โอมศิริ

Pain and Gain: เมื่อมะเร็งร้ายสอนฉันให้มีชีวิต โดย โอมศิริ วีระกุล

ผมเคยได้ยินชื่อโรคร้ายที่ชื่อว่ามะเร็ง จากสรรพคุณที่ได้ยิน มันเป็นโรคที่ซุ่มเงียบเหมือนมือปืนสไนเปอร์ ที่คอยซุ่มหาจังหวะจากเหยื่อที่ประมาทต่อเรื่องสุขภาพของตัวเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่กว่าจะรู้ตัวว่าสุขภาพกำลังถูกดักโจมตีก็แทบสายไปเสียแล้ว 

        ผมได้ยินเรื่องเหล่านี้มาเยอะ และไม่คิดว่ามันจะมาดักซุ่มยิงสุขภาพของแม่ผม แน่นอนว่าเมื่อปืนหนึ่งนัดถูกลั่นไกลงไปในครอบครัว บรรยากาศจึงเกิดความวินาศและปั่นป่วนเป็นอย่างมากกับคนทำงานวัย 27 ปีในเวลานั้น ที่หน้าที่การงานก็ไม่มั่นคง สถานะการเงินก็ไม่แข็งแรง ผมเหมือนเป็นเชลยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและถูกโรคร้ายนั้นจับมานั่งสัมภาษณ์ถึงความรู้สึกต่อสภาวะที่เกิดขึ้น

        มะเร็ง: นายรู้ไหมว่าฉันอยู่ในท้องของแม่นายมาหลายปี

        โอม: ผมไม่รู้มาก่อนเลย 

        มะเร็ง: แสดงว่านายไม่เคยสังเกตสุขภาพหรือความผิดปกติของคนในครอบครัวเลย

        โอม: ผมว่าผมสังเกตนะ แม่ก็ดูปกติดี

        มะเร็ง: ไม่จริงหรอก… เพราะแม่ของนายมีอาการปวดท้องมาเป็นระยะเวลาหลายปี แต่กลับไม่มีใครสังเกตและทักท้วงให้ไปตรวจ จนกระทั่งมีอาการและเป็นลมหมดสติไป นี่คือความหละหลวมของการไม่ใส่ใจสมาชิกในครอบครัวที่นายคิดเสมอว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่นายรักที่สุด

        โอม: ผมขอโทษ… ผมอาจทำแต่งาน และหมกมุ่นอยู่กับชีวิตตัวเอง แต่เพราะชีวิตช่วงนี้มันสำคัญต่อการเติบโตในหน้าที่การงานนี่

        มะเร็ง: ฟังแล้วช่างน่าเจ็บปวด… สำหรับการเอาอนาคตมาเป็นตัวประกันกับปัจจุบันที่ค่อยๆ ผุผังโดยที่ไม่คิดจะใส่ใจอะไรเลย นี่คือกับดักอย่างหนึ่งที่มนุษย์ชอบแลก และอยากทวงคืนเมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ แต่สุดท้ายมันก็เรียกอะไรกลับมาไม่ได้ 

        โอม: ขอร้อง อย่าเอาชีวิตแม่ผมไปเลย ปล่อยแม่ผมไปเถิด แม่เพิ่งอายุ 60 ปีเอง ผมยังไม่ได้ดูแลแม่เท่าที่ควรเลย

        มะเร็ง: ฉันไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่ผู้กุมชะตา ฉันเป็นเพียงดัชนีชี้วัดสุขภาพของมนุษย์ที่ไม่ยอมดูแล และต้องกำจัดออกไปเพื่อไม่ให้ทรัพยากรบนโลกมันเสียความสมดุล 

        โอม: ผมต้องทำอย่างไรแม่ถึงจะกลับมามีชีวิตและสุขภาพที่ดีเหมือนเดิม 

        มะเร็ง: น้อยรายนักที่ฉันปรากฏตัวแล้วจะรอด… มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่บางรายก็โชคดีหน่อยที่ได้รับการรักษาจากเครื่องมือและยาที่มนุษย์ช่วยกันสร้างมาต่อต้านฉัน ซึ่งมันก็ต้องแลกด้วยเงินจำนวนมาก คำถามสำคัญเลย เธอมีเงินที่จะรักษาแม่เหรอ ไหนบอกว่าการงานก็ไม่มั่นคง การเงินก็ไม่แข็งแรง มันดูลำบากเอาการ

