี่น้อง ถูกเปิดคลอขณะเตรียมประเด็นสัมภาษณ์สองพี่น้อง ‘ว่าน’ – รัชชุ และ ‘ป่าน’ – ระภา สุระจรัส อดีตนักแสดง ศิลปิน ที่ในวันนี้เขาทั้งสองเดินทางสายภูมิสถาปัตย์เต็มตัว โดยร่วมกันทำโปรเจกต์ ‘Emerging Nocturnal Urbanscape’ จากโครงการ Non Architecture ด้วยข้อเสนอให้เลื่อนเวลาใช้ชีวิตและพื้นที่สาธารณะไปอีกสามชั่วโมง เพื่อตอบรับสถานการณ์โลกร้อนเพิ่มขึ้น 1.5 องศาในอนาคต จนคว้ารางวัลชนะเลิศมาครอบครอง 

        เรื่องโปรเจกต์นั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือความสัมพันธ์ของพี่น้องทั้งสองคน ที่สามารถทำงานร่วมกันจนคว้ารางวัลที่น่าภาคภูมิใจมาได้ เบื้องหลังชีวิตครอบครัวทั้งคู่เป็นอย่างไร พวกเขารักกันขนาดไหน เราลิสต์คำถามสัมภาษณ์ส่งไปล่วงหน้าโดยวาดฝันจากความโรแมนติกของเนื้อเพลงข้างต้นเป็นแรงบันดาลใจ ก่อนจะได้รับคำตอบมาจากเจ้าตัวว่ามันผิดมหันต์…

        ทั้งคู่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเฮฮา พลางหัวเราะใส่เพลงดังกล่าว ว่ามันช่างเกินจากความเป็นจริงไปมากทีเดียว ถึงจะถูกบอกมาแบบนั้น แต่เมื่อฟังจากเรื่องราว และทดลองอ่านถึงความรู้สึกนึกคิดระหว่างบรรทัด กลับค้นพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของทั้งคู่นั้นไม่ได้เกินเลยไปจากบทเพลงข้างต้นเลยแม้แต่น้อย

ว่าน รัชชุ ป่าน ระภา

ย้อนกลับไปในวันแรกที่รู้ตัวว่ากำลังจะมีน้องสาว ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร คิดภาพไว้ไหวว่าน้องสาวของเราจะเป็นอย่างไร

        ว่าน: เมื่อก่อนมันจะมีบทสนทนาของบ้าน จากเพลง ‘พี่ชายที่แสนดี’ บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์พี่น้องหวานแหวว ประมาณว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่จะดูแลเอง จะจับมือพาน้องไปดูดาว เรารู้สึกโคตรจะไม่อินกับเพลงนี้เลย (หัวเราะ) มันจะไม่เคยเกิดขึ้นในบ้าน ไม่มีทางเกิดขึ้น และไม่มีวันจะเกิดขึ้น จนมันกลายเป็นเรื่องตลกในบ้านว่าทำไมมันไม่เคยเกิดขึ้นเลย ทำไมป่านไม่เคยมีพี่ที่ดีเลย เพราะเราเป็นคนขี้แกล้งมาก ส่วนเรื่องความคาดหวังว่าอยากให้เขาเป็นอะไร เรามองว่าชีวิตเป็นเรื่องของเขา ถ้าสิ่งที่เขาทำไม่ผิดเกินข้อจำกัดที่เรารับไหวก็ปล่อยไป ลองคิดดูว่าคนที่เติบโตมาในภาพที่พี่ชายพ่นน้ำแดงเม็ดแมงลัก วิ่งแก้ผ้าแกล้งเพื่อน  ป่านเห็นเราในสภาพนั้นคงจะยังเชื่อฟังเราอยู่เหรอ ขนาดเราเองยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นอะไรเลย จะไปมีอะไรมากะเกณฑ์ให้ใครเป็นอะไรได้

