วรันธร สมกิจรุ่งโรจน์: เพราะคลั่งไคล้ ‘กีฬาลูกหนัง’ จนมีวันนี้

สำหรับคอกีฬาฟุตบอลเมืองไทย คงมีชื่อเหล่ากูรูที่เป็นขวัญใจกันอยู่มากมาย ซึ่งหนึ่งใน ‘คนในแวดวงฟุตบอล’ ที่มาแรง และมีแฟนคลับติดตามผลงานจำนวนไม่น้อยไปกว่าใครๆ เธอคือ ‘วรันธร สมกิจรุ่งโรจน์’ 

        พูดชื่อจริง สนามสกุลจริง แฟนบอลหลายคนอาจส่ายหน้า ทำคิ้วขมวด แต่หากบอกว่า เธอคือ ‘พีชชี่ ผู้หญิงที่บ้าบอล’ เอิ่ม… ใช้คำว่า คลั่งไคล้ฟุตบอลสุดๆ ดีกว่า เรามั่นใจว่า แฟนบอลชาวไทยคงได้ร้องอ๋อกันอย่างแน่นอน

        พีชชี่คือชื่อเล่น และกลายเป็นชื่อที่ผู้คนจดจำเธอ ในฐานะผู้ประกาศข่าวกีฬา พิธีกรกีฬา และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ด้านฟุตบอล ที่มีผลงานมากมาย มากจนแฟนบอลสามารถเห็นเธอได้ตามแพลตฟอร์มกีฬาต่างๆ ได้ (เกือบ) ทุกวัน 

        จากความรักความชอบในกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก แบ่งเงินค่าขนมไปซื้อหนังสือพิมพ์ฟุตบอลอ่านทุกวัน ความหลงใหลในฟุตบอลอันมากมายเหล่านี้ ผลักดันให้เธอก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในบุคลากรในแวดวงกีฬาของเมืองไทย เรียกว่าเป็นสุภาพสตรีเพียงไม่กี่คน ที่ได้รับการชื่นชมและยอมรับจากเกจิกูรูในแวดวงฟุตบอลเมืองไทย

        a day BULLETIN ชวนเธอมาเป็นแขกร่วมพูดคุย ในบรรยากาศที่เมืองไทยกำลังคึกคักด้วยเรื่องกีฬาฟุตบอล พร้อมยังทราบอีกด้วยว่า พีชชี่เป็นแฟนพันธุ์แท้สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมากว่า 20 ปี ‘เป็นเด็กผีหัวใจเจ็บอยู่ในเวลานี้’ ตามไปอ่านบทสนทนาครั้งนี้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ โดยเฉพาะคนที่กำลังหลงใหลกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดสักอย่าง แล้วอยากต่อยอดมันให้เกิดความสำเร็จ เรื่องราวของผู้หญิงคนนี้อาจทำให้คุณ ‘กล้า’ ที่จะลงมือทำมากขึ้นอีกก็เป็นได้


ถ้าใครเป็นแฟนฟุตบอล จะเห็นหน้าคุณทุกช่องทาง เราอยากทราบว่าวันนี้คุณมีงานอะไรที่รับผิดชอบอยู่บ้าง

        ปัจจุบันเราเป็นฟรีแลนซ์ รับงานด้านกีฬา โดยเฉพาะฟุตบอล งานหลักๆ ในวันนี้มีอยู่หลายค่าย เช่น ที่ทรูวิชั่นส์ รับหน้าที่เป็นผู้ประกาศข่าวกีฬาประจำวัน เป็นแขกประจำในรายการ Before The Game คอยให้ทัศนะก่อนเกมพรีเมียร์ลีกของอังกฤษจะลงแข่งขัน นอกจากนี้ยังมีรายการไลฟ์สด ชื่อว่า ไลฟ์สกอร์ห้องแมนฯ ยูฯ และอีกรายการหนึ่งที่เป็นของค่ายทรูวิชั่นส์เช่นกันคือ ไทยแลนด์แฟนบอล เป็นรายการพูดคุยก่อนเกมการแข่งขัน แพร่ภาพทางช่องทางออนไลน์ 

