หนังสือหลายเล่มที่เคยอ่านเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก หรือเก่าเก็บจนฝุ่นจับหนา ไม่ว่าเนื้อเรื่องจะสนุกสนานน่าติดตาม หรือจะกลายเป็นยานอนหลับขนานดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราเติบโตขึ้นมีชีวิตใหม่ เชื่อเถอะว่าคำถามซับซ้อนที่เกิดตามมาในชีวิตสามารถตอบให้กระจ่างได้ด้วยการหยิบหนังสือเล่มนั้นมาอ่านอีกครั้ง
หรือต่อให้ยังหาคำตอบไม่ได้ การหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่านก็ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เราพบเจอสิ่งที่เป็นคำตอบ หรืออาจใกล้เคียงคำตอบที่ตามหาอยู่เสมอ โดยเฉพาะคำถามถึงความหมายของชีวิต ความทุกข์ และความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นวัตถุดิบที่ทำให้มนุษย์แข็งแรงและเติบโตไม่หยุดนิ่ง
a day BULLETIN จึงได้คัดสรรหนังสือ 11 เล่ม เพื่อเรียนรู้ชีวิตผ่านความเจ็บปวด ค้นพบทั้งแง่งามและไม่งามของความทุข์ พร้อมเยียวยาตัวตนที่เคยพังทลาย ด้วยกำลังใจและพลังที่หนังสือแต่ละเล่มตั้งใจมอบให้ผู้อ่านทุกคน
01 | The Catcher in the Rye (จะเป็นผู้คอยรับไว้ ไม่ให้ใครร่วงหล่น) – J. D. Salinger
“พี่นึกภาพเด็กตัวเล็กๆ เล่นเกมกันอยู่ในทุ่งหญ้ากว้าง เด็กเล็กเป็นพันๆ คน และไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย
พี่หมายถึงไม่มีคนตัวใหญ่อยู่เลย นอกจากพี่คนเดียว และพี่ก็ยืนอยู่ที่ขอบหน้าผาสูงที่อันตราย
สิ่งที่พี่ต้องทำคือพี่ต้องเป็นคนที่คอยรับทุกคน ถ้าพวกเขาจะร่วงหล่นตกจากหน้าผา
พี่จะทำแค่นั้นทั้งวัน พี่จะเป็นแค่คนที่คอยรับคนไม่ให้ร่วงหล่นจากท้องทุ่ง
พี่รู้ว่ามันบ้าแต่นั่นเป็นเพียงอย่างเดียวที่พี่อยากทำ”
หากนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนอายุ 16 ปี จำได้ไหม่ว่าโลกของคุณในตอนนั้นเป็นอย่างไร? สำหรับ โฮลเดน คอลฟีลด์ (Holden Caulfield) เด็กหนุ่มผู้บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองไว้ในหนังสือเล่มนี้ มันคือช่วงเวลาที่เขาร่วงหล่นไปยังจุดต่ำสุดของชีวิต เพราะถูกไล่ออกจากโรงเรียน เขาจึงตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่เพียงลำพัง
วินาทีที่โฮลเดนยอมรับอย่างซื่อตรงว่าทั้งชิงชังและเบื่อหน่ายสังคมที่มีแต่ความเสแสร้ง ตัวของเขาในตอนนั้นจึงกลายสภาพไม่ต่างจากคนนอกที่ไม่อาจคืนสู่คนอื่นๆ ในสังคมได้อีก แม้ว่าหลายคนจะตีตราความคิดของเขาว่าแปลกแยกและแตกต่าง แต่ถึงที่สุดแล้วไม่ควรมีใครตัดสินเด็ดขาดว่าผิด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้สู่การเติบโต เพื่อเขาจะได้โอบกอดตัวตนนั้นไว้อย่างมั่นคง ถึงแม้จะต้องร่วงหล่นลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่มีใครคอยอ้าแขนรอรับเขาสักคนเดียวก็ตาม
บางครั้งบางคราวในชีวิตของเราทุกคน อาจสับสน ขบถ รู้สึกกระวนกระวายใจ และร่วงหล่นได้ไม่ต่างจากโฮลเดน เมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอเพียงอย่าลืมกอดตัวเองไว้แน่นๆ ก็พอ