ด้านน้องสาวเราคาดหวังกับพี่ชายคนนี้ไว้อย่างไรบ้าง เป็นพี่ชายที่คอยปกป้องเราเหมือนในเพลง พี่ชายที่แสนดี หรือเปล่า

        ป่าน: มีคาดหวังไว้บ้างนะตอนเด็กๆ เพราะสื่อที่เราถูกปลูกฝังมาในยุคนี้มันยังเป็นช่องกระแสหลักอยู่ ก็คอยเอาแต่บอกว่า ‘เป็นพี่น้องกัน ต้องรักกัน’  ตอนนั้นหัวเราคิดว่า ทำไมพี่มันช่างดุร้ายกับเราจังเลยนะ ไม่เคยพาไปดูดาวเหมือนในเพลง พี่ชายที่แสนดี เลย เราจะโดนแกล้งตลอด คิดว่าตัวเองน่าสงสารที่สุดในโลก รับบทเป็นนางเอก คอยเอาเรื่องนี้ไปฟ้องแม่ แต่พอโตขึ้น ก็รู้สึกว่าเขาจะเป็นอะไรก็เป็น ถ้าสิ่งที่เขาเป็นมันทำให้เขามีความสุข ไม่เดือดร้อนเราก็เพียงพอแล้ว

ทั้งสองคนคิดว่าตัวเองเป็นคู่พี่น้องแบบไหน

        ว่าน: พวกเราอายุห่างกันแค่ปีครึ่ง พอว่านเกิดปุ๊บ ป่านก็เกิดเลย ไม่มีเวลาให้คิดด้วยซ้ำว่าคนนี้เป็นน้องเรา  ตั้งแต่อนุบาลถึงมัธยมไปไหนมาได้ด้วยกันทุกวันก็รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกันมากกว่า

        ป่าน: เราเป็นคู่พี่น้องที่เหมือนเพื่อนสนิทที่พึ่งพาได้ ไว้ใจได้ มีอะไรก็เล่าให้ฟังได้ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะไปฟ้องแม่หรือเปล่า เวลามีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหรือเรื่องที่ดีใจก็จะโทร.ไปปรึกษาได้ตลอด แอบถามแม่มา เขาว่าเป็นความตั้งใจที่อยากมีลูกที่เป็นเพื่อนที่สนิทกันได้

ว่าน รัชชุ ป่าน ระภา

แล้วทั้งสองคนมองตัวเองเป็นคนอย่างไร

        ว่าน: เป็นคนบ้าครับ (หัวเราะ)

        ป่าน: พวกเราเป็นคนคิดมากทั้งคู่ จนทำให้เป็นห่วงความรู้สึกกันและกันค่อนข้างเยอะ จะมีบางเวลาที่ป่านรู้ตัวว่าทำให้พี่ว่านรู้สึกโกรธ รำคาญ หรือเสียใจ เราก็มักจะจับสังเกตได้แล้วพยายามเข้าไปชวนคุยให้เขารู้สึกดีขึ้น แต่จะไม่ใช่การขอโทษเด็ดขาด มันจักจี้ พี่ว่านก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน เวลารู้ตัวว่าผิดก็จะมาง้อโดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

        ว่าน: โดยลักษณะนิสัยของว่านเป็นคนใจร้อน ยิ่งอายุเยอะขึ้นก็ยิ่งใจร้อนมากขึ้น ส่วนป่านก็มักจะรู้ว่าผิดแต่ก็ยังทำ สถานการณ์แบบนั้นก็ทำให้เราพูดไม่ออก เพราะพูดไปก็รังจะมีแต่แรงโต้กลับมา หรือเวลาเราทำผิดเขาก็กระอักกระอ่วนจนไม่รู้จะพูดอย่างไรเหมือนกัน วิธีคือเข้าไปถามว่ากินข้าวหรือยัง ออกไปกินข้าวด้วยกันไหม

        ป่าน: เริ่มรู้กันเองว่าการมาชวนกินข้าวคือการขอโทษและมาง้อของอีกฝ่าย

        ว่าน: พักหลังจะเป็นการชวนกินเบียร์มากกว่า (หัวเราะ)