        ที่เล่าไปคืองานทั้งหมดที่ทำกับทรูวิชั่นส์ ยังมีงานอ่านข่าวกีฬาประจำวันของทางช่องทีสปอร์ต ทุกวันจันทร์ถึงวันเสาร์ เวลา 07.00-09.00 น. นอกจากนี้ยังร่วมหุ้นเปิดบริษัทกับพี่ๆ ในวงการฟุตบอล ทำช่องยูทูบด้านกีฬา ชื่อรายการ ท็อปโฟร์ ไทยแลนด์ รวมทั้งยังรับจ้างผลิตรายการให้กับลูกค้าที่สนใจ รวมถึงรับผลิตคอนเทนต์กีฬา และงานอีเวนต์กีฬาต่างๆ สามารถมาจ้างเราได้ … อ้อ! แล้วยังมีเพจส่วนตัวชื่อ ‘พีชชงพีชชี่‘ สามารถไปติดตามกันได้ค่ะ (ยิ้ม)

คุณเริ่มต้นงานในแวดวงกีฬามาตั้งแต่เมื่อไหร่

        ราวๆ 7 ปีก่อน เราเริ่มงานแรกคือ เป็นผู้ประกาศข่าวกีฬาที่ช่องไทยรัฐทีวี ตอนนั้นทางช่องเพิ่งเปิดสถานีใหม่ๆ เขาเปิดรับสมัครผู้ประกาศข่าว เราก็ไปแคสต์กับเขาด้วย คนสมัครหลักพัน เขาคัดเหลือ 12 คน ซึ่งเราเป็นหนึ่งในนั้น แต่ความตั้งใจคือ เราอยากเป็นผู้ประกาศข่าวกีฬา นี่เป็นความฝัน เป็นเป้าหมายที่ตั้งใจไว้แต่แรกเลย ฉันต้องเป็นผู้ประกาศข่าวกีฬาให้ได้

        ซึ่งตอนแรกเกือบไม่ได้ (ยิ้ม) เพราะทีมงานบอกตลอดว่า ไม่ได้หมายความว่าเราจะให้คุณอ่านข่าวกีฬานะ แต่ขอดูศักยภาพทั้งหมด ดูความเป็นไปได้ แล้วค่อยเลือกอีกทีว่าคุณจะได้ไปอยู่ส่วนไหน ทีแรกเขาให้ลองไปอ่านข่าวบันเทิง ปรากฎว่าจริตเรามันคงไม่ได้ สุดท้ายก็ได้มาอ่านข่าวกีฬาจริงๆ จำได้แม่นยำเลย เริ่มอ่านครั้งแรกวันที่ 24 เมษายน 2557 อ่านข่าว เดวิด เบ็กแฮม โฆษณากางเกงใน (หัวเราะ) เป็นช่วงสปอร์ตวาไรตี้ เราได้เลือกข่าวเอง เลยเลือกข่าวเบ็กแฮมใส่กางเกงใน เพราะชอบ (หัวเราะ)

การทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวที่ไทยรัฐทีวีได้เรียนรู้อะไรบ้าง

        เยอะมาก (ยิ้ม) ต้องเล่าอย่างนี้ค่ะ ตอนเข้าไปทำที่ไทยรัฐใหม่ๆ เราไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับข่าวเลย เราเรียนจบมาทางด้านจิตวิทยา ไม่เคยทำข่าว เขียนข่าวคือะไร ทำสกู๊ปข่าวเป็นยังไง ออกไปรายงานข่าวต้องทำยังไง ไม่รู้อะไรสักอย่าง (หัวเราะ) แล้วช่วงก่อนที่จะได้ขึ้นรายงานข่าวครั้งแรก ทางไทยรัฐเขานำ ‘พี่หนิง’ – สายสวรรค์ ขยันยิ่ง ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ให้มาช่วยเทรนผู้ประกาศข่าวหน้าใหม่ทุกคนของสถานี