02 | Charlotte’s Web (ชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรัก) – E. B. White
“ก็เธอเป็นเพื่อนฉันไง นั่นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ฉันชักใยให้เธอก็เพราะฉันชอบเธอ
ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตคืออะไร เราต่างเกิดมามีชีวิตอยู่ในระยะเวลาอันสั้น ไม่ช้าก็ตาย
การที่ฉันได้ช่วยเธอ ทำให้ชีวิตของฉันมีค่าขึ้น”
เมื่อเจ้าหมูน้อยวิลเบอร์รู้ชะตากรรมของตัวเองว่าชีวิตของมันกำลังจะจบลงในอีกไม่นาน ท่ามกลางความตื่นตระหนกของสัตว์ตัวอื่นๆ ในโรงนา กลับมีเสียงเล็กๆ ดังมาจากมุมมืดบนหลังคา เจ้าของเสียงนั้นคือแมงมุมตัวกระจิดชื่อชาร์ล็อตต์ เธอรับอาสาช่วยเหลือและวางแผนให้วิลเบอร์รอดพ้นจากการถูกฆ่า ด้วยการชักใยเป็นคำต่างๆ
สิ่งที่ชาร์ล็อตต์ทำจึงไม่ได้แค่ช่วยชีวิตของวิลเบอร์ แต่ยังมอบบทเรียนให้ผู้อ่านด้วยว่า มิตรภาพคือสิ่งหนึ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต เป็นความรักและความห่วงใยที่เพื่อนมีให้ต่อกัน
03 | Man’s Search for Meaning (ชีวิตไม่ไร้ความหมาย) – Viktor Frankl
“ความสนใจหลักของมนุษย์หาได้อยู่ที่การแสวงหาความพึงพอใจหรือหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดไม่
แต่อยู่ที่การได้ประจักษ์ในความหมายชีวิตของตน
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมนุษย์จึงพร้อมทนทุกข์ ถ้าความทุกข์ที่เขาประสบอยู่นั้นมีความหมาย”
คุณเคยสิ้นหวังอย่างถึงสุดไหม? แต่สำหรับชาวยิวและประประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ช่วงเวลาที่หดหู่และสิ้นหวังที่สุดคือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
หากโชคดีรอดชีวิต แม้บาดแผลตามตัวจะแห้งหายและทิ้งร่องรอยแห่งความเจ็บปวดประดับไว้บนเรือนร่าง แต่บาดแผลภายในใจนั้นแย่ยิ่งกว่า มันกัดกินและลุกลามไปถึงจิตวิญญาณ ตัวตนของพวกเขาคงอยู่อย่างบอบช้ำและอ่อนแอ แต่สำหรับผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อชีวิต ความยากลำบากอย่างถึงที่สุดจะมอบบทเรียนแห่งชีวิตที่มีค่าที่สุดเช่นกัน
หนังสือเล่มนี้คือบันทึกความทรงจำของจิตแพทย์ที่ต้องใช้ชีวิตในค่ายกักกันนาซี เรื่องราวของเขากลายเป็นพลังและแรงบันดาลใจให้ทุกคนที่มีชีวิตอยู่ กล้าที่จะลุกขึ้นมาเลือกและนิยามสิ่งสำคัญให้ตัวเรามีค่ามีความหมายมากกว่าที่ผ่านมา
04 | ปีศาจ – เสนีย์ เสาวพงศ์
“ท่านอาจจะเหนี่ยวรั้งอะไรไว้ได้บางสิ่งบางอย่างชั่วครั้งชั่วคราว
แต่ท่านไม่สามารถจะรักษาทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้ตลอดไป”
เรื่องราวความรักต่างชนชั้นของ สาย สีมา ทนายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ และรัชนี สาวสวยจากชนชั้นสูง หรืออาจเรียกได้ว่าผู้ดีเก่า เขาทั้งคู่เต็มเปี่ยมด้วยความหวัง ศรัทธา ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม และพร้อมจะเผชิญหน้ากับโลกเก่า ที่ตัดสินและให้คุณค่ามนุษย์จากฐานันดรและชาติกำเนิดเท่านั้น