ตั้งแต่ช่วงที่ยังเด็กทั้งคู่เคยทดลองเป็นศิลปินหรือนักแสดงมา จนปัจจุบันนี้กลายมาเป็นสถาปนิก เห็นตัวเองเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

        ว่าน: ตอนนั้นหลังเวลาเลิกเรียนสถาปัตย์ จะต้องแบ่งเวลาสามชั่วโมงออกไปถ่ายรายการของแบงแชนแนล แล้วกลับไปถ่ายงานสตูดิโอต่อ ชีวิตเป็นแบบนี้ตลอด มันคือช่วงเวลาเดียวกันกับที่ตัวตน ความรับผิดชอบ วิธีการคิดมันถูกพัฒนาไปพร้อมกัน  ปัจจุบันเราอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะใช้ชีวิตอย่างนี้มาตลอดอยู่แล้ว ทำหลายสิ่งอย่างพร้อมกัน ตั้งแต่อายุสิบห้าจนมาถึงตอนนี้

        ป่าน: ช่วงเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยเราได้ทำรายการสดกับพี่ว่าน ทำให้เราได้เห็นความสามารถของตัวเองที่เพิ่มมากขึ้น และรู้ว่าตัวเองชอบทำงานมาก ทั้งงานสถาปัตย์ งานพิธีกร เป็นช่วงเวลาที่เราค้นหาตัวเองว่าชอบอะไร อยากเป็นอะไร เป้าหมายชีวิตคืออะไร จนตอนนี้เราก็ได้ค้นพบความต้องการที่มั่นคงของตัวเอง หยุดพยายามเป็นอะไรที่ไม่ใช่ตัวเรา เริ่มนิ่งขึ้น แต่โดยรวมก็ไม่เคยรู้สึกเสียใจที่ทำอะไรสักอย่างเลย แม้กระทั่งร้องเพลง เพราะมันคือประสบการณ์ที่ดี รู้สึกโชคดีที่ได้สัมผัส

พอได้ทดลองอะไรหลายอย่างแล้ว สิ่งที่ได้เรียนรู้กลับมาคืออะไร

        ว่าน: ได้รู้ว่าจริงๆ เราชอบดนตรีมากเลยนะ ถ้าคนถามเราว่าอยากเป็นอะไรจริงๆ คำตอบคือนักดนตรีอันดับหนึ่ง เพราะตอนเล่นดนตรีกับป่านตอนนั้นมีความสุขมาก ไม่คิดอะไรเลย ในหัวมีแต่ดนตรีทั้งวัน

        ป่าน: เราได้ข้อคิดกลับมาว่าถ้าเราทำอะไรสักอย่างเต็มร้อยแล้วเราจะไม่ต้องกลับมาเสียใจย้อนหลัง อย่างตอนทำดนตรีก็รู้สึกว่าเราให้ไปแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เดินไปต่อในเส้นทางดนตรี แต่ถ้ามองย้อนกลับไปวันนั้นเราไม่มีอะไรต้องเสียใจเลย เพราะเราได้ไปเต็มที่แล้ว

ว่าน รัชชุ ป่าน ระภา

ในฐานะคนที่เติบโตมาด้วยกันตลอด ทั้งคู่มองเห็นเส้นทางการเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายอย่างไร

        ว่าน: ตอบว่าความเหี่ยวของหน้าได้ไหมนะ (หัวเราะ) ชิงเล่นก่อนเพราะรู้ว่าเขาจะเล่น

        ป่าน: เราเห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของพี่ว่านเยอะมาก ตั้งแต่ก่อนเขาจะเริ่มเล่นหนังเรื่องแรก จนเขาเริ่มมีงานแสดง และงานแสดงก็ได้เอาเวลาที่เขาจะได้เป็นเด็กวัยรุ่น วิ่งเล่นกับเพื่อนออกไป แทนที่เราจะได้กลับบ้านด้วยกัน เขาก็ยังมีกิจกรรมเยอะมากต้องทำต่อ แต่ก็ทำให้เราเห็นว่าเขาพยายามใช้ชีวิตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สมมติว่าเคยทำการบ้านเสร็จในหนึ่งชั่วโมง เขาก็ต้องทำเสร็จภายในสิบห้านาที เราจะเห็นความสามารถของเขาที่เพิ่มขึ้น และรู้สึกดีที่ได้เห็นเขาในแง่มุมนั้น

