‘เริ่มต้นใหม่กับคนเก่า’
หลายคนคงคุ้นกับวลีนี้ เพราะนี้คือชื่อเพลงจากวง Morning Soon แต่กลุ่มคนที่เรากำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับวงนี้เลย เพียงแต่ ณ ตอนที่กำลังนึกว่าจะตั้งชื่อบทความนี้ว่าอะไร วลีนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว แล้วก็คิดว่าเข้ากับการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของสหายทั้ง 4 คนนี้ดีก็เท่านั้นเอง
จากที่ต่างคนต่างแยกย้าย (แต่ไม่ได้หายจากกันไปไหน) ไปทำภารกิจของตัวเองหลังจากประกาศยุบวง 25hours ได้เกือบปี อดีตสมาชิกวง 4 คน ได้แก่ ‘ปู๋’ – ปิยวัฒน์ มีเครือ (กีตาร์), ‘โฟร์’ – ประทีป สิริอิสสระนันท์ (กีตาร์), ‘บัง’ – เอกศิริ กำบังภัย (เบส) และ ‘จ๊อบ’ – กฤตพงศ์ สกุลนามอเนก (กลอง) ก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งภายใต้วงที่มีชื่อว่า ‘HENS’
การกลับมาในครั้งนี้ได้ ปู๋รับหน้าที่เป็นนักร้องนำ และโฟร์เป็นนักร้องตาม (เขากล่าว) เพื่อสื่อสารถ้อยคำในบทเพลงออกมาให้แฟนๆ ได้ฟังกันให้หายคิดถึง ซึ่งตลอดทั้งเดือนพฤษภาคม HENS ได้ปล่อยออกมาแล้ว 4 ซิงเกิล ได้แก่ แพนด้า, กลั้นไว้, ข้างเดียว และที่เพิ่งปล่อยออกมาเป็นซิงเกิลสุดท้ายคือ It’s Got to be You
หากใครได้ฟังแล้วก็คงรู้สึกตื่นเต้นกับรสชาติใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทั้งเพลง แพนด้า ที่ดูสดใสราวกับเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งเคยอินเลิฟ หรือเพลง กลั้นไว้ ที่ออกแนวอีโรติกขั้นสุด
นั่นเป็นเพราะการกลับมาในครั้งนี้ พวกเขาตั้งใจมาเพื่อปล่อยของ ปลดปล่อยตัวตนที่ไม่เคยได้ลองกันอย่างเต็มที่เพื่อสนองแพสชันของตัวเอง และสร้างความสุขให้กับแฟนเพลงที่รอคอยพวกเขามาตลอด
ชื่อวง HENS ฟังดูสะดุดหูมากเลย พวกคุณได้แรงบันดาลใจมาจากไหน
โฟร์: เพราะพวกเราแต่ละคนทำเบื้องหลังมาเยอะ พูดได้ว่าพวกเราสร้างงานมาเยอะมากทั้งของตัวเอง และของคนอื่น เราจึงรู้สึกว่าตัวเองเหมือน ‘แม่ไก่’ ที่มีการออกไข่อยู่ตลอดเวลา ก็เป็นสัญลักษณ์แห่งการสร้างได้เหมือนกัน
เรารู้สึกว่าความหมายดีและง่ายมาก แล้วคำว่า HENS ไม่น่าจะมีใครไม่เข้าใจหรือไม่รู้จักว่าคำนี้แปลว่า ‘แม่ไก่’ เรารู้สึกว่าคำนี้บ่งบอกความเป็นตัวของพวกเราจริงๆ เพราะเราเป็นคนที่ชอบสร้างสรรค์ผลงาน อีกอย่างคือฟังดูง่ายผมถึงชอบ อย่างถ้าเราดูตัวอย่างวง Queen ที่ทำไมนักร้องเป็นผู้ชายแต่ชื่อเป็นผู้หญิง ผมจึงคิดว่าจุดนี้น่าสนใจ คือไม่จำเป็นต้องมีเรื่องราวของเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวว่าเป็นไก่ตัวผู้หรือเปล่า พอเป็นไก่ตัวเมียมันก็จะมีความขัดแย้งบางอย่างกับตัวเรา จึงรู้สึกว่าชื่อนี้น่าสนใจดี
