ทำความเข้าใจโลกธุรกิจและการเติบโตสู่ความสำเร็จของ แพรวไพลิน เอมอักษร Marketing Manager แห่งแบรนด์ Marimekko และ Jonathan Adler ประจำประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นด้วยความพยายาม ความตั้งใจ และความรัก เธอใช้เวลาหลายปีตามหาสิ่งที่ตัวเองชอบจนเจอ โดยยึดคติว่า ‘ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้น’
1st Step
เราเลือกเรียนวารสารศาสตร์เพราะอยากเป็นนักเขียน อยากทำงานนิตยสารมาก พอเรียนจบก็หางานทำ วันหนึ่งเราเดินผ่านบริษัทแห่งหนึ่งบนถนนพระอาทิตย์ เห็นว่าสวยดี ปรากฏว่าเป็นบ้านพระอาทิตย์ สำนักงานของ ASTV ก็เลยลองสมัครงานในตำแหน่งคนเขียนสคริปต์รายการทีวี ทำอยู่ได้ประมาณหนึ่งปี ก็อยากเปลี่ยนไปทำงานนักข่าวบันเทิง แต่ก็ยังไม่ใช่ทางที่ต้องการ เลยลองไปทำงานประชาสัมพันธ์
From 0 to 100
เราทำงานประชาสัมพันธ์ให้กับเครือเซ็นทรัลที่สอนเราตั้งแต่ 0 ไปถึง 100 เพราะงานประชาสัมพันธ์ไม่ใช่แค่การประชาสัมพันธ์อย่างเดียว มันมีหลายองค์ประกอบที่เราค่อยๆ เรียนรู้มาเรื่อยๆ แต่สุดท้ายงานสายนี้ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เราชอบที่สุด การเติบโตในอาชีพก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ สุดท้าย ได้งานใหม่ในตำแหน่งเดิมที่บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งที่นี่ทำให้เส้นทางการทำงานของเราได้เปลี่ยนแปลงไป
The Given Opportunity
เราโชคดีที่มีเจ้านายที่ให้โอกาสอย่าง คุณธนพงษ์ จิราพาณิชกุล เลยขอย้ายมาทำด้านการตลาด เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะทำงานอะไร เราจะให้ความสนใจเรื่องแบรนดิ้งเป็นพิเศษ เราเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของการตลาดคือทำยังไงก็ได้ให้คนนึกถึงแบรนด์เรา ในขณะที่แบรนด์เราก็ไม่ได้ละทิ้งความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งพูดกันตรงๆ มันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ
Learning Myself
เราชอบเรื่องแบรนด์มาตั้งแต่เด็กแล้ว เราอ่าน Vogue ฉบับภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ ม.3 สนใจแฟชั่น ชอบศึกษาเรื่องประวัติของแบรนด์ต่างๆ มาโดยตลอด ถึงแม้ว่างานก่อนหน้านี้จะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง แต่เราก็มองว่าสิ่งที่ทำคือแบรนด์แบรนด์หนึ่งที่ต้องนำเสนอไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่สูญเสียคาแร็กเตอร์ของตัวเองไปทั้งหมด เราเลยค่อยๆ เรียนรู้เรื่องแบรนดิ้งแบบทางอ้อมมาเรื่อยๆ จนได้มาทำงานที่ตรงสายในที่สุด
Better Late than Never
ถ้ามีความตั้งใจ อยากทำอะไรก็ทำได้ เราจึงเชื่อเสมอว่าไม่มีคำว่าสายกับการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ พรุ่งนี้เราอาจจะชอบอย่างอื่นแล้วลองทำเลยก็ได้ หรืออย่างน้องสาวเราเรียนศิลปะมา อยู่ๆ อยากทำเบเกอรี ตอนนี้ทำเบเกอรีเก่งมาก ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรานะ พรสวรรค์ก็ส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เมื่อไหร่ที่เราฝึกฝนทำสิ่งใดจนชำนาญแล้ว นั่นแหละคือวิชาชีพที่เราได้มาโดยไม่รู้ตัว
Role Models
เรื่องการงานเรายกให้เจ้านายเป็นตัวอย่าง เขาไม่ได้ให้แค่โอกาส แต่มีความเข้าใจด้วย เพราะถ้าให้แค่โอกาสอย่างเดียวเขาจะผลักเราไปในทิศทางอื่น ส่วนเรื่องชีวิตเราชอบความคิดของ เป็นเอก รัตนเรือง เขาเคยพูดไว้ว่า ‘คนที่มีรสนิยมดี คือคนถ่อมตัว ใช้ชีวิตเรียบง่าย และมีความพอดีในชีวิต’ ซึ่งตรงกับที่เราคิด แบบนี้คือ good taste ของจริงที่มากกว่าการถือแบรนด์เนมใดๆ ในโลก
Living in Reality
เรามองโลกตามความเป็นจริง ใช้ชีวิตบนความเป็นจริง ถ้าสังคมมันโหดร้ายก็บอกว่าโหดร้าย เราไม่ต้องไปบอกว่ามันดี สำคัญที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความโหดร้ายนั้นได้ยังไงมากกว่า หรืออย่างเรื่องความเรียบง่าย ซึ่งของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันนะ ชีวิตเรียบง่ายไม่ได้แปลว่ามีของแบรนด์เนมไม่ได้ แต่มันอยู่ที่ความพอดี ถ้าคุณมีเงินแสนจะซื้อกระเป๋าใบละ 5 หมื่นก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้ามีเงินแค่ 5 พัน แบบนี้คือความไม่พอดีแล้ว
Having the Courage to Fail Big
‘จงกล้าหาญถึงแม้จะพบว่ามีหนทางที่เราจะล้มเหลว’ คือสิ่งที่เราอ่านมาจากหนังสือของมาริเมกโกะ และยังนำมาใช้กับตัวเองจนถึงทุกวันนี้ เราเคยทดสอบทฤษฎีนี้อยู่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นต้องนำเสนองานให้กับเจ้านายทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็เจ๊ง แต่ถ้าไม่ทำมันจะติดใจไปตลอด เลยตัดสินใจลุยเต็มที่จนผ่าน มันเลยสอนว่า อย่ายอมแพ้ถ้ายังไม่ได้ลอง เราอาจจะชนะก็ได้ใครจะรู้