        ช่วงนั้นเราถึงกับกุมขมับ (ยิ้ม) เพราะภาษาไทยเราไม่ได้เรื่อง การอ่านคำ การออกเสียง ต้องเรียนรู้ใหม่หมด ไหนจะเรื่องทักษะการทำข่าว ตอนนั้นเราแบ่งความท้าทายออกเป็น 2 เรื่อง เรื่องหนึ่งคือ ความท้าทายของการเป็นคนหน้าจอ เราพูดไม่ชัด พูดผิดหลักไวยากรณ์ พูดชื่อนักกีฬาผิดๆ ถูกๆ วิธีแก้ปัญหาคือ เราพรินต์ชื่อนักกีฬาออกมาวันละร้อยชื่อ แล้วก็นั่งอ่านอยู่อย่างนั้น ทำทุกวัน เพื่อให้มันคล่องปาก 

        ส่วนความท้าทายอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ความท้าทายในคอนเทนต์ คือบางศัพท์ในแวดวงกีฬา เราไม่รู้จักว่ามันคืออะไร ช่วงนั้นเลยกลายเป็นคุณหนูจำไม ถามทุกสิ่งอย่างที่อยากรู้ เช่น พอได้สคริปต์ข่าวมา จะต้องถามพี่ๆ นักข่าวเป็นประจำ เป็นต้นว่า อย่างข่าวบาสเกตบอลเอ็นบีเอ มีคำเฉพาะเช่น ‘ดับเบิล-ดับเบิล’ หรือ ‘ทริปเปิล-ดับเบิล’ คืออะไร ฟุตบอลยูฟาแชมเปียนส์ลีก เขามีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ‘บิ๊กเอียร์’ (Big Ear) เรื่องอะไรแบบนี้เราไม่เคยรู้ แต่ต้องเรียนรู้ให้ได้ทั้งหมด

        ย้อนกลับไปช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทุลักทุเลพอสมควร ทำอะไรเป๋อๆ ออกทีวีตลอด แต่ทุกอย่างคือประสบการณ์ที่ทำให้เราพัฒนาขึ้น ซึ่งต้องขอบคุณไทยรัฐทีวีมากๆ ที่ให้โอกาส เหมือนเป็นโรงเรียนที่รับเด็กอนุบาล ให้เรียนถึงระดับมหาวิทยาลัยก็ว่าได้

ที่บอกว่า ‘ฉันฝันจะเป็นผู้ประกาศข่าวกีฬาให้ได้’ คุณมีความรักความชอบเรื่องกีฬามาตั้งแต่เมื่อไร

        ตั้งแต่เด็กเลย สมัยก่อนถ้าเป็นช่วงปิดเทอม แล้วมีแข่งกีฬาซีเกมส์ หรือเอเชียนเกมส์ เราจะเปิดทีวีดูทั้งวัน ด้วยความที่มีพี่ชายสองคน เราเป็นน้องเล็กสุด เวลาเขาเล่นกีฬาอะไร เช่น เล่นบาส เตะบอล เราต้องเล่นไปกับเขาด้วย เกาะเขาไปด้วยทุกที่ แต่โดยพื้นฐานเป็นคนชอบเล่นกีฬาอยู่แล้ว เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลของโรงเรียน ลงแข่งกีฬาสี ได้เหรียญทอง ได้เป็นนักกีฬายอดเยี่ยมทุกปี ตอนเด็กๆ ขอพ่อซื้อโต๊ะปิงปองมาเล่นที่บ้าน ชวนพ่อ ชวนพี่เล่นเป็นประจำ ความรักความชอบเหล่านี้มันปลูกฝังเรามาเรื่อยๆ