ความคิดไหนที่ทำให้พวกคุณตั้งมั่นว่าเราจะกลับมาทำวงกันอีกครั้ง
โฟร์: เพราะพวกเราไม่ได้แยกย้ายจากกันไปไหน เรายังมีแพสชันที่ยังอยากกลับมาทำวงกันอยู่ แล้วทีมงานของเราทุกคนยังอยู่กันครบ เพราะฉะนั้น เราต้องเลี้ยงเขาด้วย การทำวงใหม่ครั้งนี้จึงเหมือนแค่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนตำแหน่งกันเท่านั้น
ปู๋: ด้วยความที่เราไม่ได้หายกันไปไหน เลยเป็นการวางแผนกันไว้แล้วมากกว่าว่าเราจะต้องทำวงกันนะ ก็มีคุยกันว่าจะใช้ชื่อวงเก่าแล้วหานักร้องใหม่ หรือเลือกแบบไหนดี เพราะไม่ว่าอย่างไรเราก็เดินหน้ากันอยู่แล้ว
สำหรับซิงเกิลแรกที่ได้ปล่อยออกมาเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ต้องการสื่อสารอะไรผ่านคำว่า ‘แพนด้า’ รึเปล่า
ปู๋: เพลง แพนด้า พูดถึงเรื่องของความคิดถึงซึ่งเป็นความคิดถึงที่ผมไม่ได้อยากจะเล่าในมุมแบบธรรมดาก็เลยพูด ประมาณว่า “ถ้าเธอมองขึ้นไปบนฟ้าเทวดาก็คงไม่ได้คิดถึงเธอ ถ้าเธอมองเข้าไปในป่าแพนด้าก็คงไม่ได้คิดถึงเธอ แต่ถ้าเธอลองมองมาที่ฉันฉันนี่แหละคือคนที่คิดถึงเธอ” ก็จะทำให้เพลงดูมีลูกเล่น ส่วนสำหรับชื่อเพลง จริงๆ ในตอนแรกยังไม่มีชื่อเพลง แต่พี่บังเขาก็คิดว่าคำว่าแพนด้าฟังดูน่าจดจำดี ฟังดูเด้งออกมา แล้วผมว่าทุกคนก็เห็นด้วย เราจึงใช้ชื่อว่า แพนด้า
ซึ่งก็ยังคงแนวทางดนตรีที่มีความเป็นอัลเทอร์เนทีฟอยู่ แล้วในพาร์ตของ HENS มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างออกไปจากวงเดิมไหม
โฟร์: จริงๆ เพลงของเราก็คือเพลงป๊อป ส่วนคำว่าอัลเทอร์เนทีฟก็เหมือนทางเลือกหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้ต้องการให้คนฟังรู้สึกว่าต้องปีนบันไดฟัง ดังนั้น เนื้อเพลงแรกที่ปล่อยออกมามีความต่างกับแนวทางของวงเดิมอยู่แล้ว และเพลงต่อไปที่มีท่อนแร็ปซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน วงของเราก็ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการที่จะเอาสิ่งเดิมมาพัฒนาอยู่แล้ว
ท่อนแร็ปกลายเป็นกิมมิกที่จำเป็นต้องมีของการทำเพลงในยุคนี้เลยรึเปล่า
โฟร์: ผมว่าดนตรีเป็นเรื่องของสังคมและยุคสมัยนั้นๆ อย่างการแร็ปของวงเราก็มีฟังก์ชันและความหมายต่างๆ ซ่อนอยู่ด้วย เพราะการแร็ปเล่าเรื่องได้ดีกว่า ภายใน 8 บาร์ หรือ 12 บาร์ การแร็ปสามารถเล่าอะไรก็ได้ และผมรู้สึกว่าเป็นเทคนิคที่ทำให้ท่อนฮุกของเพลงนั้นสว่างขึ้น
