บ่ายแก่ๆ วันหนึ่งในเดือนเมษายน แสงแดดยังคงเจิดจ้าร้อนผ่าว บนท้องฟ้ามีกลุ่มเมฆบางเบาเคลื่อนผ่าน ใบของต้นไม้ใหญ่ไหวรับแรงลมที่พัดด้วยกำลังอันอ่อนแอ นกส่งเสียงร้องเคล้าคลอไม่เป็นจังหวะ แต่กลับชวนให้ผ่อนคลายเมื่อได้ยิน เขาและเธอนั่งหลบแดดอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้นั้น เป็นระยะเวลานานพอจนรับรู้และสัมผัสได้ถึงรายละเอียดของธรรมชาติในฤดูร้อน หลังจากเหน็ดเหนื่อยเพราะปั่นจักรยานเล่นด้วยกันมาตลอดทั้งวัน
“นานเท่าไหร่ที่เราไม่ได้มาปั่นจักรยานกันแบบนี้” เธอพูดพลางตามองไปยังพื้นหญ้าที่ถูกแดดแผดเผาจนแห้งซีดต่างกับต้นหญ้าสีเขียวใต้ร่มไม้ที่เธอนั่งอยู่
“สักสี่ปีได้ ก็ตั้งแต่เรียนจบ ม.ปลาย มีอะไรหรือเปล่า” เขาตอบพร้อมหันไปมองเธอด้วยความสงสัย
อันที่จริงทั้งคู่เป็นเพื่อนกันได้เพราะต้องนั่งติดกันในห้องซาวนด์แล็บ ซึ่งพวกเขามักจะแอบพกลูกอมรสเปรี้ยวหรือไม่ก็บ๊วยเค็มมาแบ่งกันกินแก้ง่วงในชั่วโมงเรียนยามบ่าย แถมยังเป็นคนรักความสนุกและชอบเล่นมุกตลกเหมือนกัน ในสายตาของเพื่อนๆ ต่างมองเห็นเขาและเธอเป็นคนอารมณ์ดี ใบหน้าเปื้อนยิ้มและเสียงหัวเราะอยู่เสมอ
แต่เวลาสามปีนั้นแสนสั้น เมื่อเรียนจบ ม.ปลาย แม้ว่าพวกเขาต่างแยกย้ายไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่สอบได้ มีชีวิตเป็นของตัวเองและเติบโตไปในเส้นทางที่เลือกเดิน แต่ทั้งสองคนยังคงติดต่อถึงกันไม่ขาดหาย โดยเฉพาะช่วงปิดเทอมฤดูร้อนเช่นนี้ ทั้งคู่จะกลับมาอยู่ที่บ้านอีกครั้ง นี่จึงเป็นช่วงเวลาแน่นอนที่เขาและเธอจะได้พบเจอกัน ก่อนจะกลับไปเรียนต่อเมื่อเปิดเทอมใหม่
“แค่นึกถึงสมัยก่อนน่ะ” เธอตอบ
“อ๋อ จำได้ไหมตอนนั้นน่ะ ที่เรา…” เขาชวนเธอรำลึกความหลังในวันเก่าๆ ทั้งคู่ผลัดกันเล่าเรื่องที่ยังจดจำได้แม่นราวกับว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานก่อน เสียงหัวเราะร่าอย่างมีความสุขของทั้งคู่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลบเสียงนกบนต้นไม้ ต่อให้อากาศในตอนนั้นจะร้อนแค่ไหนก็แทบไม่มีความหมายใดๆ สำหรับพวกเขาที่จดจ่ออยู่กับเรื่องราวแห่งความสุขในวันวาน จนกระทั่งเธอพูดออกมาว่า “มีอะไรจะบอก”
เขาผ่อนหัวเราะ รอฟังเรื่องขำขันจากเธออย่างตั้งใจ แต่ทุกอย่างผิดคาด เมื่อเขาได้ยินเธอพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ และจริงจังว่า “ปีที่แล้วเราคิดฆ่าตัวตาย” สัญชาตญาณบางอย่างเตือนเขาให้รู้ว่านี่ไม่ใช่การพูดเล่นหรือหยอกล้อ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเลือนหายไปในทันที เขารีบถามเธอถึงเรื่องราวก่อนหน้านั้น
“เราตัดสินใจว่าจะไม่อยู่อีกต่อไป” หัวใจของเขาบีบเต้นแรง