        จนถึงช่วงปี 2000 ตอนนั้นเริ่มบ้าบอล เริ่มชอบทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ช่วงที่พีกมากๆ คือต้องซื้อหนังสือพิมพ์ฟุตบอล สตาร์ซอคเกอร์อ่านทุกวัน เพื่ออัพเดตทีมแมนยูฯ รวมทั้งเรื่องฟุตบอลอื่นๆ อย่างตอนที่มีแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 ครั้งนั้นแข่งขันที่ประเทศเกาหลี-ญี่ปุ่น เราตามเชียร์ทีมชาติอังกฤษ เพราะมีเบ็กแฮม (ยิ้ม) ปรากฎว่า เวลาที่อังกฤษลงแข่ง ตรงกับบ่ายสองบ้านเรา ซึ่งต้องเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียน 

        ด้วยความอยากดู แต่ก็ต้องเรียนหนังสือไปด้วย เราเอาวิทยุเครื่องเล็กๆ เข้าไปในห้องเรียน แล้วเสียบหูฟังรายงานฟุตบอล คือเรียนไปด้วย ฟังไปด้วย จนหมดชั่วโมง อาจารย์เดินมาบอกผลการแข่งขัน เพราะรู้ว่าเราบ้าฟุตบอล เราก็ยิ้มๆ ให้อาจารย์ บอกหนูรู้แล้ว หนูเอาวิทยุมาฟังในห้องด้วย (หัวเราะ)

        ถามว่าทำไมถึงชอบกีฬาฟุตบอล คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ คือ เพราะมันสนุก มันคาดเดาไม่ได้ ไม่เหมือนละครที่ยังคาดเดาได้ แล้วที่เรายังสนุกกับมันอยู่ อาจเป็นเพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับฟุตบอล ถ้าเรารู้ทุกเรื่อง เราคงเบื่อไปแล้วก็ได้

อย่างที่เราทราบกันดี บุคลากรในแวดวงกีฬาส่วนมากมักเป็นผู้ชาย ดังนั้น การขึ้นมาเป็น ‘ผู้หญิงในแวดวงกีฬา’ คุณต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะแค่ไหน

อย่างที่เล่าไปว่าเราสู้มาตลอด แต่โชคดีอย่างหนึ่ง คือเป็นคนไม่บั่นทอนตัวเอง คือไม่ค่อยเก็บเอาคำวิพากษ์วิจารณ์มาบั่นทอนความรู้สึกของตัวเอง แต่โดยส่วนตัว เวลาทำผลงานออกมาไม่ดี เราไม่ต้องรอให้ใครด่า เราด่าตัวเองก่อนแล้ว แต่ถ้าวันไหนทำดี เราก็ชมตัวเองนะ คือมันต้องอยู่กับความเป็นจริงน่ะ เราเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี คำวิจารณ์ต่างๆ มันผ่านมา แล้วมันก็ผ่านไป แต่ว่าเราก็เอามันมาเป็นการผลักดันตัวเอง บางทีสิ่งที่เขาพูดมาเป็นเรื่องจริง เราก็ค่อยๆ แก้ ค่อยๆ ปรับไป

คุณเคยเจอคนมาลองวิชา ประมาณว่าเทสต์ความรู้เรื่องกีฬา หรือเรื่องฟุตบอลบ้างไหม

        มีสิ (ยิ้ม) ทุกวันนี้ก็ยังมีคนตั้งแง่กับเราอยู่ เช่น บางทีไปจัดรายการวิเคราะห์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ มักจะมีคนพิมพ์เข้ามา ผู้หญิงคนนี้พูดเยอะจัง หรือวิเคราะห์มั่วๆ รู้จริงหรือเปล่า อะไรแบบนี้ บางเคสที่บอกเราวิเคราะห์มั่ว เรามักจะย้อนไปดูข้อมูลที่เตรียมมาเสมอ เวลาทำรายการแบบนี้ เราหาข้อมูลเป็นครึ่งวัน แล้วไม่ได้เตรียมแค่ข้อมูล เราต้องไปถามคนที่รู้มากกว่า หรือรู้ในเรื่องเฉพาะนั้นๆ เพราะต้องยอมรับว่า บางทีมที่เราต้องวิเคราะห์ เราอาจจะไมได้ติดตามละเอียดขนาดนั้น หน้าที่ของเราคือต้องหาข้อมูล สถิติ และข่าวสารต่างๆ มาประกอบ อยากย้ำเลยว่าไม่มีมั่ว แต่ถ้าอันไหนไม่รู้ ก็จะบอกว่าไม่รู้ เราเป็นคนพูดตามเนื้อผ้า และพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้เท่านั้น