เช่น ถ้าเราอยากจะขยายท่อนฮุกให้กว้างขึ้นเราก็ใส่แร็ปเข้าไป หรือการแร็ปทำให้เครียดนิดหนึ่งแล้วพอถึงท่อนฮุกก็จะฟังดูสบายขึ้นมา จริงๆ ในเมืองไทยอาจจะไม่ค่อยชัดแต่ถ้าเราลองเทียบกับเพลงฝรั่งอย่างเพลงจากหนังเรื่อง Fast and the Furious คือ See You Again เป็นเพลงที่มีท่อนฮุกเพราะและสวยงามมาก แต่ก่อนหน้านั้นก็จะมีท่อนแร็ปที่ดาร์กมากๆ คืออะไรก็ตามที่เกิดความขัดแย้งกันจะทำให้อีกสิ่งหนึ่งเด่นชัดขึ้นมาขึ้นมาทันที
ในเมื่อตอนนี้ทุกคนเป็นสมาชิกวง HENS กันแล้ว วันนี้เส้นทางของวงวางไว้แบบไหน
บัง: ผมว่าคนเราเติบโตขึ้นทุกวัน ภาพความสำเร็จจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็แตกต่างกัน เมื่อก่อนเราอาจจะคาดหวังถึงความสำเร็จ แต่ว่าตอนนี้เราใช้แพสชัน และความรักในการทำดนตรีเป็นพลังงานในการขับเคลื่อน เพราะเราคาดหวังแค่ให้คนที่ฟังวงของเรามีความสุข นั่นคือ สิ่งแรกที่ผมคาดหวัง
จ๊อบ: พอได้ออกมาทำตรงนี้ เราได้ทดลองทำในสิ่งที่เราอยากจะทำจริงๆ ทั้งในเรื่องของการทำงาน และในเรื่องของแนวเพลงจากมุมมองของพวกเราเอง แม้จุดหมายข้างหน้าเรายังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีที่เราได้ทดลอง และได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ณ วันนี้เรามองเรื่องนี้มากกว่า ส่วนในเรื่องของอนาคตคงเป็นเรื่องที่ว่าคนฟังจะรักจะยอมรับหรือเปล่า ซึ่งผมเองมองว่านี้เป็นจุดที่จะทำให้คนอยากฟังวง HENS ของเรามากขึ้น
โฟร์: ในหนังเรื่อง Forrest Gump มีประโยคที่ว่า “Life was like a box of chocolates” ซึ่งผมว่าในชีวิตจริงก็เป็นแบบนั้นนะ บางทีเราไม่รู้หรอกว่าเราทำสิ่งนี้แล้วเราจะเจออะไร เราก็แค่เปิดออกมาเมื่อเจอแล้วเราก็ทำแบบนั้นแหละ แต่แค่เราต้องทำให้ดีแค่นั้นเอง
แสดงว่าตอนนี้แนวทางการทำเพลงของวง HENS ก็ยังไม่มีแนวทางใดแนวทางหนึ่งโดยเฉพาะใช่ไหม
โฟร์: ตอนนี้สิ่งที่เรากำลังทำอยู่เรียกว่า ‘งานทดลอง’ ก็ได้ เป็นการทดลองสำหรับเราและทดลองสำหรับคนฟัง คือตอนนี้ผมมองว่าเป็นอะไรก็ได้ที่สนุกและเป็นเราในวันนี้ ตอนที่เรายังเป็น 25hours ตอนนั้นค่อนข้างที่จะรักษาทรงว่าจะไม่เกินนี้ แต่พอตอนนี้กลายมาเป็นวง HENS แล้ว ก็มีหลายอย่างที่เราอยากทำ และเราพยายามที่จะใส่ สิ่งที่เราใส่จะมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ตรงนี้เราไม่สนใจเท่าไหร่ เรารู้สึกว่าสนุกมากกว่า แล้วเราเองก็อยากจะรู้ว่าจะสนุกไปได้ถึงขนาดไหน
