ตินกานต์

Pain and Gain: วันหนึ่ง คุณอาจกลับมาขอบคุณช่วงเวลานี้ โดย ตินกานต์

คืนนั้น ฉันตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วร้องไห้

         เป็นคืนเงียบสงัด ต่างจากกลางวันที่ความสงบถูกกลบด้วยเสียงปึงปังดังจากไซต์ก่อสร้างด้านหลังที่อยู่อาศัย ห้องสว่างสลัวด้วยแสงจากเสาไฟฟ้าต้นใกล้ระเบียง ฉันมองตามทิศทางการมาของแสงนั้น แสงเหลืองส้มค่อยๆ พร่า ห้องเงียบเกินไป ความหวาดหวั่นต่ออนาคตในหัวของฉันจึงดังโหวกเหวกเกินทน

        ทีแรก เพียงสะอึกสะอื้น คิดว่าอาจเพราะข้างในตึงเครียดจนต้องหาทางสลายก้อนอารมณ์นั้น แต่แล้วฉันก็กลั้นไม่ไหว ปล่อยโฮออกมาจนต้องลุกขึ้นนั่ง ไหล่กระเพื่อม

        หากล้มตัวหลับแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย คงรู้สึกคลายใจ จะรีบหลับๆ ให้พ้นๆ ไม่ร้องไห้

 

        คาบเกี่ยวช่วงปลายปี 2560 และต้นปี 2561 ฉันไม่อาจเรียกตัวเองว่า ‘เป็นใคร’ ได้เลย คนอย่างฉัน คนที่เชื่อมาตลอดว่าการงานจะเป็นตัวบ่งบอกว่าเราเป็นใคร เรามีอะไรดี เราทำอะไรได้ เมื่อคนที่ให้ค่ากับงานไม่มีงาน ฉันจึงรู้สึกว่าตัวเองแทบไม่มีค่า

        แต่ถ้าจะให้บอกว่าเป็นอะไรสักอย่างจริงๆ ฉันก็คือคนตกงาน

        ฉันลาออกจากงานประจำในปลายปี 2557 แล้วเป็นฟรีแลนซ์รับงานทั่วไปเท่าที่สามารถ มีงานมาสู่มือฉันไม่ขาดช่วง ตรงตามทักษะที่มีบ้าง ต้องลองของใหม่กันบ้าง สนุกทำบ้าง ทำเพื่อเลี้ยงชีพบ้าง ภาคภูมิใจกับมันบ้าง รับค่าจ้างมาอย่างเงียบๆ บ้าง

        ชีวิตดำเนินไป แม้บางเดือนไม่มีรายรับเข้าบัญชีสักสตางค์ แต่ยังพอมีเงินที่ปันเก็บไว้ ไม่มากแต่ก็ช่วยให้รอดมาได้

        ต้นฤดูหนาวของปี 60 ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

        งานที่ตรงจริตค่อยๆ หดหาย งานที่พอมีให้ทำอยู่ก็ไม่ค่อยดีต่อใจ ฉันเริ่มรับงานดะ ไม่คัด ไม่กรอง ไม่ปฏิเสธงานที่มองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าเขาเอารัดเอาเปรียบ หรือรู้อยู่แก่ใจว่าไม่สนุกหรอกงานนี้ แต่ทำไงได้ บิลต่างๆ เดินทางมาตรงเวลาทุกเดือน 

        ฉันทำงานเท่าที่มีงานให้ทำ รายรับสวนทางกับรายจ่าย เงินเก็บถูกหยิบมาใช้ ฉันส่งงานชิ้นสุดท้ายของปี ทั้งที่ยังเหลืออีกตั้งเดือนกว่า กว่าจะหมดปี หลังจากงานชิ้นนั้น ฉันก็กลายเป็นคนว่างงานเต็มตัว และว่างเปล่าจนข้ามไปอีกปี 

        หากไม่มีงานก็คือไม่มีเงิน และสิ่งที่คนอย่างฉันไม่เคยกล้าทำคือขอหยิบยืมจากใคร แม้แต่จะบอกกล่าวคนใกล้ตัวหรือคนในครอบครัว ฉันยังไม่มีหน้า ในวัยเลข 3 ที่ถูกคาดหวังว่าควรจะมีการงานและการเงินที่เสถียร ฉันกลับทำได้เพียงเปิดฝาโอ่งรองน้ำฝนที่ตนกักตุนไว้ วิดน้ำในโอ่งดื่มกินจนเกือบเหือดแห้ง ขณะที่ท้องฟ้าของฉันแล้งฝนเข้าทุกที