แล้วจริงๆ คุณวางบทบาทการทำงานของตัวเองไว้ประมาณไหน เช่น เป็นกูรู เป็นคอลัมนิสต์ เป็นผู้ประกาศข่าว หรือเป็นอะไร

        ถ้าจะให้นับว่าเป็นกูรูไหม มันแล้วแต่คนจะมองมากกว่า ส่วนตัวเรา เราตั้งบทบาทว่าเป็นคนที่ไมได้รู้เยอะมากแบบกูรู แต่เราจะตั้งบทบาทตัวเองในลักษณะที่พูดอะไรแล้วคนรู้สึกว้าวมากกว่า หรือกับอีกบทบาทหนึ่ง คือการเป็นคนตั้งคำถาม เพราะอย่างบางเรื่อง เราเชื่อว่าคนดูสงสัย แล้วทำไมเราไม่ถามแทนคนดูล่ะ เช่น เซ็นเตอร์แบ็กในสนามยืนคู่กัน 2 คน แต่ทำไมยืนสลับข้างกันไม่ได้ ในมุมกลับกัน ทำไมปีก 2 ข้างด้านบน ปีกซ้ายกับปีกขวา กลับสลับข้างกันเล่นได้ในเกม ข้อสงสัยอะไรทำนองนี้ เราเชื่อว่าขนาดเรายังไม่รู้ คนดูก็อาจจะไม่รู้เหมือนกัน นี่เคยสอบถามพวกพี่ๆ ในวงการฟุตบอลเหมือนกันนะว่าจะไปอบรมโค้ชได้ที่ไหน คือไม่ต้องขนาดมีไลเซนส์ มีดีกรีอะไรรองรับหรอก อยากเรียนเพื่อให้รู้เพิ่มขึ้นมากกว่า

คุณเคยคิดจะเตะฟุตบอลไหม

        (หัวเราะ) เคย แต่ไม่มีคนเตะด้วย เคยคิดว่าถ้าจะเตะ เราจะเล่นตำแหน่งแบ็กขวา เพราะเราอยากเป็น แกรี่ เนวิลล์ อดีตแบ็กขวาในตำนานของแมนยู (ยิ้ม) 

ในฐานะเป็นแฟนทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมายาวนาน คุณรู้สึกยังไงกับผลงานของทีม ที่ลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด 8-9 ปีมานี้

        ทำใจ (ยิ้ม) มีช่วงก่อนหน้านี้ที่ไม่อยากดู เพราะดูแล้วหงุดหงิด เล่นอะไรก็ไม่รู้ แต่บางทีเราต้องดูเพื่อใช้ในการทำงาน ซึ่งไม่ดูก็ไม่ได้ หรือไม่ดูก็ด่าไม่ถูก (หัวเราะ) แฟนแมนยูเป็นอย่างนี้ทุกคน แต่สุดท้ายเรื่องเหล่านี้มันก็เป็นวิถีหนึ่งของกีฬา จะให้ทีมยิ่งใหญ่ไปตลอดคงเป็นไปไม่ได้ เราคิดว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของฟุตบอลเหมือนกันนะ อย่างน้อยก็มีความหวังว่า สักวันหนึ่งทีมเราจะกลับมา (ยิ้ม)

คิดว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จะกลับมาได้แชมป์พรีเมียร์ลีกอีกเมื่อไร

        อีกสัก 5 ปีแล้วกัน ถ้าเป็นถ้วยแชมป์อื่น คิดว่าภายใน 3 ปีนี้ต้องได้ แต่ถ้าในพรีเมียร์ลีก ต้องยอมรับว่าคู่แข่งน่ากลัวมาก  ไม่เหมือนเมื่อก่อนสมัย เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คุมทีม ตอนนั้นทีมระดับเก่งๆ มีไม่เยอะเท่าตอนนี้ แต่เอาจริงๆ ตอนที่เซอร์อเล็กซ์ลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ตอนนั้นคิดว่าน่าจะประมาณ 5 ปี เดี๋ยวทีมคงกลับมา แต่ผ่านมา 8-9 ปี ถึงตอนนี้ก็ได้แต่… เฮ้อ..

