พชร สูงเด่น

Pain and Gain: ปลดปล่อยพันธนาการความสัมพันธ์ โปรดเรียกขานฉันด้วย ‘นามอันแท้จริง’ โดย พชร สูงเด่น

ฉันอยู่ตรงนี้ ขณะนี้ เพียงแค่เท่านี้ที่บอกกับเธอ

รักฉันได้ไหมเธอ วินาทีนี้เท่านั้น

เหมือนดั่งที่มารดารักถนอมบุตรด้วยชีวิตเยี่ยงไร

หากเราฝึกให้มีใจต่อคนทั้งปวงได้อย่างนั้น

เริ่มจากการรักคนที่เรารัก

ไปจนถึงรักแม้คนที่ชัง

จนกล้าที่จะรักแม้คนที่มุ่งหวังทำร้ายตัวเราได้อย่างนี้

 

ผู้ที่มีรักคือผู้เข้มแข็ง

ผู้เข้มแข็งคือไม่มีความกลัว

ผู้ที่ยังมีความกลัวไม่อาจมีความรักและให้อภัย

แม้ว่ารักมันจะยากเย็น – เกลียดชังมันจะง่ายดาย

แต่ในลมหายใจสุดท้ายเธอจะตาย พร้อมสิ่งใด

 

        บทเพลง ‘โปรดเรียกขานฉันด้วยนามอันแท้จริง’ ของ Boy Imagine ศิลปินจากเชียงใหม่ ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้จากบทกวีของ หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ 

        บทกวีในดนตรีที่ก้องในโสตประสาททันท่วงทีในช่วงเวลานั้น เวลาที่เพิ่งได้ยินข่าวจากบ้านที่อยู่ไกลออกไป เวลาที่กำลังพาตัวเองไปไกลถึงยอดเขาเพื่อ ‘ภาวนา’ และดูเหมือนว่าข่าวร้ายจากแดนไกลจะเป็นบททดสอบด่านแรกว่าสิ่งที่ฝึกซ้อม ‘ภาวนา’ อยู่นั้นจะนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้หรือไม่ 

        การภาวนาให้ตื่นรู้ในปัจจุบันขณะ อยู่ตรงนี้ ที่นี่ จนเห็นได้ถึงความไม่มี ไม่ตั้งอยู่ของสิ่งใด ไม่เป็นอะไรเลย จนเป็นได้ทุกสิ่ง, ไม่ปรารถนาสิ่งใด จนให้ได้ทุกอย่าง

        การฝึกภาวนาบนยอดเขานั้นเป็นไปอย่างง่ายดาย สบาย สงบ มีครูบาอาจารย์คอยนำทางอยู่ตรงหน้า ในบรรยากาศที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ มีความหนักแน่นของภูเขา ความร่มเย็นของต้นไม้ ความตั้งใจของผู้ที่เดินทางมาไกลแสนไกลเพื่อฝึกซ้อม ‘ภาวนา’

        แต่บททดสอบที่แท้จริง การภาวนาที่แท้จริง การปฏิบัติที่แท้จริง ดูจะเกิดขึ้นเมื่อโลกความเป็นจริงผลักให้กระแทกออกไปนอกโหลครอบแก้ว โยนให้กระโจนเข้ากองไฟในโลกความเป็นจริงที่สิ่งต่างๆ ไม่ได้มั่นคงเช่นภูเขา ไม่ร่มรื่นแผ่วเบาดังร่มเงาของต้นไม้ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่มีอะไรเป็นไปดั่งใจสักอย่าง ไม่มีการปล่อยวาง จนถือสามันไปเสียทุกสิ่ง ปรารถนา เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา จนสละอะไรไม่ได้ในชีวิตจริง 

 

        “ตายไปเสียได้ก็คงดี”

         เสียงปลายสายที่ได้ยิน ข้อความที่บอกถึงความเกลียดชัง โกรธแค้นจนตัวสั่น แต่ในความสั่นสะเทือนนั้นมีความสั่นไหวของใจที่แหลกสลาย ความเชื่อมั่นในความรักที่ถูกทำลาย ความอ่อนไหวของหัวใจที่ใช้ความโกรธมาเป็นเกราะกำบังว่ายังเข้มแข็ง แม้ในใจจะหมดเรี่ยวแรงมากแค่ไหนก็ตาม