        ฉันไม่เคยแสดงออกให้ใครรู้ว่าทุกครั้งที่เปิดโอ่งมองน้ำที่กำลังลดระดับ ฉันใจหาย ฉันกังวล ฉันหวาดกลัว คิดไปถึงการกลับเข้าสู่วงล้อมนุษย์เงินเดือนที่เคยพาตัวเองวิ่งหนีออกมาได้ เพราะเงินเก็บที่ร่อยหรอลงก็เรื่องหนึ่ง แต่โดยลึก ฉันรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองที่ถดถอยด้อยค่าตามไปด้วย

        ความรู้สึกเช่นนี้ช่างเจ็บปวด 

 

        คืนที่ฉันตื่นขึ้นมาร้องไห้ เป็นวันที่งานชิ้นหนึ่ง (ซึ่งฉันอยากทำมาก) ถูกยกเลิกไปด้วยเหตุผลด้านงบประมาณ ไม่ใช่แค่ฟ้าไม่มีฝน แต่ลมยังหอบเอากลิ่นความหวังเล็กๆ น้อยๆ ไปจากฉัน

        เสียงร้องไห้ปลุกคนข้างๆ ตื่น ฉันบอกเขา “กลัวไม่มีงานทำ”

        บ้าไปแล้ว แต่ฉันกลัวจริงๆ หลงลืมไปหมดสิ้นว่าเคยทำอะไรมาบ้าง เขียนอะไรมาบ้าง ไอ้ความคิดที่มักฝังหัวตัวเองว่า ‘จงอย่าเอาแต่ชื่นชมความสำเร็จเก่า’ มันคอยร้องบอกให้ฉันต้องรีบสร้างความสำเร็จใหม่อยู่เรื่อย

        “จะไม่มีงานทำได้ยังไง นอนก่อน พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาคิด” 

        ข้างในเบาลงด้วยประโยคสั้นๆ อาจเพราะฉันกล้าให้ใครคนหนึ่งรับรู้ถึงความไม่มั่นคงในใจของฉันแล้ว

        เหมือนคนจมน้ำที่จะทะลึ่งขึ้นมาหายใจในเฮือกสุดท้าย จะรอดหรือไม่ก็อยู่ที่สติในแรงฮึดลูกนั้น

        พ้นคืนที่ฉันปล่อยโฮ ปรากฏความรู้สึกหนึ่งพุ่งแทรกความกลัดกลุ้ม จู่ๆ ฉันก็อยากเขียน เขียนในที่นี้ไม่ใช่งานเลี้ยงชีพที่เคยทำ แต่เป็นการเขียนที่หล่อเลี้ยงความเป็นฉันมาทั้งชีวิต เสียงป๊อกแป๊กของพิมพ์ดีดยามจิ้มแต่งเรื่องสั้นในสมัยวัยรุ่นกลับมาดังก้องในหัว ความดีใจไชโยเมื่อครั้งที่งานเขียนชิ้นก่อนหน้าได้ตีพิมพ์เป็นเล่มหวนมาฉายชัด ที่ลืมไปแล้วว่าเราเคยเป็นใครก็พลันนึกได้ 

        ฉันรีบฉวยคว้าเฮือกสุดท้ายไว้

         ทะลึ่งโผล่พ้นผิวน้ำ กอบเอาอากาศเข้าเต็มปอด กอดความปรารถนานั้นไว้กับตัว แล้วออกแรงตะเกียกตะกายว่ายหาฝั่ง พอความอยากเขียนมันพลุ่งพล่าน ฉันก็เก็บตัวอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทันทีและแทบไม่เว้นวัน ไม่ใส่ใจปริมาณน้ำจ๋องแจ๋งในโอ่ง ลืมเรื่องฟ้าไม่มีฝน จดจ่ออยู่กับตัวหนังสือที่โปรยจากปลายนิ้วของตัวเองเท่านั้น

        ฉันเขียนเรื่องสั้น เขียนเรื่องความรัก

         การไม่มีการงานอื่นเข้ามารบกวนคือโอกาสที่ดีอย่างเหลือเชื่อในการเขียนงานของตัวเอง ความว่างจากเรื่องราวอื่นอนุญาตให้ฉันได้มีเวลาทบทวนมุมมองความรักที่ตนมี นึกถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าแก่ ยืนจังก้ากับตัวตนในอดีตที่น่าเกลียดเพื่อทำความเข้าใจ พิจารณาความเจ็บปวดที่ยังเป็นสะเก็ดแผล ดื่มด่ำทั้งความดีงามของรักและความแหลกสลายของความไม่รัก

        ฉันเอามันมาเขียนผ่านตัวละคร ผ่านเรื่องเล่า ที่อาจทั้งใช่และไม่ใช่ฉัน

        ราวสายน้ำล้นทะลักทำนบ ถ้อยคำในหัวหลั่งไหลออกมาไม่หยุด จากเรื่องแรก ไปยังเรื่องที่สอง เรื่องที่สาม ที่สี่ เขียนโดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องสั้นเหล่านี้จะไปลงเอยที่ไหน จะได้พิมพ์เป็นเล่มหรือเปล่า จะมีคนอ่านหรือไม่ 

