อุทิศ เหมะมูล

Pain and Gain: เมื่อเรื่องเล่าทำให้คนต้นเรื่องและคนเล่าเรื่องเจ็บปวด โดย อุทิศ เหมะมูล

ถ้าคุณเป็นนักเขียนประเภทใช้ประสบการณ์ส่วนตัวมาสร้างเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่า เมื่อถึงจุดหนึ่งคุณอาจพบว่างันชะงัก รู้สึกว่าตัวประสบการณ์ไม่อนุญาตให้คุณใช้มัน อาจเพราะมีบุคคลในฐานะตัวละครในเรื่องราวของคุณไม่อนุญาตก็ได้ ตัวละครที่คุณสร้างขึ้นมาในเรื่องเล่า อาจกระทบใจบุคคลต้นแบบ และนี่คือสิ่งที่นักเขียนควรระมัดระวังและใส่ใจ

        แน่นอนว่าคุณเขียนด้วยความระมัดระวังและใส่ใจอยู่แล้ว เพราะนั่นคือวิธีที่คุณแสดงความรัก ความสามารถทั้งหมดที่มี และรวมถึงความสัตย์ซื่อจริงใจต่อการเขียน การงานอันเป็นลมหายใจของนักเขียน ทว่า บุคคลต้นแบบที่นักเขียนอาจฉวยใช้บุคลิกลักษณะและประสบการณ์ที่เคยมีร่วมกัน บทสนทนาที่นักเขียนเคยได้ยินและโต้ตอบกัน แรงกระตุ้น ความหวัง และคำมั่นสัญญาต่อกัน เมื่อมาปรากฏอีกครั้งในรูปเรื่องแต่ง เรื่องสั้นหรือนิยาย อาจทำร้ายและกระทบกระเทือนใจบุคคลต้นแบบ ถ้าคุณรักและห่วงใยเขาหรือเธอมากพอ นักเขียนควรระมัดระวังและใส่ใจตรงจุดนี้อย่างยิ่งยวดด้วย

        ยิ่งเรื่องที่ลึกซึ้งส่วนตัวที่สุด ควรเก็บไว้ใกล้หัวใจที่สุด คุณไม่อยากทำร้ายคนที่คุณรักด้วยเรื่องเล่าของคุณ ใช่ไหม?

        คล้ายกับ ‘นี่เป็นเรื่องของเรา’ มันไม่มีความจำเป็นใดจะให้คนอื่นต้องรับรู้ด้วย ให้คนอ่านทั่วไปได้รับรู้เพียงด้านที่สวยงาม ส่วนด้านอัปลักษณ์กักขฬะนั้นควรเก็บไว้แก้ไขกันเอง อย่าไปรบกวนการรับรู้ของคนอ่าน อย่าเปิดเผยความเสื่อมเสียน่าอับอายให้คนอ่านเห็น

        ยิ่งเรื่องลึกซึ้งส่วนตัวที่สุด มันง่ายมากที่จะดึงบุคคลต้นแบบดิ่งลึกลงไปกว่าตัวบท และเหวี่ยงปฏิกิริยาทางอารมณ์ในด้านตรงข้าม เช่น เรื่องเล่าคุณสวยงาม (ก็เพราะเหตุการณ์ในความเป็นจริงนั้นมันน่าเสียใจ) คุณเขียนให้มันอ่อนหวาน (ได้อย่างไรทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงมันร้ายกาจมาก) ในความเป็นจริงเหตุการณ์นี้น่าประทับใจ (แต่คุณเขียนออกมาให้รับรู้ว่าคุณเสแสร้งและโกหก) สรุปคุณนักเขียน คุณเป็นใครกันแน่? ผู้บอกเล่าข้อเท็จจริง ความเป็นไป ความจริง คนโกหก ไม่จริงใจ หรือนักสร้างเรื่อง? 

        คุณเป็นทุกอย่างนั่นแหละ ใช้ธาตุทุกอย่างเพื่อประกอบขึ้นมาเป็นเรื่องเล่า และคุณก็ยอมรับที่จะเป็นตามนิยามที่เขาหรือเธอนิยามให้คุณเป็น คุณ ‘ยอมรับ’ ว่าทำให้เขาหรือเธอเสียใจเพราะเรื่องเล่า ในอีกด้านหนึ่งแล้วคุณก็ยอมรับ ว่าเขาหรือเธอทำให้คุณเสียใจที่อ่านงานของคุณแล้วรู้สึกเสียใจเช่นนั้น

        โปรดจงระมัดระวังและใส่ใจ โปรดจงระมัดระวังและใส่ใจ

 