        สองพี่น้องที่อยู่กันคนละปลายสาย พี่ชายเดือดพล่านเป็นฟืนเป็นไฟกับสิ่งที่ได้เจอ น้องสาวน้ำตาไหลกับสิ่งที่ได้ฟัง น้องสาวที่ในชั่วครู่ก่อนรับโทรศัพท์ยังอยู่ในความสงบเย็นของการ ‘ภาวนา’ ที่คิดว่ามันง่ายดายในการจะ “มีใจต่อคนทั้งปวงได้อย่างนั้น เริ่มจากการรักคนที่เรารัก ไปจนถึงรักแม้คนที่ชัง จนกล้าที่จะรักแม้คนที่มุ่งหวังทำร้ายตัวเราได้อย่างนี้” ก่อนที่สิ่งที่เข้ามากระทบจะลบความสงบจากการภาวนาไปเสียหมด – นี่ไง บททดสอบของการภาวนา ที่คิดว่าทำได้ รักได้ อภัยได้ ทำได้แค่ไหนในบททดสอบของชีวิตจริง 

 

        “เข้ามาถึงในบ้าน ไม่ให้เกียรติกันขนาดนี้ ก็อย่าหวังว่าจะได้รับเกียรติกลับคืน” 

        จบประโยคบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น เสียงปลายสายก็เงียบไป เงียบจนได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของกันและกัน สะอื้นไห้ให้กับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันที่ไม่คาดฝันในบ้าน ในวันที่มีคนนอกบ้านเดินเข้ามาในความสัมพันธ์ ความสั่นสะเทือนที่เจือปนทั้งความตกใจ ไม่เข้าใจ ไปจนกระทั่งความโกรธ – โกรธคนใน ‘บ้าน’ ของเราเองที่ปล่อยให้คนนอกเดินเข้ามา โกรธตัวเองที่เกิดความรู้สึกโกรธ, จนแทบจะเกลียด, คนในบ้านด้วยกันเอง 

        ความโกรธ-เกลียด ที่เกือบสมเหตุสมผลกับการโตมาพร้อมคุณค่าที่ถูกปลูกฝังเรื่องสถาบันครอบครัว ระบบ ‘monogamy’ ความรักเดียวใจเดียว วลี ‘ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร’ ที่เป็นทั้งคำอวยพรและกับดักกักขังให้พลาดพลั้งในความสัมพันธ์ไม่ได้ คุณค่าต่อสถาบันครอบครัวที่แนบสนิทกับชีวิตจนแทบจะแหลกสลายไปพร้อมกันในวันที่คุณค่านั้นพังทลาย

        ภาพพ่อแม่ครองรักกัน ภาพจำสถาบันครอบครัว ที่ทำให้เชื่อโดยไม่ตั้งคำถามว่านั่นคือภาพสมบูรณ์แบบ คือความเป็นไปได้เดียวที่ชีวิตควรเป็น ผิดแปลกไปจากนั้นคือภาพที่ผิด คือสิ่งที่ไม่ใช่ คือความไม่สมบูรณ์ในชีวิต 

        ภาพความเป็นครอบครัว บทบาทความเป็นพ่อแม่ที่ทำให้เราต่างหลงลืมกันไปว่า ก่อนหน้านั้น เราต่างเคยเป็นมนุษย์คนหนึ่ง – มีรัก โลภ โกรธ หลง เช่นกัน หลงลืมไปว่านอกจากความเป็นพ่อ แม่ พวกเขายังเป็นอีกหลายบทบาทในชีวิต – เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นลูก เป็นคนรักของใครอีกคน

        ความรักที่ใครต่างมองว่าเป็นสิ่งสวยงาม การเจอ ‘คนที่ใช่’ นั้นเป็นเรื่องโรแมนติก เป็นโชคชะตา ฟ้าลิขิต แต่เส้นแบ่งบางๆ ระหว่างความโรแมนติกและโศกนาฏกรรม ดูจะเป็นเพียงช่วงเวลาที่มันเกิดขึ้นเท่านั้น

        หากพบกันในวันที่ยังไม่มีใคร ก็เป็นเรื่องโรแมนติกชวนฝัน แต่หากเมื่อใดที่รักเรียกหาผิดที่ผิดเวลา ความโรแมนติกกลับกลายเป็นโศกนาฏกรรม เป็น ‘บาป’ ได้ง่ายๆ หากกระโจนลงหลุมรักนั่นไป

 

        “พ่ออาจไม่ใช่สามีที่ดีที่สุดสำหรับแม่ แต่เขาเป็นพ่อที่ดีที่สุดสำหรับลูก”

        แม่หยิบโทรศัพท์มาพูดแทนพี่ชายที่ดูจะเงียบไปในอีกปลายสาย คำพูดของผู้หญิงที่น่าจะเจ็บช้ำที่สุดในสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ แต่กลับเป็นผู้ที่ทำใจได้มากที่สุด ให้อภัยได้มากที่สุด ไปจนกระทั่งเห็นอกเห็นใจแม้ต่อผู้ที่กระทำเธอเองมากที่สุด 