สิ่งเดียวที่จะทำให้โลกเก่าหวาดหวั่นและสั่นคลอนคือปีศาจร้ายแห่งการเปลี่ยนแปลง และ สาย สีมา จำต้องกลายเป็นปีศาจตนนั้น ปรากฏตัวท่ามกลางสายตาที่มองด้วยความรังเกียจมากกว่าเกรงกลัว
ประเด็นสังคมที่นวนิยายเล่มนี้วิพากษ์วิจารณ์ไว้ กลับไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาที่ล่วงเลย การปะทะระหว่างผู้คนในโลกเก่า กับปีศาจร้ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกในนั้น ยังคงดำเนินมาจนปัจจุบัน และมีทีท่าว่าจะดำเนินต่อไป ตราบใดที่มนุษย์ยังคงกดขี่ข่มเหงกันและกัน กาลเวลาก็จะให้กำเนิดปีศาจตนแล้วตนเล่าหมุนเวียนท้าทายในโลกเก่าไม่มีวันจบสิ้น
05 | Frankenstein; or, The Modern Prometheus (แฟรงเกนสไตน์ หรือ โพรมีธีอัสยุคใหม่) – Mary Shelley
“แท้จริงแล้ว มนุษย์นั้นทรงอำนาจ ทรงคุณธรรม และสง่างาม แต่ก็เลวทรามต่ำช้าด้วยในขณะเดียวกัน
บางเวลา มนุษย์ก็เป็นเพียงหน่อเชื้อไขของกฏอันชั่วร้าย และบางเวลาก็อาจถูกเทิดทูนปานประหนึ่งเทพเจ้า
มหาบุรุษผู้ครองธรรมและเกริกเกรียตอาจเปลี่ยนกลาย
ดังที่ปรากฏมากมายในประวัติศาสตร์ เป็นผู้ไร้สิ้นคุณธรรม
บ้างก็สิ้นไร้ศักดิ์ศรี มีสภาพน่าสังเวชยิ่งกว่าตุ่นตาบอดหรือหนอนไร้พิษสงเสียอีก”
แฟรงเกนสไตน์คือวรรณกรรมที่เล่าเรื่องถึงชีวิต ความคิด ตัวตน ความสัมพันธ์ และความขัดแย้งบางอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างผู้สร้าง (Frankenstein) และผู้ถูกสร้าง (Monster) โดยเฉพาะความทะเยอะทะยานของมนุษย์ที่ต้องการเอาชนะธรรมชาติ ซึ่งแฟรงเกนสไตน์ได้พิสูจน์ให้เห็นหลังจากเหน็ดเหนื่อยพยายามค้นหาวิธีสร้างและฟื้นคืนชีวิตมาโดยตลอด
เมื่อทำสำเร็จ ความหวาดกลัวและความวิตกกังวลกลับเข้ามาแทนที่ วินาทีแรกที่เผชิญหน้ากับอสูรกาย เขาเลือกที่จะหนีออกห่างจากสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา และปล่อยมันให้มีชีวิตอย่างยากลำบาก แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่สามารถหนีไปจากสายตาของอสูรกายที่คอยจับจ้องและเฝ้าดูเขาอยู่ตลอดได้ แล้วเรื่องราวก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นการไล่ล่าระหว่างผู้สร้างและผู้ถูกสร้าง จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตทั้งคู่
ทุกชีวิตเกิดและสูญสิ้นไปเหมือนกันทั้งหมด แต่ Frankenstein ยังคงอยู่เป็นอมตะ และเป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่มีวันอวสาน
06 | To Kill A Mockingbird (ฆ่าม็อกกิ้งเบิร์ด) – Harper Lee
“ฉันว่ามันมีคนแค่ประเภทเดียวแหละ คือคน
ถ้ามันมีคนแค่ประเภทเดียว ทำไมพวกเขาถึงเข้ากันไม่ได้ล่ะ
ถ้าทุกคนเหมือนกัน ทำไมพวกเขาถึงพยายามจงเกลียดจงชังกันนัก”
หากเด็กคือผ้าขาวบริสุทธิ์ เรื่องราวทั้งหมดภายในหลังสือจึงสะท้อนความจริงในสังคมได้อย่างโหดร้าย แม้จะเคลื่อบแฝงด้วยความอบอุ่น มุกตลก และอารมณ์ขันจากมุมมองไร้เดียงสาของเด็กๆ ที่มีพ่อเป็นนักกฎหมายก็ตาม