ผมว่าสิ่งนี้ก็เหมือนมนุษย์ เพราะธรรมชาติของมนุษย์ก็คือความอยากรู้ ความสงสัย และความอยากพิสูจน์ บางทีสิ่งที่เราคิดอยู่ในใจมาตลอดว่าทำไมเราไม่ทำแบบนี้ หรือถ้าเราทำแบบนี้ก็น่าจะเป็นอย่างนี้ไหม ดังนั้น ถ้าวันนี้เรามีโอกาสเราก็จะมาลองใช้พื้นที่นี้ทดลองทำดู ผมว่าน่าสนุกดี มันเป็น Life achievement อะไรบางอย่างของชีวิต
บัง: ดนตรีเราพัฒนาขึ้น และใหม่ขึ้น แต่ก็เรียกว่า ‘เด็กลง’ นะ อย่างเช่นเพลง แพนด้า ก็จะให้อารมณ์ที่สดใส
ถ้าอย่านั้นช่วยเล่าความเป็นมาของอีก 3 เพลงที่ปล่อยตามออกมาให้ฟังหน่อยว่าแตกต่างกันอย่างไร
โฟร์: เพลง ‘กลั้นไว้’ เป็นเพลงแรกที่วงทำ เพลงนี้เป็นเพลงที่เราทำเพื่ออยากลองเพลงที่ออกแนวอีโรติก จะมีความเซ็กซี่ พอเริ่มมาแบบนี้ คอนเซปต์ทุกอย่างเราเลยพาไปทางนี้หมดเลย ทั้งดนตรีและเนื้อร้อง ถ้าดูเนื้อร้องจริงๆ จะเห็นว่าเพลงเซ็กซี่มาก เพราะกล่าวถึงห้วงเวลานั้นว่าอย่าเพิ่งเสร็จได้ไหม เพราะเวลาเราอยู่ในช่วงเวลาแห่งความสุขก็ไม่อยากให้ช่วงเวลานั้นจบลง เพลงนี้จึงสื่อสารความรู้สึกที่กำลังบอกว่ากลั้นไว้ก่อนได้ไหม
ผมอยากให้เป็นการนำเสนอในมุมใหม่ๆ นอกจากเนื้อเพลงเราก็อยากให้ฟังในเรื่องของดนตรีด้วย เพราะว่าผมใส่รายละเอียดในทุกองค์ประกอบ เราจงใจให้ฟังแล้วเห็นภาพเลย จะมีจังหวะหนักๆ ที่ทำให้เรานึกถึงขอบเตียงที่กำลังถูกกระแทก หรืออย่างท่อนที่ร้องว่า “เหมือนดังดอกไม้ที่ใช้เกสรของมัน” เราก็ใส่เสียงฮาร์ปเข้าไปเพื่อให้รู้สึกมีความเป็นดอกไม้ที่กำลังผสมพันธุ์อยู่ เราพยายามทำให้เกิดภาพที่ชัดเจนมากที่สุด เพลงนี้จึงมีความคิดแบบ conceptual art
ปู๋: ส่วนเพลง ‘ข้างเดียว’ เราทำกันมานานแล้ว เนื้อเรื่องมีเรื่องราวง่ายๆ เลย คือเราชอบใครคนหนึ่งอยู่ข้างเดียว เป็นความรู้สึกที่ทุกคนอาจจะเคยมี แค่นี้เลย
โฟร์: แกนคือรักเขาข้างเดียวในแบบที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แบบตบมือข้างเดียว นั่นคือความโรแมนติกในความไม่สมหวัง ไม่สมหวังแต่ยังมีคำว่าเป็นของเธอแค่ข้างเดียว ส่วนดนตรีของเพลงนี้จะมีกลิ่นของความเป็นโซล-โมทาวน์ เครื่องดนตรีประเภทนี้จะให้อารมณ์โรแมนติกอยู่แล้ว และมีเสียงเครื่องสายของยุค 60 จริงๆ เพลงนี้น่าจะบอกได้ว่าเป็นเพลงที่แมสสุดในทั้ง 4 เพลงนี้ เป็นเพลงช้าที่ฟังง่ายค่อนข้างเป็นคอนเซปต์ที่สากลมากๆ