        ว่าน: เราเห็นเขามีความคิดที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะเมื่อก่อนเขาเป็นคนอะไรก็ได้ ยอมตามใจคนอื่นมาตลอด ไม่ค่อยมีความคิดเห็นอะไร ก็สงสัยว่าคิดอะไรบ้างหรือเปล่า แต่ในช่วงปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัย ป่านไปเป็นเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนที่นิวยอร์กประมาณครึ่งปี แล้วทำธีสิสจบที่นู่น การที่คนคนหนึ่งไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ไม่มีครอบครัว ไม่มีคนคอยดูแล  ไม่รู้เลยว่าจะพบเจอกันอะไรในช่วงเวลานั้น พอกลับมาเขาก็มีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตเยอะมาก รู้สึกว่าเติบโตขึ้นเยอะ มีวิธีการคิดที่ชัดเจน มีระบบระเบียบทางความคิด มีวินัยในการใช้ชีวิตมากขึ้น กระบวนการคิดค่อนข้างแข็งแรงกว่าวันที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัดและก้าวกระโดดมาก… ตอบได้ดีไหมนะ

        ป่าน: เยี่ยม เอาเบียร์ไปสองแก้ว (หัวเราะ)

หมายความว่าการแยกย้ายไปเติบโตในช่วงเวลาหนึ่งมันก็ทำให้ต่างฝ่ายต่างได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายเติบโตขึ้นแค่ไหน แล้วการได้กลับมาทำงานร่วมกันในโปรเจกต์ ‘Emerging Nocturnal Urbanscape’ ร่วมกัน ทำให้ได้มองเห็นอะไรอีกไหม

        ป่าน: การแข่งขันนี้เป็นเหมือนการทดลองว่าเรายังทำงานร่วมกันได้อยู่หรือเปล่า เพราะตอนเรียนปริญญาโทเป็นช่วงที่ต่างคนต่างอยู่กับตัวเองเยอะ แปลว่าวิธีการคิดของเราอาจเปลี่ยนแปลงไป การทำโปรเจกต์ร่วมกันเป้าหมายจึงไม่ใช่การแข่งขัน แต่คือการทดลองทำงานร่วมกันว่ามันยังเวิร์กอยู่หรือเปล่า

        ว่าน: เป็นโอกาสที่ทำให้เราได้ไปสำรวจร่วมกัน กล้าที่จะบ้าไปพร้อมกัน ไม่มีกรอบอะไรมากะเกณฑ์ อยู่บนความไม่รู้เสียมาก ป่านก็มักจะมาด้วยคอนเซปต์อะไรก็ไม่รู้ แต่ทำให้เรารู้ว่าอีกคนหนึ่งคนมีวิธีการคิดอย่างไร อีกทั้ง พวกมีช่วงเวลาที่เราต่างห่างหายกันไปเพราะไปเรียนกันต่างถิ่น ถึงแม้จะโทร.หากันทุกสัปดาห์ แต่ตอนนั้นต่างคนต่างก็ถูกรื้อถอนและถูกประกอบสร้างใหม่ขึ้นมาหมดด้วยสภาพแวดล้อม โปรเจกต์นี้มันจึงเป็นการยืนยันว่าเราสามารถทำงานร่วมกันได้อยู่หรือเปล่า 

แล้วผลตอบรับเป็นอย่างไร ถือว่าดีหรือไม่

        ป่าน: ถือว่าประสบความสำเร็จนะ แต่ถ้าคำตอบคือไม่ได้ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าไม่ได้ แต่โชคดีที่มันดันได้

