ลวดลายเส้นสายของงานศิลปะจีนนั้นส่วนใหญ่เป็นการวาดรูปเชิงสัญลักษณ์ ที่สื่อความหมายถึงสิ่งที่เป็นมงคล การอวยพร อำนาจบารมีหรือการขอให้มีอายุยืนยาว มีสุขภาพพลานามัยที่ดี ผ่านสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติประกอบกับจินตนาการจากความเชื่อโบราณ เช่น สัตว์ในเทพนิยายหรือเทพเจ้าผู้คุ้มครององค์ต่างๆ
สำหรับบ้านเราศิลปินที่ใช้เส้นสายอันอ่อนช้อยและผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรมจีนเข้ากับผลงานของตัวเองอย่างกลมกลืน คนแรกที่เรานึกถึงคือ Pomme Chan หรือ ธัชมาพรรณ จันทร์จำรัสแสง นักวาดภาพประกอบที่มีผลงานโดดเด่นจนได้รับเชิญให้ไปทำงานร่วมกับแบรนด์สินค้าระดับโลกมากมาย รวมถึงการได้รับเลือกเป็นหนึ่งในศิลปินที่ออกแบบโปสเตอร์งานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 87 (2015) มาแล้ว
หลายคนคงรู้จัก Pomme Chan ในแง่มุมของศิลปินนักวาดภาพประกอบ และเรื่องราวของเธอกันมาบ้างแล้ว วันนี้เราได้ชวนเธอมาคุยในอีกด้านหนึ่งถึงวิธีคิด การมองโลก และจุดเปลี่ยนของตัวเองจากคนที่เคยยึดมั่นถือมั่นในอดีต กลายเป็นคนใหม่ที่ละลายอัตตาของตัวเอง เพื่อมุ่งไปสู่การเรียนรู้และเติบโตครั้งใหม่อีกครั้งในฐานะศิลปินไร้นาม ฟังแล้วอาจดูเหมือนเรื่องราวในหนังจีนกำลังภายในแต่เรายืนยันว่านี่ไม่ใช่เรื่องแต่ง แต่เป็นบทสนทนาที่ให้แง่คิดกับเราในการเอาเคล็ดวิชาของเธอไปประยุกต์ในการใช้ชีวิตได้
ผลงานที่ผ่านมาของคุณมีการใช้ศิลปะของจีนเข้ามาร่วมจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ดังนั้นในแง่ของศิลปินคุณคิดว่า ความเป็นจีนนั้นไหลวนอยู่ในตัว Pomme Chan แค่ไหน
เมื่อก่อนเราเคยคิดว่าตัวเองมีเชื้อสายของคนจีนอยู่ในตัวค่อนข้างมาก เพราะคุณพ่อเราท่านมีความเป็นคนจีนอยู่สูง แต่ตอนหลังเรามารู้ว่าตัวเองมีเชื้อจีนอยู่แค่ 25% เท่านั้นเอง (หัวเราะ) แต่ความเป็นจีนของเราก็มาจากคุณพ่อ เพราะท่านจะปฏิบัติตามธรรมเนียมของคนจีนมาตั้งแต่เราเป็นเด็กไม่ว่าจะเป็นเทศกาลเชงเม้ง ตรุษจีน สารทจีน แต่เราก็ไม่เคยเข้าร่วมพิธีการอะไรเหล่านี้ เพราะคุณแม่เป็นคนไทยและมีแนวคิดไปทางตะวันตกมากกว่า บ้านเราจึงมีสองวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกัน คุณพ่ออยากสอนภาษาจีนให้เรา แต่คุณแม่อยากสอนภาษาอังกฤษ คุณพ่ออยากให้กินข้าวแล้วใช้ตะเกียบ แต่คุณแม่อยากให้ใช้มีดกับส้อม เราจึงเป็นเด็กที่ต้องอยู่ท่ามกลางความแตกต่างนี้ เมื่อไหร่ที่คุณแม่ซึ่งท่านเป็น