จ๊อบ: เพลง It’s Gonna Be You จะพูดถึงความรักในจินตนาการเหมือนเวลาที่เรารักใครสักคน โดยที่เขาอาจจะรู้หรือไม่รู้ ดนตรีจะสร้างบรรยากาศให้มีความรู้สึกเหมือน มีความลึกลับเพราะเป็นบรรยากาศในความคิดของเรา เนื้อหาจึงมีบรรยากาศห่อหุ้ม โดยจะมีความคล้ายหนังที่เรื่องราวดำเนินไปโดยจะมีเสียงดนตรีที่ประกอบภาพเพื่อให้เราเข้าไปสู่บรรยากาศ เพลงนี้รู้สึกมีความสนุกมากตอนที่เราทำเพราะมีการดีไซน์ มีการวางแผนอะไรหลายอย่าง
โฟร์: จริงๆเพลงนี้ผมใช้ชื่อเล่นว่าเป็นเพลงโอตะ เพราะตัวละครเหมือนคนเป็นโอตะที่เป็นโอตะในระดับที่สูงมาก ในเพลงมีการพูดถึงการตกเป็นทาสตั้งแต่ยังไม่ได้เจอ มวลอารมณ์ของเพลงจะเป็นประมาณนี้ ตอนที่เราทำเพลงนี้เราบ้าพลังกันมากเราไม่ค่อยสนใจอะไร เราทำแบบใส่เต็มที่มีแรพด้วย คิดว่าใน 4 เพลง เพลงนี้น่าจะบ้าที่สุดแล้ว
ถ้าให้นิยามเพลงทั้ง 4 เป็นอารมณ์ของมนุษย์ คุณคิดว่ามวลของความรู้สึกนั้นจะเป็นประมาณไหน
โฟร์: ถ้าเป็นเพลงแรก (แพนด้า) จะเป็นอารมณ์งอแงกับคนรัก ส่วนเพลงที่สอง (กลั้นไว้) คืออารมณ์ของความใคร่ และความโลภ เพราะว่ายังไม่พอ เพลงข้างเดียวก็คงเป็นอารมณ์น้อยใจ
ปู๋: น้อยใจมากๆ (หัวเราะ)
โฟร์: ส่วนเพลงสุดท้าย It’s Got to be You ผมคิดว่าเป็น อารมณ์โรคจิตได้มั้ง เหมือนเป็นจิตใต้สำนึกเพราะบางทีเวลาเราเห็นคนคนหนึ่งในใจเราก็อาจจะคิดอะไรไปไกล แล้วคือผมเชื่อว่าเป็นเรื่องปกติเพราะนี่คือจิตใต้สำนึกของเรา คือเราอยากจะทำอะไรเต็มไปหมดเลย แต่คิดอยู่ได้แค่ข้างในใจ อยากให้นึกถึงหนังที่เวลาภาพตัดไปแล้วเรายังติดอยู่กับสิ่งที่อยากทำ
สำหรับ ‘ปู๋’ กับ ‘โฟร์’ การขึ้นมาควบตำแหน่งนักร้องเต็มตัวด้วยมีความกดดันไหม
ปู๋: ตอนแรกเราก็มีการหานักร้องกัน ผมอาจจะแค่ร้องไกด์ไปก่อนแล้วเดี๋ยวก็คงหาใครมาได้ ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นผมเลย แต่ถ้าเรายังใช้ชื่อวงเดิมคงจะกดดัน แต่ตอนนี้เราตายและเกิดใหม่แล้ว ผมคือนักร้องนำวง HENS
โฟร์: ส่วนผมคือนักร้องตามวง HENS ผมฟังแล้วยังตลกตัวเองเลย คือทั้ง 4 เพลงนี้จะเป็นเสียงปู๋มาทั้งเพลง แล้วผมจะมาท่อนสุดท้ายตลอดเลย แต่เราแค่ทำให้ดีที่สุดในสิ่งที่เราต้องการจะส่งสารก็พอแล้ว คือก็ท้าทายนะ แล้วผมคิดว่าแฟนเก่าๆ ก็คงจะรู้สึกตื่นเต้น เขาตามเรามา 10 ปี เราไม่เคยร้องเลย แต่วันนี้เขามาเห็นเราได้ร้อง
ปู๋: เป็นการช่วยกัน เพราะบางทีเสียงผมค่อนข้างเรียบฟังนานๆ อาจจะน่าเบื่อ แต่พอมีเสียงโฟร์มาจะทำให้รู้สึกไม่น่าเบื่อ ดูเป็นคนมีชีวิตชีวา
โฟร์: ผมคิดมาอยู่เหมือนกันว่าการเป็นนักร้องนำอาจจะไม่เหมาะกับเรา พวกเราเหมือนผู้นำสารมากกว่า เพราะสำหรับเราดนตรีก็คือการสื่อสารที่เราแค่อยากจะสื่อออกไปทั้งเนื้อร้อง และทำนองดนตรี เรารู้สึกว่าคนที่จะนำสารได้ดีที่สุดคือพวกเรา เพราะพวกเราแต่งขึ้นมาทำขึ้นมา สามารถนำไปสู่ผู้ฟังได้โดยที่ไม่ต้องมานั่งอธิบายเยอะแยะอาจจะผิดใจข้อความ