        ว่าน: โจทย์ของการแข่งขันมันสนุกด้วยแหละ เป็นเรื่องที่ทั้งคู่สนใจ ตอนว่านเห็นการแข่งขันนี้ก็รู้สึกว่าลองเลยก็แล้วกัน ไม่ได้มีอะไรเสียหาย ลองแล้วจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง เป็นเรื่องดีที่ได้ทำโปรเจกต์นี้ร่วมกับเขา

ว่าน รัชชุ ป่าน ระภา

ดูเป็นครอบครัวที่สนิทกันขนาดนี้ เคยมีเรื่องให้เศร้าเสียใจบ้างหรือเปล่า

        ว่าน: ทุกบ้านก็ต้องมีเรื่องที่คนนี้โอเค แต่บางคนไม่โอเคอยู่แล้ว เราก็ผ่านเรื่องที่ดีมากและไม่ดีมากในความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวกันมาเยอะประมาณหนึ่ง ตอนแรกก็รับมือไม่ถูก แต่ในวันนี้ก็รับมือได้ดีขึ้น ค่อนข้างจะเข้าใจรูปแบบความสัมพันธ์ของที่บ้าน ความรู้สึกของคนในบ้าน

        ป่าน: ถือเป็นความโชคดี ที่เราได้ผ่านเรื่องราวดีร้ายมาด้วยกัน เรามองว่าเรื่องครอบครัวมันเป็นการแลกเปลี่ยนความเจ็บปวดร่วมกัน เราไม่ได้รับมือกับปัญหาเหล่านั้นคนเดียวนะ ยังมีคนในครอบครัวคอยรู้สึกไปกับเราอีกด้วย

        ว่าน: บ้านของว่านมีหกคน พ่อ แม่ ว่าน ป่าน ไททัน (น้องชาย) และน้า เราจะสนิทกันมากทุกคน ถ้าเกิดใครคนใดคนหนึ่งเกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมาบางอย่าง ต่อให้ดีหรือไม่ดี เราก็จะสัมผัสได้เสมอ แชร์ความรู้สึกร่วมกัน และแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน 

สมมติอีกฝ่ายมีเรื่องทุกข์ใจ เศร้าใจ มีวิธีการปลอมประโลมจิตใจกันอย่างไร

        ป่าน: ไม่มีนะคะ ที่บ้านไม่ค่อยมีพิธีรีตอง ทุกคนเป็นคนตรงมาก เป็นคนสบายๆ พ่อแม่จะบอกว่า ‘เศร้ากันทำไม ไร้สาระน่ะ เอาเวลาไปคิดเรื่องอื่นดีกว่าลูก’ พวกเราไม่เคยถูกโอ๋เลย ซึ่งนั่นก็ทำให้เราได้คิดว่าอะไรที่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น เวลามีเรื่องเศร้าทุกคนจะพยายามรับฟังซึ่งกันและกัน และทำให้มันผ่านไปได้เร็วขึ้น

        ว่าน: บทสนทนาระหว่างคนในบ้านมักจะเป็นเรื่องการมองเรื่องบวกบนความเป็นจริงให้ได้ มันย่อมมีเรื่องดีซ่อนอยู่ในสิ่งที่ไม่ดีเสมอ พวกเราคิดอย่างนั้นนะ แต่ไม่รู้ว่าเวลาทำจริงจะได้ขนาดไหน

สำหรับพี่น้องหลายคู่ที่ไม่ลงรอยกัน มีคำแนะนำไหมว่าจะลดอีโก้ของกันและกันลงแล้วหันมาปรับความเข้าใจกันใหม่ได้อย่างไร