        โอม:

        มะเร็ง: นี่ไง… ความเงียบคือคำตอบที่แสนเจ็บปวดแห่งยุคสมัยนี้ มันสะท้อนถึงการไม่ใส่ใจต่อตัวเอง ต่อคนใกล้ตัว ต่อคนที่เรารักอย่างแท้จริง มันคือคำตอบของการไม่ได้รู้จักโลกใบนี้ดีอย่างเพียงพอและพอเพียง ว่าชีวิตมันโหดร้ายมากกว่านี้ร้อยเท่า ถ้าไม่มีการวางแผนหรือออกแบบชีวิตใดๆ เลย 

        โอม: หมายความว่าอย่างไร

        มะเร็ง: ความเงียบคือคำตอบที่บอกว่าเธอไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความสุขและความเสี่ยงของชีวิตคืออะไร เป้าหมายและความหมายของชีวิตที่อยากจะอยู่ไปจวบจนวันสุดท้ายคืออะไร 

        โอม: ผมเพิ่งอายุ 27 ปี ผมอาจจะยังไม่สามารถตอบได้ ผมรู้แค่ว่า ผมเกิดมาต้องรับผิดชอบเรื่องเรียน และทำงานหาเงินมาดูแลตัวเองและครอบครัว พร้อมกับงานที่ผมรัก

        มะเร็ง: 555 นี่แหละคือหนังสือชีวิตของเธอที่เหมือนเพิ่งเปิดอ่านทบทวนได้แค่ไม่กี่บท ทุกอย่างจึงดูเรียบง่ายและเป็นแพตเทิร์นเหมือนกับรายอื่นๆ ที่ฉันเคยเจอ และนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ฉันต้องปรากฏตัวจากความประมาทด้านสุขภาพ เพื่อมาสร้างบางอย่างในชีวิตของเธอให้เปลี่ยนไปจากเดิม

        โอม: เปลี่ยนไปจากเดิม?

        มะเร็ง: เธอถามฉันว่า ต้องทำอย่างไรแม่ถึงจะกลับมามีชีวิตและสุขภาพที่ดีเหมือนเดิม เธอได้แสดงความรัก ความห่วงใย และความเสียสละที่อยากจะแลกทุกอย่างเพื่อรักษาลมหายใจของแม่เธอไว้ แต่ฉันไม่รับประกันนะว่าจากนี้ไปอะไรจะเกิดขึ้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฉันครึ่งหนึ่งและกำลังใจในการรักษาครึ่งหนึ่ง นี่เป็นทั้งพรและคำสาปจากการประมาทในการดำเนินชีวิต ดูเหมือนแม่ของเธอจะได้สติแล้ว ใช้เวลาที่เหลือกับแม่ของเธอหรือคนที่เธอรักให้คุ้มค่า แล้วฉันหวังว่าเราจะไม่หวนมาเจอกันอีก เพราะฉันเบื่อที่จะฟังการร้องขอจากการเห็นความเจ็บปวดของคนรอบข้าง ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ก็รู้เสมอว่าสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินทองที่มัวแต่จะหาคืออะไร 

        โอม: ยุคสมัยนี้… มันน่าตลกและเจ็บปวดสิ้นดี

 


หมายเหตุ: ปี 2557 แม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 2 ก้อนเนื้อในช่องท้องของแม่มีขนาดใหญ่กว่าชามลูกไตของแพทย์ ปัจจุบันแม่กลับมาใช้ชีวิตปกติจากการควบคุมอาหาร หมั่นออกกำลังกาย และรักษาตามแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด เหตุการณ์นี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมสนใจเรื่องการบริหารเงินและบริหารชีวิตต่อคนรอบข้างให้มีความหมายและความสุขมากขึ้น นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลในการตั้งใจเขียนคอลัมน์ Money Life Balance