ด้านมือกลองอย่าง ‘จ๊อบ’ กับมือกลองอย่าง ‘บัง’ มีแนวทางในด้านดนตรีที่แปลกใหม่ไหม
จ๊อบ: การที่พี่โฟร์กับพี่ปู๋มาเป็นนักร้องก็ถือว่าแปลกไหมสำหรับผมแล้วนะ (หัวเราะ) ผมว่าในช่วงเวลาเริ่มต้นตอนนี้ก็ต้องค่อยๆ หา ค่อยๆ ลองหาดูกันไปนะ แต่รับรองว่ามีอะไรแปลกใหม่ให้เห็นกันแน่นอน
บัง: พวกผมดีไซน์หลายๆ อย่างใหม่หมดเลยนะ คือพื้นฐานหน้าที่ของเบสกับกลองของก็คือจังหวะอยู่แล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าพี่บังอาจจะมาร้องสักเพลงหรือเปล่า (ยิ้ม)
ตลอดระยะเวลาของการนักดนตรี ความยากของการทำงานตรงนี้คืออะไรบ้าง
โฟร์: ผมว่าเพลงจะง่ายก็ง่ายมาก เหมือนกับที่เวลาเราไปปลดทุกข์ วันไหนมาก็มาไหลเลยโดยไม่ต้องพยายาม บางวันขี้แตกด้วย (หัวเราะ) แต่บางวันเรารู้สึกว่าอยากจะปล่อยแต่ไม่ออก เพราะสำหรับผมดนตรีมีปัจจัยเยอะ ดนตรีไม่ใช่งานเอกสารที่จะสามารถมีเงื่อนไขติ๊กถูกแล้วจบงานได้เลย
แต่ดนตรีเป็นเรื่องของมนุษย์ โดยเฉพาะกับคนทำเพลงอย่างเรา ถ้าวันนี้ถูกบางอย่างกระทบกระเทือนจิตใจ เราก็ไม่สามารถทำเพลงได้แล้วในวันนั้น นี่คือความแย่ของนักดนตรีที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์เยอะ นั่นแหละคือความยากสำหรับผม เพราะเราคือมนุษย์
ปู๋: สำหรับผมเป็นความชิน เพราะเราทำเป็นอาชีพเราเลยรู้สึกว่าเราชินกับการที่ต้องทำเพลงอยู่ตลอด จะยากตรงที่ต้องทำเพลงให้คนอื่น เพราะจะต้องอยู่ในกรอบและมีโจทย์ที่เราจะต้องทำ ส่วนการทำเพลงให้ตัวเองก็จะเป็นอิสระ จะทำแบบไหนอย่างไรก็ได้
บัง: ของผมจะคล้ายปู๋คือเราเป็นนักดนตรี เราต้องทำเพลง เราต้องทำงานออกไปให้คนได้ยิน แล้วให้คนตัดสินว่าชอบหรือไม่ชอบ ผมว่าอะไรที่เป็นนักดนตรี นักบิน นักกีฬา สุดท้ายเราก็ต้องทำในสิ่งที่เราถนัด เราจึงต้องทำ และพัฒนาไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องของความท้าทาย นักกีฬาก็อยากจะวิ่งให้เร็วขึ้น ส่วนนักดนตรีอย่างเราก็อยากจะทำเพลงให้ดีขึ้น
จ๊อบ: ผมว่าเป็นเรื่องของความรู้สึกด้วยส่วนหนึ่ง และเป็นเรื่องที่ว่าเรามีข้อมูลที่เราชอบอยู่ด้วยหรือเปล่า อย่างเช่นบางทีที่เราทำเพลง เรื่องของแรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พอเรามีแรงบันดาลใจจะทำให้เรารู้สึกว่าอยากทำแล้วเราจะมีข้อมูลที่จะทำเพลงนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย จะมีเรื่องขององค์ประกอบหลายอย่างที่ต้องมารวมกัน เพื่อเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราอยากทำงานชิ้นนี้
