ลงทุนแมน

ลงทุนแมน | การลงทุนที่มีแต่ได้กับได้ คือการลงทุนในความรู้และความสามารถของตนเอง

920,000 กว่าคน คือจำนวนเลขผู้ติดตามในขณะนี้ของ ‘ลงทุนแมน’ เพจอายุ 2 ปีกว่าๆ ที่เล่าปรากฏการณ์ต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และธุรกิจ ได้อย่างคมคายและเข้าใจง่าย จนคนที่ไม่มีพื้นฐานความรู้ด้านตัวเลขอย่างเราเสพติดอย่างงอมแงม

     แต่ในจำนวนเก้าแสนกว่าๆ นั้น คงมีแค่คนจำนวนหลักสิบเท่านั้นที่รู้ว่าจริงๆ แล้วผู้อยู่เบื้องหลังลงทุนแมนคือใคร เพราะตั้งแต่เริ่มต้น เจ้าของเพจลงทุนแมนผู้ลึกลับได้ซ่อนตัวตนอยู่เบื้องหลังหน้ากาก Daft Punk สีน้ำเงินสด ปกปิดชื่อเสียง หลีกเลี่ยงการออกสื่อ และตั้งใจกับสิ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุดอย่างการผลิตคอนเทนต์ที่ดี

     “คนดูเราที่ผลงานจริงๆ แม้จะไม่ได้เห็นหน้าเรา มันทำให้เขาไม่มีอคติหรือตีความไปก่อนว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เขาดูในสิ่งที่เราเขียนจริงๆ วัดกันในผลงานล้วนๆ เลย” เจ้าของเพจสุดลึกลับบอกกับเราด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างดีว่าความสำเร็จของลงทุนแมนนั้นเกิดขึ้นเพราะการสร้างสรรค์เนื้อหาอย่างแท้จริง

     ในบทความนี้ จึงขอพาคุณไปพบกับบทเรียนและประสบการณ์การทำเพจที่ก้าวกระโดดจนมีผลิตภัณฑ์แตกไลน์ออกมาเป็นหนังสือ อินสตาแกรม และแอพพลิเคชัน ‘บล็อกดิต’ ในเวลาเพียงไม่กี่ปี และสุดท้ายแล้ว ในมุมมองผู้เจนจัดด้านการลงทุนอย่างลงทุนแมน อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่เราควรลงทุน

 

ลงทุนแมน

 

ย่อยเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย

     “เราสนใจเรื่องการลงทุนอยู่แล้ว และเคยอยู่ในแวดวงธุรกิจการลงทุนมาก่อน จนวันหนึ่งเริ่มเขียนเรื่องการลงทุนและธุรกิจลงในเฟซบุ๊กของตัวเอง ปรากฏว่ามีคนแชร์ต่อเป็นจำนวนมากและมาขอเพิ่มเป็นเพื่อน ซึ่งตอนนั้นก็เกรงใจเหมือนกันว่าจะตอบรับดีไหม สุดท้ายจึงสร้างเป็นเพจขึ้นมาซะเลย แล้วมันก็ค่อยๆ เติบโตเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมาย

     “เราไม่ได้ตั้งโจทย์ไว้ว่าต้องพัฒนาเยอะๆ อย่างรวดเร็วอะไรขนาดนั้น แค่ทำแบบค่อยไปค่อยเป็นไป ชอบอะไรก็ทำแบบนั้น ถ้าสังเกตจะเห็นบทความที่เขียนยาวๆ อยู่เยอะเหมือนกัน ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยมีใครที่เขียนยาวขนาดนี้ในหน้าเฟซบุ๊ก แล้วก็มีการทำรูป กราฟิก ซึ่งได้ความนิยมมาก มันจึงไปประสบความสำเร็จทางอินสตาแกรมด้วย