        ว่าน: เป็นคำถามที่ดีและยากมาก

        ป่าน: คิดว่าความสัมพันธ์พี่น้องทำงานสองทาง หมายถึงว่าเป็นการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ถ้าป่านให้พี่ว่านไปหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ป่านไม่ได้กลับมาเต็มร้อย ความอยากให้ความสัมพันธ์เป็นไปได้ด้วยดีมันก็คงน้อยลง ดังนั้น คิดว่าการแนะนำในคำถามนี้มันคงเป็นเรื่องยากเกินไป เพราะเราไม่รู้เบื้องหลังครอบครัวของคนอื่นเลย แต่คิดว่าถ้าเราแคร์ใครสักคน ต้องพยายามแสดงออก จดจำรายละเอียด ทำให้เขารู้สึกว่าเราแคร์เขา ถ้าทำแล้วได้กลับมาหรือไม่ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แต่ถ้าไม่รับกลับมาก็อย่าไปฝืน ถ้าเวิร์กก็เวิร์ก ไม่เวิร์กก็ไม่เวิร์ก

        ว่าน: ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองให้มาก พูดกันอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร แม้กระทั่งเรื่องที่เป็นปัจจัยภายนอกที่อาจทำให้เกิดข้อขัดแย้ง หรือการทะเลาะกันในอนาคต ไม่ต้องไปบ่ายเบี่ยง เหมือนป่านเคยบอกเราว่า ‘ถ้าจะเลือกเปิดใจให้ใครสักคน ก็เปิดให้มันเต็มๆ ไปเลย ไม่ต้องมากั๊กความรู้สึกเอาไว้’

ว่าน รัชชุ ป่าน ระภา

สิ่งที่พี่ชายและน้องสาวห่วงหรือหวงซึ่งกันและกันมีเรื่องอะไรบ้าง

        ป่าน: เรื่องที่ห่วงเป็นพิเศษเรื่องแรกคือสุขภาพ พี่ว่านใช้ชีวิตค่อนข้างโหด เหมือนจะดูแลตัวเองแต่ไม่ค่อยดูแลตัวเองเท่าไร  ซึ่งเราก็ไปพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะเราก็ไม่ได้ดูแลตัวเองดีเท่าไหร่ สองคือเรื่องอารมณ์ เวลาเดือดเขาจุดเดือดต่ำมาก แต่เวลาเศร้าก็ดิ่งง่ายมาก ห่วงที่เขาเจ้าอารมณ์หน่อย พยายามบอกเขาว่าไม่ต้อง take it serious ขนาดนั้น การคิดเยอะมากเกินไปบางเรื่องมันกลับมากัดกร่อนจิตใจเรา

        ว่าน: ผมก็ห่วงเขาตามประสาพี่ชาย ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตเขาฉลาดกว่าเยอะ เรื่อง work-life balance เขาก็ทำได้ดีกว่าที่ผมทำ แต่เรื่องบางเรื่องป่านก็ซีเรียสมากเลย ซึ่งบางทีก็ไม่รอบคอบ จนมันเป็นภัยต่อกระบวนความคิดของเขาเอง อยากให้เขาอะลุ่มอล่วยในการแก้ปัญหาในชีวิตบ้าง

สิ่งที่อยากทิ้งท้ายถึงคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้

        ว่าน: ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวเป็นเรื่องที่ดี อยากให้จริงใจ รักษามันไว้ให้ดี พลังของครอบครัวจำเป็นต่อชีวิตมาก ถ้าวันไหนได้มีบทสนทนาก็จะรู้สึกเหมือนเติมพลัง เป็นแรงผลักดันที่ดีต่อชีวิต

        ป่าน: เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องพิเศษมาก ตอนแรกอาจเป็นความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งเกลียด บางคนอาจไม่กล้าแสดงออก รู้สึกจักจี้กับมัน แต่เราก็ต้องดูแลกันและกัน จริงใจกับพี่น้องเรา เพราะถ้าไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้จะไปจริงใจกับใครได้ ให้คุณค่ากับความสัมพันธ์พี่น้องเยอะๆ ถึงแม้พี่ว่านจะไม่ค่อยแคร์มันก็ตาม

        ว่าน: ใช่ เพราะผมมันขี้แกล้ง (หัวเราะ)

ว่าน รัชชุ ป่าน ระภา