ในเมื่อการทำเพลงก็ประกอบด้วยหลายปัจจัย แล้วเคยมีช่วงเวลาที่รู้สึกว่าท้อบ้างไหม
จ๊อบ: ในการทำงานกับวง สำหรับผมไม่ค่อยรู้สึกท้อแท้ เพราะบางช่วงที่เรารู้สึกว่า เราดาวน์ลงมาก็จะมีพี่ๆ ที่เข้ามามีไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมาก็เลยเหมือนกับการบาลานซ์ และอีกอย่างคือเราสนุกที่จะทำงานร่วมกัน สนุกกับการได้มาเจอกันทุกครั้ง เราเลยค่อนข้างโอเค
โฟร์: ผมไม่เคยท้อเลยกับการทำดนตรี เพราะไม่ใช่อารมณ์ประเภทความท้อ ความจริงตอนนี้มันก็เหมือนกับตอนที่เราเด็กๆแล้วเรากำลังเล่นสนุก คือเรามีความสุข ผมยังรู้สึกเหมือนวันแรกที่ผมทำเพลงไม่เคยเปลี่ยน ยังสนุกตลอด แล้วตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าอยากกลับมาทำเพลงอยู่เลย เคยคิดว่าความท้อของการทำเพลงคืออะไรกันแน่ เพราะว่าเราไม่ได้มีอารมณ์ตรงนั้นเลย
แสดงว่าทุกคนมีขุมแห่งแรงบันดาลใจอยู่เรื่อยๆ พวกคุณไปหาพลังเหล่านี้มาจากไหน
บัง: เวลาทำดนตรีเราก็จะคิดเป็นภาพแล้วก็ใส่ความรู้สึกของเพลงนั้นลงไป เหมือนกับเพลงกลั้นไว้ที่แรงบันดาลใจของเรามาจากการอดทนในช่วงเวลาอีโรติกของเรา
โฟร์: ส่วนคำตอบของการสร้างแรงบันดาลใจแบบซ้ำซาก ก็คือการออกไปดูโลก เพราะผมว่าชุดข้อมูลคนเรามีจำกัด ถ้าหมดเราก็แค่ต้องไปเติม แรงบันดาลใจอยู่รอบตัวเรา และผลงานที่ออกมาก็คือสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจที่เราไปเจอมา อย่างเช่น ตอนนี้เรามีลูก งานก็จะออกมาในมุมความสุขของการมีลูก ส่วนคนอกหักก็คงแต่งเพลงเศร้า ซึ่งผมว่าถ้าตัน อย่าอยู่คนเดียว จริงๆ การวิ่งออกกำลังกายก็สร้างแรงบันดาลใจได้นะ
บางทีจะเป็นช่วงก่อนนอนที่สภาวะหัวเราแล่นก็จะมีไอเดียที่พูดออกมาได้ แม้กระทั่งผู้คนก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับเราได้ดีมาก คือการได้คุย ได้แลกเปลี่ยนความคิด ด้วยประสบการณ์ และความคิดของเขา บางทีทำให้เรารู้สึกสนุก และทำให้เราเกิดไอเดียอะไรต่างๆ ขึ้นมาก็ออกมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับเราได้
แล้วในเรื่องของมุมมองความรัก วันนี้เปลี่ยนไปอย่างไรบ้างไหม
จ๊อบ: นี่เป็นสิ่งที่ผมพยายามทำให้ดีมาตลอด นิยามความรักของผมคือเรื่องของการดูแลและเอาใจใส่ พอถึงวัยนี้ไม่ได้เป็นความรู้สึกหวานที่บอกว่าฉันรักเธอมาก ดูรักแต่ว่าไม่ได้เคยกระทำให้เห็น ผมเลยรู้สึกว่าวันนี้ยิ่งเรามีครอบครัว เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากเลย และรวมไปถึงงานด้วย ทุกอย่างเลยที่เรารู้สึกว่าเรารักเราจะดูแลอย่างดี