หนังสือเล่มนี้ทำให้มองเห็นกำแพงแห่งอคติและความเกลียดชัง ทั้งประเด็นความไม่เท่าเทียมกัน การข่มขืน ปัญหาการเหยียดชาติกำเนิด เพศ สีผิว ฐานะ และความอยุติธรรมในชีวิตได้อย่างชัดแจ้ง ซึ่งคอยกีดกันและแบ่งแยกทุกคนให้ออกจากกัน
เพราะบาดแผลและความผิดพลาดเหล่านี้อาจนำไปสู่สำนึกและความเข้าใจที่ถ่องแท้เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า และการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ชวนให้เจ็บปวด ยิ่งทำให้มองเห็นผลร้ายของอคติและความเกลียดชัง ซึ่งไม่มีใครอยากหวนกลับคืนไปยังจุดเดิมนั้นอีก
07 | คำพิพากษา – ชาติ กอบจิตติ
“ภัยจากธรรมชาตินั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เกิดขึ้นเป็นบางแห่งบางท้องที่เท่านั้น
ผิดกับภัยที่เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งมีอยู่สม่ำเสมอและเป็นภัยที่โหดร้ายอย่างเงียบเชียบ”
ฟักและสมทรง หรือไอฟักและอีสมทรง ตามแต่จะพึงใจเรียก คือตัวแทนของคนในสังคมที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพราะพวกเขายังบริสุทธิ์และโอนอ่อนต่อโลกที่แข็งกร้าวและพร้อมรุมทึ้งชีวิตให้ขาดวิ่นได้ยิ่งกว่าแร้งที่หิวโซรอจิกกินซากสัตว์
เงื่อนไขของชีวิตที่คนคนหนึ่งต้องรับผิดชอบแม้จะเป็นความเต็มใจก็ตาม แต่กลับถูกตัดสินด้วยสายตาและจิตใจอันคับแคบของคนอื่นๆ หากพวกเขาตีตราว่ามันผิด แม้ในความเป็นจริง สิ่งนั้นไม่ใช่และไม่ใกล้เคียงคำว่าผิดสักนิด มันจะกลายเป็นตำหนิและความผิดพลาดที่ไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป ต้องหาทางกำจัดให้หมดสิ้น
ไม่ว่าจะอ่านด้วยสายตาและผ่านความคิดตัดสินแบบไหน แต่ชีวิตรันทดของคนที่ไร้สถานะทางสังคมแม้แต่จะปกป้องตัวเองอย่างฟักและสมทรง ก็เพียงพอแล้วกับการสะท้อนโลกแห่งความจริงว่าบ้าคลั่งและโหดร้ายอย่างไม่เคยปรานีแค่ไหน สำหรับคนที่ไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ในชีวิต
08 | Le Scaphandre Et Le Papillon (ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ) – Jean-Dominique Bauby
“จงทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แม้ในยามที่คุณสิ้นหวัง หรือไม่มีใคร
แต่คุณก็จงทำต่อไปตามกำลัง ตามความสามารถ ตามความรู้ที่คุณมีอยู่
เพราะมีแต่คุณเท่านั้นที่จะเป็นผู้ลงมือทำได้”
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ใช้มือเขียนหรือพิมพ์ แต่เกิดจากการกะพริบตาเพื่อให้ได้ตัวอักษรแต่ละตัวเพื่อประกอบเป็นคำ เรียงลำดับเป็นประโยค และถักทอเป็นเรื่องราว
เพราะผู้เขียนเคยเป็นทั้งนักหนังสือพิมพ์และบรรณาธิการของนิตยสาร กระทั่งชีวิตเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ในวัย 43 ปี เขานอนหลับไหลไป 20 วันเพราะเส้นเลือดในสมองแตกฉับพลัน เมื่อตื่นฟื้นขึ้นมา เขาไม่สามารถพูดได้ ร่างกายเป็นอัมพาต