     “เนื้อหาเรายาวก็จริง แต่มันไม่ได้อ่านยาก สิ่งที่เราพยายามทำมาตลอดคือการทำให้คนที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องธุรกิจและเศรษฐกิจอ่านแล้วเข้าใจง่าย เพราะฉะนั้น การจะทำสิ่งนี้ได้ อย่างแรกคือต้องเข้าใจในเรื่องนั้นอย่างถ่องแท้ เราไม่ได้แค่เอาข้อมูลมาแปลแบบแปลข่าว แต่ทุกเรื่องที่เขียนไปเราต้องเข้าใจอย่างชัดเจน พอเข้าใจมันก็เหมือนเราเล่าให้เพื่อนฟัง คำศัพท์อะไรต่างๆ ก็จะไม่เป็นภาษาทางการ เราจริงใจในสิ่งที่จะนำเสนอ คนก็เลยรู้สึกว่าเป็นกันเอง อ่านง่าย”

 

การปิดบังตัวตนในโลกที่ทุกคนอยากเปิดเผยว่าตัวเองเป็นใคร

     “เราทำงานแบบปกปิดตัวตนมาตลอด 2 ปีกว่าๆ ไม่มีใครรู้ว่าลงทุนแมนเป็นใคร หน้าตาเป็นอย่างไร มีคนเดียวหรือมีหลายคน แล้วเราก็ไม่เคยคิดจะเปิดเผยตัวตนเพื่อชื่อเสียงของตัวเอง แต่จริงๆ แล้วการปกปิดตัวตนของเราก็ไม่ใช่เรื่องที่จริงจังขนาดนั้นมาตั้งแต่แรก มันเป็นการปล่อยเลยตามเลยมากกว่า (หัวเราะ) เพราะตอนแรกเราทำเป็นหน้ากากลงทุนแมนให้ดูเป็นกิมมิกของแบรนด์ แต่ปรากฏว่าคนชอบกัน ก็เลยอยากรักษาคอนเซ็ปต์เอาไว้

     “ถามว่าการปกปิดตัวตนมีผลดีต่อการทำงานไหม ผมคิดว่าก็ไม่มากเท่าไหร่ มันอาจจะเสียโอกาสด้วยซ้ำในการที่เราไม่ได้ไปออกสื่ออะไรต่างๆ เพราะเราไปโชว์หน้าให้ใครเห็นไม่ได้ แต่เราได้โอกาสตรงที่คนมาดูเราที่ผลงานจริงๆ แม้จะไม่ได้เห็นหน้าเรา มันทำให้เขาไม่มีอคติหรือตีความไปก่อนแล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เขาดูในสิ่งที่เราเขียนจริงๆ วัดกันในผลงานล้วนๆ เลย ไม่ต้องมาดูว่าเราหล่อหรือเราสวยยังไง ผมถือว่ามันเป็นความแตกต่างมากกว่า ไม่ได้มองว่ามันเป็นข้อดีหรือข้อเสีย

     “ในอนาคตเองก็ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะเปิดเผย เปิดไปก็ไม่ได้อะไรนะ (หัวเราะ) เราไม่ใช่ดารา เมื่อมาสายนี้แล้วเราก็ต้องสู้กันที่ข้อมูล มันวัดกันที่เนื้อหา หน้าตาคนเล่าไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่ถ้าคุณเป็นพรีเซนเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ต้องใช้หน้านั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง”

 

ลงทุนแมน

 

หลักการทำงานที่ถ่ายทอดมาจากการเข้าใจความสามารถของตนเอง

     “กับเรื่องอื่นในชีวิตเราก็ไม่เปิดเผยตัวตนมากขนาดนั้นเหมือนกัน จะไม่ใช่คนที่โพสต์อะไรเยอะแยะเกี่ยวกับตัวตนของตัวเองในโซเชียลมีเดีย หรือเวลาเราไปงานข้างนอก งานสังคม แล้วเขาต้องการคนขึ้นเวที เราจะไม่คิดขึ้นไปเลย บางทีก็อาจพูดได้ว่าไม่ชอบงานลักษณะนั้นด้วยซ้ำ ไม่ชอบอยู่ท่ามกลางผู้คน แม้ว่าหลังจากทำเพจ ลงทุนแมน จะมีคนเชิญไปสัมมนาเยอะ แต่เรารู้เลยว่าเราเป็นคนพูดไม่เก่ง ขอกลับมาใช้ทักษะการเขียนที่เราถนัดดีกว่า