คิดว่าปัญหาจริงๆ ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเวลานี้คืออะไร

        เจ้าของทีม (โจเอล และ อัฟราม เกลเซอร์) เขาไม่ได้อินกับฟุตบอล เขาไม่เหมือน โรมัน อับราโมวิช เจ้าของทีมเชลซี ที่อินกับฟุตบอลจริงๆ พร้อมจะซัพพอร์ตทีมเสมอ แต่เจ้าของทีมแมนยู เหมือนเข้ามาด้วยธุรกิจ ด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ ทุกวันนี้บางทีก็คิดนะว่าเลี้ยงไข้ทีมหรือเปล่าวะ (หัวเราะ) ได้เงินไปตั้งเยอะ สิ่งที่เขาจ่ายมันไม่เท่ากับสิ่งที่เขาได้หรอก การที่เขาซื้อนักเตะก็ดี ดึงกุนซือก็ดี มันเป็นจำนวนเงินน้อยมาก เมื่อเทียบกับมูลค่าของสโสรที่เขาได้ไป ถึงตอนนี้ จะปล่อยให้ทีมห่างหายจากความสำเร็จต่อไปอีกไม่ได้แล้วล่ะ ต้องมีการขยับปรับเปลี่ยนอะไรสักทีแล้ว

อย่าง ราล์ฟ รังนิค ผู้จัดการทีมคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามา คุณถือว่านี่เป็นการปรับเปลี่ยนที่มีอนาคตไหม

        เราว่าคนนี้ดูดีสุดนะ อย่าง โชเซ มูรินโญ ผู้จัดการคนเก่า เราไม่ค่อยชอบ หรือ หลุยส์ ฟาน กัล คนนี้เราก็เฉยๆ เดวิด มอยส์ คนแรกที่เข้ามารับช่วงต่อหลังจากเซอร์อเล็กซ์ลงจากตำแหน่งไป คนนี้ยิ่งเฉยๆ ใหญ่ ตอนโอเล กุนนาร์ โซลชา เข้ามาแรกๆ เราก็คิดว่าเสือน่าจะปลุกเสือได้ แต่ที่ไหนได้ เราอาจจะคาดหวังกับเขามากไปหน่อย แต่สำหรับรังนิค คนนี้เราว่าเก่งจริง ถ้าไม่เก่ง เขาไม่น่าจะได้รับการยอมรับจากบรรดาโค้ชรุ่นใหม่ๆ อย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ โธมัส ทูเคิล หรือ ยูเลียน นาเกลส์มันน์ หรอก แล้วด้วยความเฮี้ยบตามสไตล์กุนซือชาวเยอรมัน เราคิดว่าทิศทางต่อจากนี้น่าจะไปได้ดี

คุณรู้สึกอย่างไร ที่สามารถนำความชอบส่วนตัว มาทำให้กลายเป็นอาชีพ และสร้างความสำเร็จให้กับชีวิตได้