        ในอดีต จะมีต้นฉบับชิ้นหนึ่งของนักเขียนซุกไว้ในลิ้นชัก สอดไว้ในชั้นหนังสือ เหมือนว่ามันไม่เคยมีอยู่ แต่ใกล้หูใกล้ตา เหมือนอยู่อีกกาลเทศะหนึ่งในพื้นที่เดียวกัน ต้นฉบับนั้นเขียนเสร็จแล้ว แต่รั้งรอไม่เผยแพร่ หน่วงเหนี่ยวคล้ายเฝ้ารออะไรสักอย่างจนแน่ใจถึงจะยอมตีพิมพ์ออกมา ต้นฉบับชนิดนี้สาธารณชนจะได้อ่านก็ต่อเมื่อบุคคลต้นแบบจากโลกนี้ไป หรือนักเขียนลาจากโลกไป ทางที่ดีคือคนเขียนต้องทำลายด้วยตัวเองขณะยังมีชีวิต แต่ก็เหมือนคุณกำลังบีบคอคนที่รัก ปล่อยให้ต้นฉบับหลอกหลอนคุณต่อไป การทำลายลงต่อหน้าต่อตาบีบหัวใจคุณเกินไป 

        ผมไม่คิดเลยว่าตัวเองต้องประสบกับภาวะเช่นนี้ ในวัย 44 ปี (หรือที่จริงถึงเวลาแล้วที่ต้องประสบกับภาวะเช่นนี้ก็เป็นได้) การเขียนคือความมหัศจรรย์ ทำให้ผมมีชีวิตชีวา หายใจเข้าออกเป็นการเขียน การเขียนไม่ใช่ทางออก และ/หรือคำตอบ และ/หรือการบำบัดเพียงอย่างเดียว แต่การเขียนคือกิจกรรม และ/หรือชีวิตประจำวัน การเขียนคือกระบวนการที่ผมทำประจำทุกวัน เพื่อที่จะเรียนรู้ เข้าใจตัวเองและสิ่งต่างๆ ด้วยท่าทีและทัศนคติของความรักและเอาใจใส่ ไม่ใช่ความชิงชังรังเกียจ เบื่อหน่าย และทำไปอย่างเป็นกลไก ผมจึงเชื่อว่าตนเป็นมนุษย์ที่วางใจได้ผ่านกิจกรรมทางการเขียน ไปพร้อมๆ กับตัวผลงานเขียนของตัวเองซึ่งบรรจุวัตถุประสงค์และเป้าหมายในฐานะที่เป็น ‘ผลผลิต’ ของกระบวนการเรียนรู้ ถ้าคุณเขียนสิ่งที่รู้อยู่แล้ว แน่นอนอยู่แล้ว กิจกรรมทางการเขียนก็คงขาดไร้ซึ่งชีวิตชีวา เหมือนส่งข้อสอบปรนัยให้ครูตรวจ ครูต้องการคำตอบตายตัวเดียว ไม่สนวิธีการหรือกระบวนการหรือประสบการณ์ที่คุณได้คำตอบนั้นมา การเขียนจึงคล้ายทำข้อสอบอัตนัยต่ออนาคตของคนเขียนเอง คุณเขียนด้วยความมุ่งมั่น คาดหวัง และฝันใฝ่ ใช้องค์ความรู้ ความเข้าใจต่ออนาคตของคุณ

        ดังนั้น ผมจึงเขียน เขียนเพื่อที่จะเข้าใจตัวเอง ชีวิต และความเป็นไป หากผมเคยหกล้ม ผมอยากเขียนถึงความผิดพลาด อะไรทำให้ผมหกล้ม สำรวจให้แน่ใจว่าเป็นความตั้งใจที่ผมจะล้มเองหรือไม่ แรงกระตุ้นและความปรารถนาที่ทำให้ผมหกล้ม รสชาติของความเจ็บปวด มีความรู้สึกอับอายเสียหน้าอยู่ด้วยไหม? ผมมองตัวเองอย่างไร คาดเดาไปว่าคนอื่นๆ มองเห็นผมอย่างไร นั่นคือสิ่งที่ผมเขียน จากประสบการณ์ชุดหนึ่งที่ผมได้รับจากการหกล้ม มุ่งเข้าสำรวจปรากฏการณ์และพฤติกรรม และสำนึกของเหตุการณ์ ผมเขียนไม่ใช่เพราะเข้าใจมันอยู่แล้ว แต่อยากเข้าใจมันมากขึ้น ไม่ได้เขียนเพราะอยากได้บทสรุป แต่เขียนเพื่อเสนอความหลายหลากและเป็นไปได้ มีภาวะเช่นนี้อยู่ พฤติการณ์เช่นนี้อยู่ ชีวิตเช่นนี้อยู่ อยากให้ผมและคุณได้อ่าน รับรู้มันอย่างไร ซับซาบเรื่องราวนั้น ‘คนหกล้มคนหนึ่งรับมือและจัดการกับการหกล้มนั้นอย่างไร’ เรื่องย่อมีแค่นั้น แต่ก็นั่นแหละ มันได้บรรจุความเข้าใจในช่วงวันวัยเช่นนี้ของผมลงไป ผมอาจเขียนถึงคนหกล้มมาทั้งชีวิต ต่างเนื้อหาและต่างรูปแบบกันไป แต่ความเข้าใจในเรื่องเล่าของตัวผมเอง ซึ่งอย่างน้อยแสดงออกผ่านวิธีการเขียนย่อมไม่เหมือนกัน 