     “เพจลงทุนแมนไม่ได้เน้นการวิเคราะห์ที่แม่นยำ ไม่ได้เน้นคาดการณ์อนาคต ไม่ได้ฟันธง เราแค่เล่าเรื่อง แค่นั้น เพราะเราชอบเรื่องนี้ เล่าเรื่องนี้ได้ ถ้าให้ทำอย่างอื่น เช่น เรื่องเที่ยวที่เขาฮิตกัน เรารู้เลยว่าเราไม่ถนัด ก็ขอไม่พูดเรื่องนั้นดีกว่า”

 

ความสนใจเรื่องการลงทุน

     “การลงทุนเป็นเรื่องของทุกคน ถ้าทุกคนยังคิดว่าเงินเอาไปแลกเปลี่ยนสินค้าได้ การลงทุนก็คือทำยังไงให้มีเงินเยอะขึ้น มันจึงเป็นเรื่องที่น่าจะอยู่ในความสนใจของทุกคน จริงๆ แล้วไม่ว่าเราจะทำอะไร อย่างซื้อน้ำหนึ่งขวด มันก็มีเรื่องต้นทุนของมันอยู่ เช่น ราคาขาย กำไร เราคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เราสนใจ และคิดว่าคนอื่นก็น่าจะได้รู้เหมือนกัน ยิ่งถ้าเรารู้เรื่องธุรกิจมาก เราจะรับรู้ได้ถึงรายละเอียดเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในสินค้าที่เราซื้อ

     “ตอนเด็กๆ เราอาจคิดว่าเรื่องธุรกิจหรือการลงทุนไม่สำคัญ แต่เมื่ออายุเยอะขึ้น เราจะมองเห็นว่าทุกๆ อย่างมันเกี่ยวกับธุรกิจ สมมติเราโตขึ้น ทำงานเป็นผู้บริหารในบริษัทหนึ่ง เราต้องรู้ว่าคู่แข่งเป็นใคร เรามีจุดแข็งอะไรเหนือคู่แข่ง คู่แข่งเขาต้นทุนเป็นอย่างไร ต้องวิเคราะห์ธุรกิจได้ ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่ทันคนอื่น”

 

 

เรียนรู้จากความสำเร็จของคนอื่น

     “เราไม่ได้คิดว่าการเขียนบทความเรื่องขาลงของบริษัทหรือแบรนด์อะไรก็ตามจะเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยง เพราะคอนเทนต์ของเราค่อนข้างเป็นกลาง มีทั้งบอกข้อสังเกตว่ามันเป็นยังไง โชว์ตัวอย่างที่เราชื่นชม เราเคยเขียนประเด็น ปตท. กำลังเขี่ยเซเว่นอีเลฟเว่น แต่เราก็เคยเขียนชื่นชมเซเว่นฯ อยู่บ่อยครั้ง เพราะเซเว่นฯ ก็มีหลายอย่างที่เป็นบทเรียนให้ธุรกิจเราได้ อย่างเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ใครจะไปคิดว่าพนักงานเซเว่นฯ จะชงกาแฟได้ เพราะเราเคยเห็นแต่ไมโครเวฟ แต่วันนี้เขาก็ชงกาแฟขายเป็นเรื่องปกติ หรืออย่างไม้เสียบลูกชิ้นไส้กรอกของเซเว่นฯ คุณเคยสังเกตไหมว่ามันไม่แหลม มันเป็นปลายทู่ๆ ซึ่งทำให้ถุงไม่ขาด และซอสไม่ไหลออกมาเยอะ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ถ้าเราเอาเรื่องนี้มาพัฒนาองค์กรเราได้ เราก็เติบโตเหมือนกัน