        เป็นความโชคดีมากๆ ที่เราสามารถเอาเรื่องที่รักมาเป็นงานได้ ถามว่าทุกวันนี้ตื่นเช้าๆ ง่วงไหม ง่วงนะ แต่เรายินดีที่จะทำ อย่างที่บอกไป มันอาจจะเป็นช่วงที่มีคนให้โอกาสได้ทำงานหลายๆ อย่าง เราถือว่าโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีให้บ่อยๆ อย่างน้อยลึกๆ มันทำให้เรารู้สึกว่า เราได้รับการยอมรับจากพี่ๆ ในวงการฟุตบอล บางทีเขาให้เราช่วยหาคนไปทำรายการ หายังไงก็ไม่ถูกใจสักที สุดท้ายก็จ้างงานเรา เพราะเขาชอบสไตล์การทำงาน แล้วเราเป็นคนไม่เกี่ยงงาน จะถูก จะแพง ขอให้เป็นงานประเทืองปัญญา บางทีงานฟรียังทำเลย (ยิ้ม) 

สำหรับเด็กผู้หญิงสักคน ที่อยากก้าวมาเป็นแบบ ‘พี่พีชชี่’ คุณอยากแนะนำอะไรกับเขา

        อย่างแรกคือต้องรัก ถ้าคุณไม่รัก คุณไม่มีทางตื่นขึ้นมาดูบอลตอนตีสองตีสามได้แน่นอน (หัวเราะ) คุณต้องสนุกกับมันก่อน ต่อมาคือ ต้องขยัน แม้ทุกวันนี้โอกาสจะเยอะกว่าเมื่อก่อน แต่การที่คุณจะสอดแทรกขึ้นมาได้ มันก็ไม่ได้ง่าย เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่ขยัน ไม่ใฝ่หาความรู้ ไม่กระตือรือร้น ไม่หนักเอาเบาสู้ มันก็มาไม่ถึง อีกข้อหนึ่งคือ ต้องมีต่อมเอ๊ะ คือฟังอะไรแล้วต้องเกิดความสงสัย พอสงสัยต้องหัดถาม ถามให้เกิดประโยชน์ หรือไปหาข้อมูล เพื่อให้เรามีองค์ความรู้กับเรื่องที่ทำมากขึ้น ทั้งสามเรื่องนี้คือสิ่งที่ควรต้องมี ถ้าอยากก้าวเข้ามาในวงการสื่อฟุตบอล

คำถามสุดท้าย ถ้าสมมติว่านี่เป็นบันได คุณคิดว่าชีวิตก้าวขึ้นมาระดับไหนแล้ว

        ขอเปลี่ยนเป็นภูเขาได้ไหมคะ (หัวเราะ) เราว่าตอนนี้เรากำลังปีนเขาที่ไม่มียอด คือปีนไปเรื่อยๆ แต่ปีนด้วยความสุข มันมีเหนื่อยบ้าง แต่โดยรวมคือเราสนุกที่ได้ปีน อย่างที่บอกไป เราตั้งใจว่า ‘ฉันจะต้องเป็นผู้ประกาศข่าวให้ได้’ จนวันที่ 24 เมษายน ปี 2557 ได้ขึ้นไปอ่านข่าวเป็นครั้งแรกจริงๆ วันนั้นเหมือนพิชิตยอดเขาไปหนึ่งลูก แต่ก็ยังมีอีกหลายลูก เช่น วันนี้เราได้ทำรายการกีฬา นี่ก็เหมือนพิชิตยอดเขาไปอีกลูก เราได้วิเคราะห์ฟุตบอล ก็เป็นภูเขาอีกลูกเช่นกัน รวมถึงการเป็นที่ยอมรับ ก็เป็นภูเขาเช่นเดียวกัน ทั้งหมดทั้งมวล ทุกวันนี้เรายังปีนไปเรื่อยๆ ด้วยความสนุก 

        สำหรับเรา ชีวิตไม่ต้องประสบความสำเร็จอะไรมากมายหรอก แค่สนุกกับงานที่ทำ มีความสุขที่ได้ตื่นไปทำงานทุกวัน ไปเจอคนรอบข้างที่มีมิตรภาพดีๆ แล้วก็มีโอกาสใหม่ๆ ให้ได้พิสูจน์ตัวเอง แค่นี้ก็พอแล้ว (ยิ้ม)


เรื่อง: สันทัด โพธิสา ภาพ: สันธิพงศ์ ศิลปไชย