 

        ผมเขียนนิยายเรื่องใหม่จบไปแล้วราวปีกว่า ปล่อยทิ้งไว้ปะปนกับไฟล์อื่นๆ ในโน้ตบุ๊ก เรื่องเล่านั้นปิดล็อกตัวมันเองจากทุกสิ่ง แม้แต่กับคนชิดใกล้ แม้แต่กับตัวผมเอง ปีกว่าที่ผ่านมาผมหลุดออกจากนิยายที่เขียนเสร็จไปไม่ได้ เหมือนถูกฉุดรั้งให้หวงและห่วง ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถไปพ้นจากมัน กล่าวคือเขียนงานชิ้นต่อไปก็ไม่ได้ ผมอยู่ในภาวะติดชะงักมาปีกว่าๆ เหมือนไม่ได้รับอนุญาต หรืออากาศปลอดโปร่งให้หายใจ ให้มีชีวิตต่อไป ผมหายใจไม่เต็มปอดมาปีกว่าๆ นั่นเป็นเหตุผลว่าผมจึงย้ายตัวเองไปทำงานวาดรูป เป็นจิตรกร ไปหาที่หายใจอื่นๆ ความปลอดโปร่งอื่นๆ แม้ตลอดห้วงเวลานั้นจะคิดถึงนิยายที่เพิ่งเขียนจบไปทุกวัน รอตัวเองเข้มแข็งมากพอจะกลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่หวงและห่วงและรัก อีกครั้ง

        ปีกว่านั้นผมพบว่าตัวเองปรับแก้นิยายเรื่องนี้ทุกวัน ในความหมายว่าทั้งเขียนและปรับแก้อยู่ในความคิด ค้นหากระบวนการที่ดีที่สุดให้กับเรื่องเล่านั้น “โปรดจงระมัดระวังและใส่ใจ… โปรดจงระมัดระวังและใส่ใจ” คล้ายสัมผัสที่ลูบหลังไหล่ คล้ายฝ่ามือที่ประคองแก้มผม อดทนและเฝ้ารอ บางคราวผมร้องไห้ บอบช้ำอัดอั้นใจ “คุณเห็นมั้ย ผมไปต่อไม่ได้!” ตวาดใส่ ระเบิดแหลกเหลวเงียบๆ ในอก และฟื้นตัวเองขึ้นใหม่

        ผมเขียนเพื่อสร้างชีวิตใหม่ขึ้นทุกวันผ่านการเขียน แต่คนเขียนต้องตายแล้วตายอีกเพื่อให้ได้ชีวิตใหม่นั้น… ทุกวัน

        ปีกว่าๆ ที่ผมรู้สึกเช่นนี้ แต่กาลเวลาก็คอยลูบหลังไหล่ผม อายุ 44 ไม่ใช่วัยที่ผมจะหวงและรักมากเกินไป เอาแค่ห่วงใยก็พอ ใช้ประสบการณ์ส่วนตัวมากไปก็หวงและรัก ล็อกเอาไว้จนไม่กล้าปลดปล่อยไป ถึงตรงนี้วิธีการวาดรูปช่วยผมได้มาก คุณใช้สายตาอีกแบบมองภาพวาดของตัวเอง แบบแรกตอนคุณจดใจจ่อวาดมันขึ้นมา อีกแบบคือตอนวาดเสร็จแล้ว ต้องถอยออกห่าง มีระยะกับภาพที่คุณวาด เพื่อที่สายตาของคุณจะได้มองเห็นภาพรวม

        ระยะที่ว่าคือหนึ่งปีกว่าๆ ของผม พร้อมแล้วที่จะปลดล็อกไฟล์ กลับไปเผชิญหน้ากับนิยายที่ยังไม่แล้วใจอีกครั้ง