ปู๋: ผมชอบภาพหนึ่งที่มีประโยคสั้นๆ ที่ว่า ‘การรักสิ่งหนึ่งเราจะไม่ไปทำลายสิ่งนั้น’ เช่นเดียวกับเวลาเห็นดอกไม้แล้วเราก็ไม่อยากเด็ดมาเป็นของตัวเอง แต่ว่าเราอยากจะรดน้ำให้มันสวยงามอยู่อย่างนั้น ผมว่าแนวคิดนี้เป็นความจริงที่สุดแล้ว อย่างน้อยตอนที่เราวัยรุ่นเวลาเราพูดคำว่ารักนั้นไม่ได้หมายถึงการดูแล แต่คือการที่เราอยากได้มาเป็นของเราเอง ในตอนนี้ตั้งแต่เรามีครอบครัว มีลูก เราก็เข้าใจกันมากขึ้น ความคิดของเราก็เปลี่ยนไปหมด
โฟร์: สำหรับผม คือการที่เราคิดถึงอีกคนก่อนเสมอ ถ้าเรารักเขาจริง เราจะคิดถึงเขาก่อนตัวเราเอง สมมติว่ามีลูกชิ้นสี่ลูก เราก็จะให้คนที่เรารักสามลูก ส่วนเรากินลูกเดียวพอ คือเรารู้สึกว่าเราอยากให้เขาได้มากกว่าเราเสมอนี่คงเป็นเรื่องของความห่วงใยมากๆ ด้วยการที่คิดถึงเขาก่อน
บัง: สำหรับผม รักมันคือการปฏิบัติกับใครสักคนแล้วทำให้เขาคนนั้นรู้สึกว่าเขามีค่า
ได้นำมุมมองที่ผ่านการตกตะกอนมาแล้วนี้ใช้ในการทำเพลงด้วยรึเปล่า
ปู๋: จริงๆ ในวงเดิมเราก็โตกันมามากแล้ว เราได้ปล่อยความคิดในช่วงนั้นไปเยอะแล้วเหมือนกัน อย่างเช่นเพลง ไม่เคย ที่คนฟังแล้วเอาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ หรือเพลง คนข้างๆ ที่ไม่ใช่ความรักหนุ่มสาวกุ๊กกิ๊ก เรารู้สึกว่าเราได้พูดเรื่องนั้นไปแล้ว
โฟร์: ผมว่าเป็นเรื่องของความเข้าใจอะไรบางอย่างในวันนี้เลยนะ สมมติว่าตอนที่เราเด็ก เราก็จะชอบคิดว่าตัวเองโตแล้ว แล้วก็ชอบพูดในเรื่องที่ดูเหมือนโตแล้ว เช่น พูดเรื่องชีวิต พูดเรื่องความรักทั้งที่จริงแล้วบางคนอาจจะยังไม่ได้โตเลย จนเมื่อเวลาผ่านไปเราก็กลับไปพูดเรื่องเดิมนี่แหละ แต่ให้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่เราเข้าใจ
เราจะไม่ได้พูดเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากแล้ว แต่เรากำลังพูดเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย อย่างการแต่งเพลงที่บางคนมองว่าทำไมแต่งเพลงให้มันดูง่ายๆ ดูซ้ำซาก จำเจ แต่ผมว่านี่คือการที่เราเข้าใจถึงแก่นของเรื่องนั้นจริงๆ แล้วมากกว่า คือไม่ต้องยากก็ได้ ก็แค่พูดแบบนี้ง่ายๆ ตอนนี้เพลงของพวกเราก็จะเป็นแนวนี้หมดเลย คือเราไม่ได้พยายามที่จะทำให้เพลงสื่อสารได้ยากกับคนฟัง เพราะเราอยากให้ทุกคนฟังเพลงของ HENS ได้อย่างมีความสุข
ภาพ: What The Duck