ภายในหนังสือบอกเล่าชีวิตก่อนและหลังพิการ ชีวิตแต่ละวันในร่างของคนที่ขยับตัวไม่ได้นอกจากบังคับเปลือกตาให้กะพริบด้วยอารมณ์ขัน และการมองโลกในแง่ดี ซึ่งสะท้อนพลังของศรัทธา ความรัก และการเป็นมนุษย์อย่างจริงใจและกินใจที่สุด
09 | When Breath Becomes Air (เมื่อลมหายใจกลายเป็นอากาศ) – Paul Kalanithi
“เราต่างล่วงรู้ว่าอะไรหมายถึงความดีงาม แต่เราไม่อาจใช้ชีวิตเพื่อไปให้ถึงสิ่งนั้นได้ตลอดเวลา”
พอล กาลนิธิ ในวัย 36 ปี เฝ้าค้นหาความหมายที่แท้ของการมีชีวิตจากวรรณกรรมและหลักปรัชญา ก่อนจะผันเส้นทางสู่การเป็นประสาทศัลยแพทย์ โดยมุ่งศึกษาสมองของมนุษย์ ด้วยความมุ่งหวังว่าจะนำพาเขาไปสู่คำตอบของความสัมพันธ์ระหว่างชีวิต ความตาย และความหมายของตัวตน
แต่แล้วสิ่งที่ทำให้เขาเข้าใกล้คำตอบนั้นอย่างแท้จริงในฐานะแพทย์ กลับไม่ใช่ผู้กำหนดความเป็นความตายของผู้อื่น แต่เป็นคนไข้ที่อ้อมกอดแห่งความตายเฝ้ารออยู่เบื้องหน้าเสียเอง
หนังสือเล่มนี้คือถ้อยบันทึกอันน่าจดจำและจับใจในวาระสุดท้ายของชีวิต ที่ผู้เขียนตั้งใจถ่ายทอดประสบการณ์การเผชิญหน้า สำรวจ ต่อสู้ และโอบรับความตาย เป็นการค้นหาความหมายในชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งที่ลมหายใจของเขากำลังจะหมดลง
ท้ายที่สุดทุกคนจะต้องตาย แต่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ในเมื่อทุกสิ่งอย่างมีเหตุผลของการดำรงอยู่ แม้กระทั่งตัวเรา ก่อนที่ลมหายใจอุ่นๆ จะกลายเป็นเพียงอากาศบางเบา และล่องลอยหายไปอย่างเปล่าเปลี่ยว เราทุกคนอาจต้องทำสิ่งเดียวกัน นั่นคือการตอบตัวเองให้ได้ว่าอะไรคือความหมายที่แท้จริงของชีวิต
10 | จะเล่าให้คุณฟัง และ 11 | จะเล่าเป็นเพื่อนคุณ – Jorge Bucay
“นิทานเหล่านี้เขียนขึ้นเพื่อบอกตำแหน่งหรือนำทางเท่านั้น
การค้นหาลงไปในความลึกซึ้งของนิทานแต่ละเรื่องเพื่อให้พบเพชรซึ่งถูกซ่อนไว้
ถือเป็นหน้าที่ของคนแต่ละคนเอง”
‘จะเล่าในคุณฟัง’ คือหนังสือเพื่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่แตกต่างจากหนังสือเล่มอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง เพราะไม่มีเนื้อหาขึงขังหรือพยายามสั่งสอนให้ทำตาม หากแต่เป็นการบอกเล่านิทานธรรมดาๆ เพื่อเยียวยาจิตใจอันตกอยู่ในสภาวะไร้หลักให้กลับฟื้นคืนสภาพมั่นคงได้ดังเดิม ด้วยเรื่องราวอ่านสนุก ที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ให้ชีวิตได้อย่างน่าคาดไม่ถึง
“นับเป็นช่วงเวลายากลำบากที่สุด
ถ้าเรากล้าก้าวผ่านเปลือกหนาๆ เพื่อเข้าไปพบกับเนื้อผลไม้อันชุ่มฉ่ำและนุ่มละมุน
หากเราหาประโยชน์จากการรวมสิ่งใหม่เข้ากับสิ่งเก่าได้
ก็จะเข้าถึงเมล็ด เข้าถึงแก่นกลางของทุกสิ่งและศักยภาพ”
‘จะเล่าเป็นเพื่อนคุณ’ คือเรื่องราว 20 ปีต่อมาของ ‘จะเล่าให้คุณฟัง’ ที่ยังคงเปิดเปลือยให้เห็นความสิ้นหวังในชีวิต ความรู้สึกหมดคุณค่าในตนเอง และความสับสนกับปัญหาที่ถาโถมกระโจนใส่เข้ามาจนกระทบจิตใจ ก่อนที่เรื่องเล่าอันเรียบง่าย แต่ทรงพลังจากผู้เขียนซึ่งเป็นนักจิตบำบัดจะช่วยปลอบประโลม โอบกอด และแนะแนวทางชีวิตใหม่ให้ทุกคนอีกครั้ง