        การให้อภัยได้ในฉับพลัน แม้ไม่เคยฝึก ‘ภาวนา’ ไม่เคยออกเดินทางไปไกลเพื่อฝึกปฏิบัติใดๆ แต่การปฏิบัติที่แท้ของเธอดูจะอยู่ในทุกลมหายใจของการประคับประคองความสัมพันธ์ เธอรู้เรื่องราวมานานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ เธออยู่กับความเจ็บช้ำมานานเท่าไหร่ เราสองพี่น้องไม่มีใครเคยเห็น แต่สิ่งที่เธอเป็นในวันนี้ การไม่ถือโทษโกรธแค้นแม้กับคนที่กระทำให้เธอเจ็บช้ำ การเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเป็นที่ตั้ง เอาความคาดหวังส่วนตัวเป็นรอง การให้อภัยของเธอที่ทำให้เราสองพี่น้องค่อยๆ เย็นลง คำพูดของเธอที่ทำให้เกิดอาการตื่นในความจริงบางอย่างว่าคนคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าเราเป็นอะไรมากกว่าบทบาทที่เขามีต่อเรา และการที่เขาบกพร่องในบทบาทหนึ่ง ไม่ได้แปลว่าเขาบกพร่องในความเป็นมนุษย์ 

        ใช่ เขาเป็นคนรักที่แย่กับเธอ แต่กับเราสองพี่น้อง เขาก็เป็นพ่อที่ทำหน้าที่ได้ไม่เป็นสองรองใครอย่างที่เธอว่าไว้จริงๆ 

        ไม่ต่างจากเรา ที่มีบทบาทหลากหลายไม่ต่างกัน ทั้งบทบาทความเป็นลูก เป็นน้อง เป็นเพื่อน เป็นคนรักของใครบางคนเช่นกัน และมีวันที่เราเองก็เคยทำผิดพลาดในความสัมพันธ์ไม่ต่างกัน

 

        ไม่ใช่สามีที่ดีที่สุด แต่เป็นพ่อที่ดีที่สุด

        ใจที่ให้อภัยของเธอทำให้ได้กลับมาเห็นความเป็นมนุษย์ ลอกคราบถอดบทบาทที่เราต่างคาดหวังจากกันและกัน ความคาดหวังต่อภาพสถาบันครอบครัวที่ถูกหล่อหลอม ความหวังที่มีไว้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่หวัง ปราศจากความพยายามเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

        ใจที่เต็มไปด้วยรักของเธอได้ปลุกให้ตื่น หันกลับมาทบทวนตัวเองว่า ในทุกความเจ็บช้ำที่เรามองว่าผู้อื่นกระทำกับเรา ลองตรวจสอบตัวเองดูสักครั้งว่า ความคาดหวัง (เพื่อเรา เรา เรา และเราเท่านั้น) ได้กักขังความเป็นมนุษย์ของเขาไว้หรือเปล่า และถ้าใช่ ถ้ามันได้กักขังทั้งเราและเขาไว้ ก็ลองดูสักครั้ง ลองวางความคาดหวังนั้นลง ปลดปล่อยทั้งเขา และเรา ให้หลุดจากบ่วงพันธนาการในแต่ละบทบาทที่กักขังเราไว้เช่นกัน 

 

จะไม่ต่อลมหายใจของสงครามด้วยความโกรธแค้น

จะไม่รับเอาความโกรธแค้น ไม่ส่งต่อความเกลียดชัง

ในยามใดเพลิงไฟท่วมฟ้าไปในทุกทิศในจักรวาล 

ยามนั้นขอให้เธอเรียกขานเอ่ยนามความรักแห่งฉัน

หากที่ตรงนั้นยังพอมีความหวัง ก็ขอให้ตัวฉันได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความรักให้กับเธอ

เพื่อให้เธอรู้ว่าที่ตรงนั้นยังมีฉันขับขาน ในกลางไฟสงครามยังมีดอกไม้งอกงาม 

ท่ามกลางไฟสงคราม

ฉันจะเป็นดอกไม้งอกงาม – กลางเปลวเพลิง 

 

        บทเพลงยังคงบรรเลงต่อไป แต่ใจที่ให้อภัยแล้ว ใจที่วางลงแล้วซึ่งความคาดหวังนั้นดูจะเปลี่ยนแปลง เป็นใจที่เบาในจิตปรุงแต่งปรารถนา ภาวนาจนตื่นรู้ในปัจจุบัน อยู่แค่ตรงนี้ ที่นี่ จนเห็นถึงความไม่มี ไม่ตั้งอยู่ของสิ่งใด

        ไม่เป็นอะไรเลย จนเป็นได้ทุกสิ่ง ไม่ปรารถนาสิ่งใด จนให้ได้ทุกอย่าง

        วางในบทบาทที่ยึดถือกันมานาน

        วางจนกลับมาเรียกขานทั้งเรา – และเขา, ด้วยนามอันแท้จริง