        แต่ยามนั้นฉันรู้ตัวว่าตนรอดแล้ว รอดจากความรู้สึกไร้ค่า รอดจากใต้ท้องน้ำดำมืด การเขียนด้วยใจรักเป็นสรณะแก่ฉันผู้กำลังเคว้งคว้าง เป็นรังนุ่มเมื่อตระหนักว่าชีวิตที่ผ่านมาช่างไร้ซึ่งความมั่นคง เป็นโปรยฝนที่ชุบความหวังให้ฟื้นคืนมา

        คนข้างๆ ได้อ่านต้นฉบับแรกของฉันก่อนใคร

        “วันหนึ่ง คุณอาจกลับมาขอบคุณช่วงเวลานี้”

        ฉันจำคำที่เขาบอกขึ้นใจ 

 

        ปลายปีเดียวกันนั้น ‘ดอก รัก’ ได้พิมพ์เป็นเล่มในที่สุด ฉันได้ค่าลิขสิทธิ์งาน หนังสือได้รับรางวัล ตัวละครที่มีชื่อดอกไม้ของฉันได้เป็นที่รักของผู้อ่านไม่มากก็น้อย งานชิ้นนี้ยังเสมือนแสงสว่างที่ฉายมายังผู้หญิงคนหนึ่งคนนี้ที่เคยนั่งเขียนอยู่มุมเงียบ จูงเอางานเลี้ยงชีพอันชุ่มชื่นใจมาสู่ชีวิตด้วย ฝนกลับมาตกบ้างแล้ว โอ่งใบเล็กของฉันกำลังเริ่มกักเก็บน้ำฝนอีกครั้ง

        เวลามีคนถามว่าหนังสือเล่มนี้มีที่มาอย่างไร ฉันตอบเหมือนกันทุกทีว่าเป็นความรู้สึกอยากเขียนที่พลุ่งพล่าน ฉันตอบตามจริง แต่เป็นความจริงเพียงครึ่ง อีกครึ่งที่ไม่ได้บอกคือฉันต้องหาทางรอดจากความรู้สึกไร้ค่า ไม่รู้หรอกว่าฉันจะพลัดตกลงไปในท้องน้ำดำมืดอีกเมื่อไหร่ วันนั้นจะมีแรงตะกายขึ้นมางาบอากาศหรือเปล่าไม่รู้ ฉันยังวูบวาบอยู่ในความกังวลนั้นอยู่บ้าง กลัวฝนไม่ตกต่อเนื่อง กลัวโอ่งขาดน้ำ กลัวความรู้สึกไม่มีค่าหวนกลับมา

        เพราะไม่รู้อนาคต เราจึงกลัวอนาคต แล้วเราก็ยิ่งทุรนทุรายกับวันข้างหน้าไปล่วงหน้า 

        การผูกติดคุณค่าของตัวเองไว้กับการทำงานเป็นดาบสองคม ฉันรู้ แต่ก็ยังสลัดความคิดที่ว่า ‘งานจะบ่งบอกคุณค่าความเป็นเรา’ ออกจากตัวอย่างหมดคราบไม่ได้ แต่ความเข้าใจนี้ก็ลดความเข้มข้นลงไปมากแล้ว

        ถึงอย่างนั้น ฉันก็ต้องกลับไปขอบคุณความว่างเปล่าในช่วงเวลานั้นจริงๆ ขอบคุณความทะยานอยากที่ผุดขึ้นมาทันเวลา ขอบคุณแรงตะเกียกตะกายของตนเองในเฮือกฮึดสุดท้ายที่คว้าไว้ การเขียนหนังสือสำหรับฉันไม่เคยง่าย แม้บางครั้งมันจะไหลหลั่งราวน้ำหลาก แต่ในภาวะนั้น ข้างในของฉันทำงานอย่างหนัก รุนแรง บ้าคลั่ง ปั่นป่วน แต่นั่นทำให้ฉันรอด   

        ตามกลไกธรรมชาติ ต้นไม้บางสายพันธุ์จะออกดอกในหน้าร้อน ฤดูที่น้ำน้อย ไม่พอเพียงไปเลี้ยงใบ บางต้นไม่เหลือใบเขียวบนกิ่งก้านเลยด้วยซ้ำ ในสภาวะที่คล้ายกำลังจะตาย มันกลับผุดดอกตูมแล้วผลิกลีบบาน ในกลีบดอกมีเกสรที่พร้อมขยายพันธุ์

        ตายหรือ? ไม่ตายหรอก ซ้ำกลับงามสะพรั่ง