“เตรียมพร้อมทุกอย่าง” อากาศกลับมาร้อนผ่าว ฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“ไม่เคยรู้สึกสับสนแบบนี้ เราเป็นอะไรไป เรากำลังทำอะไรอยู่” ในช่วงวิกฤตของชีวิต สัญชาตญาณถามเธอว่าจะต่อสู้จนยิบตาหรือจะหนีสุดชีวิต
แค่เสี้ยววินาทีที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตไปตลอดกาล เธอฉุดรั้งร่างกายและหัวใจไว้ไม่ให้หลุดร่วงลงไปในความว่างเปล่า แล้วพาตัวเองออกไปให้ไกลห่างจากที่ตรงนั้นอย่างไม่รีรอ รู้ตัวอีกทีเธอก็เข้ามาอยู่ในห้องของใจ ที่ซึ่งกอบกู้ความรู้สึกปลอดภัยให้เธอได้ในตอนนั้น
เธอเผยบาดแผลแหว่งวิ่นที่เก็บงำไว้เพียงลำพังเพราะเคยหวังใจว่าวันหนึ่งมันจะสมานคืนสู่สภาพเดิมได้ แต่เมื่อเวลายิ่งผ่านไปเธอเข้าใจความจริงอันเจ็บปวด ทุกอย่างเรื้อรัง ลุกลาม และรุนแรง กลายเป็นรอยฉกรรจ์ที่กรีดลึงลงไปในใจ เมื่อเธอยอมรับว่าตัวเองกำลังบาดเจ็บ ตัวตนที่อ่อนแอเปราะบางเริ่มกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง
เขารับฟังทุกคำพูดที่เธอปลดเปลื้องออกมา แล้วยื่นมือเข้าไปจับอย่างระมัดระวังแต่หนักแน่นและมั่นคง เขามองตาของเธอพร้อมกับพยักหน้าอย่างช้าๆ แม้ว่าภายในใจยังคงสั่นสะเทือน และในหัวเต็มก็ไปด้วยคำถามมากมาย แต่เขาเลือกที่จะไม่เอ่ยคำใดๆ ในความเงียบงัน ทั้งคู่กลับได้ยินเสียงของกันและกัน
“ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วล่ะ ตอนนี้เราโอเคมากขึ้นแล้ว” เธอยิ้มให้
ในสายตาของเขา ไม่ได้มองเห็นเธอแค่ในฐานะเพื่อนอีกต่อไป แต่เป็นในฐานะผู้กุมหัวใจร้าวรานดวงเดียวกันกับที่เคยสะท้อนความสดใสในวัยเยาว์ ถ้าความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดคือส่วนหนึ่งของการมีชีวิตอยู่และก้าวผ่านไปสู่สิ่งที่เรียกว่าการเติบโต วันหนึ่งวันใดเขาอาจต้องทุกข์ทรมานอย่างโดดเดี่ยวเงียบเชียบไม่ต่างกัน
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม แดดร่มลมตก สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงตามวาระ เช่นเดียวกับบางอย่างภายในใจของเขาและเธอ หากส่วนหนึ่งของชีวิตประกอบสร้างขึ้นจากสิ่งรอบกายและความสัมพันธ์รอบตัว เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม แสงแดด ต้นหญ้าแห้งซีดหรือจะเขียวชอุ่ม และเรื่องราวใต้ร่มไม้ใหญ่นั้น ต่างสร้างความหมายใหม่ให้ชีวิต
เขาและเธอลุกยืนขึ้น ปัดเศษดินและใบหญ้าที่ติดบนฝ่ามือและกางเกง แล้วจูงปั่นจักรยานขึ้นเนินไปบนถนนเรียบราบ ก่อนจะจากกันเขาพูดกับเธอว่า “ไว้มาด้วยกันอีก”
เธอยิ้มตอบ ก่อนจะบอกกับเขาว่า “ขอบคุณนะ”
บ่ายแก่ๆ วันหนึ่งในเดือนเมษายน อาจเป็นวันธรรมดาในฤดูร้อนที่เวียนมาถึงแล้วผ่านไปอย่างไม่สลักสำคัญอะไร
แต่คงไม่ใช่สำหรับเขาและเธอ…