     “เราเข้าใจว่า ลงทุนแมนเขียนอะไรไป ก็น่าจะมีเจ้าของกิจการเหล่านั้นได้อ่านด้วย เพราะตอนนี้คนติดตามลงทุนแมนอยู่ 9 เแสนกว่าคน ถ้าเราเขียนแรงไปเราก็ต้องรับผิดชอบ ทุกอย่างจึงต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเท่านั้น”

 

สิ่งสำคัญที่เราควรลงทุน

     “ลงทุนในตัวเอง อย่าเพิ่งไปมองว่าเราจะเอาเงินไปให้ใครลงทุน ลงทุนกับตัวเองก่อนว่าเรามีอะไรพัฒนาได้ เพราะเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือสมอง อย่างเรามีแขนมีขาที่แข็งแรง แต่ไม่มีสมอง ก็เดินไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงควรทำอย่างไรก็ได้ที่จะลงทุนในความรู้ความสามารถของตัวเอง รักษาสมองของเราและพัฒนามันให้ดีที่สุด ถ้าหากมีเงินพันล้านมาให้เราเพื่อแลกกับสมองของเรา ก็แลกไม่ได้ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความคิด

     “การลงทุนทางสมองมันไม่ได้เกี่ยวกับการศึกษาอย่างเดียว การเรียนรู้มันอยู่นอกห้องเรียนด้วย ตอนนี้แค่เข้ากูเกิลก็ลงทุนสมองได้มากแล้ว หรืออ่านลงทุนแมน (ยิ้ม) เราก็ได้เรียนรู้ตลอดเวลา เราไม่จำเป็นต้องเข้าคลาสในห้องเรียน แต่ควรหาข้อมูลทั่วไปในเรื่องที่เราสนใจ แล้วหลังจากนั้นเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น ความรู้ที่สะสมมาจะทำให้เราประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ในทางอ้อม ความรู้และความสำเร็จมันอาจไม่ได้เกี่ยวกันตรงๆ เป๊ะๆ แต่มันต้องผสมผสานเข้ากับประสบการณ์เพื่อทำให้เราพัฒนาขึ้นด้วย

     “ทุกวันนี้เราไม่ได้พยายามเสพความรู้ทุกอย่างบนโลก แต่เลือกสิ่งที่สนใจและอยากรู้ มันจึงสำคัญที่เราต้องรู้ก่อนว่าเราชอบอะไร ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องการเงิน ธุรกิจ อาจจะเป็นเรื่องจักรยาน ฟิตเนส สุขภาพ หรืออาหารการกินก็ได้ แค่เราคิดว่าทำสิ่งนั้นแล้วมีความสุขและได้ประโยชน์จากมัน”

 

การลงทุนเพื่อเป้าหมายที่สูงกว่าเงินทอง

     “เป้าหมายการลงทุนจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินทอง ไม่จำเป็นต้องรวย แต่ขอให้สิ่งที่ทำอยู่มันมีคุณค่าสำหรับคนอื่น อาจจะแค่ไม่กี่คนก็ได้ แต่ถ้าคิดว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันมีคุณค่า ทำให้รู้สึกดี มีความสุข เช่น เราเขียนแล้วมีคนอื่นรับรู้เรื่องของเรา ทำให้เขามีความรู้มากขึ้น เราก็รู้สึกว่าเรามีความสุขกับสิ่งนี้

     “ไม่ใช่แค่นักเขียน แต่คนทำขนมที่ทำแล้วมีความสุข คนขับแท็กซี่ส่งผู้โดยสารไปที่หมายอย่างปลอดภัย นั่นก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่าแล้ว มันคือการสั่งสมความสามารถของเราเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับคนอื่น”