วิธีคิดของสองวัฒนธรรมนั้นแตกต่างกันมากๆ คุณรับการสืบทอดอะไรจากครอบครัวมาบ้าง
คำสอนนั้นแตกต่างในทุกหมวดหมู่เลย เช่น คุณแม่บอกว่าให้ทำอะไรเอาแต่พอดี แต่คุณพ่อจะบอกว่าค่าของคนคือผลของงาน คนเราต้องทำงานหนัก ถ้าจะตายก็ตายคาโต๊ะไปเลย ส่วนฝั่งคุณแม่จะเลี้ยงดูมาโดยคุณยายที่ท่านนั่งร้อยมาลัยชิลๆ (หัวเราะ) ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราแล้วที่จะปรับสมดุลของสองวัฒนธรรมนี้ ดังนั้นทุกอย่างที่เราซึมซับมาจากทั้งสองฝั่ง เราก็แค่เลือกสิ่งที่เราชอบ ทำในสิ่งที่รู้สึกว่าไม่ฝืนใจ เช่น พิธีการกราบไหว้ของคนจีน เราก็ไม่ได้เข้าร่วมมากนัก แต่ความเป็นจีนที่โดนเราจริงๆ คือเรื่องของอาหาร และเป็นสิ่งที่เราชอบโดยไม่รู้ตัวมาตลอด มารู้จากการคุยกับน้องๆ ที่ออฟฟิศด้วยกัน ซึ่งเราเชื่อมาตลอดว่าตัวเองชอบอาหารญี่ปุ่น แต่น้องๆ บอกว่า ไม่ใช่เลย เราชอบอาหารจีน เราจะสั่งอาหารจีนมากินบ่อยมาก (หัวเราะ) และสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมของจีนที่ชัดมากคือ ฮวงจุ้ย ซึ่งเราอินกับเรื่องนี้มาก เพราะศาสตร์นี้มันถูกพัฒนาผ่านประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เป็นเรื่องของการพูดถึงทิศ ธาตุ เรื่องของกระแสลม น้ำ ดวงดาว จักรวาล องค์ความรู้เหล่านี้กลายเป็นฮวงจุ้ย และต่อยอดมาเป็นโหวงเฮ้ง และศาสตร์อื่นๆ ของจีน
ดังนั้นสิ่งที่เป็นศาสตร์ของจีนทั้งหมดจึงทำให้เราทำ ‘Sirimongkol Exhibition‘ ขึ้นมาในปี 2016 ซึ่งเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่างานของเราเป็นการผสมผสานคความเป็นไทยและจีนเข้าไว้ด้วยกัน เราสามารถอยู่กับสองวัฒนธรรมอย่างกลมกลืนด้วยกันได้ เหมือนที่เขาพูดกันว่า ‘ไทยจีนพี่น้องกัน‘ จุดที่แตกต่างคือ คนจีนขยันกว่าเท่านั้นเอง ย้อนกลับไปที่ Sirimongkol Exhibition ก็เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นไทยกับจีน คำว่าสิริมงคล คือชื่อไทย โดยนิทรรศการนี้เป็นการวาดรูป 12 นักษัตร ซึ่งนักษัตรนั้นก็มาจากจีน เราก็ค้นคว้าหาจุดที่มีร่วมกันของนักษัตรไทยกับจีนและถ่ายทอดออกมา ที่พูดถึงงานชุดนี้เพราะเป็นผลงานที่สะท้อนความเป็นจีนในตัวเรามากๆ
สิ่งที่หลายคนไม่รู้นั่นคือ ลายเส้นสวยๆ พวกนี้ไม่ได้ติดตัวคุณมาตั้งแต่แรก
(หัวเราะ) เราไม่ได้เป็นคนที่วาดรูปมาตั้งแต่เด็ก เราไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ เราคือเด็กเนิร์ดที่เก่งคณิตศาสตร์ จนวันหนึ่งเราถูกทำลายความมั่นใจของตัวเองจนหมด ตอนนั้นเราเรียนอยู่ชั้นม.4 จากคนที่เคยทำคะแนนท็อปของห้องมาตลอด อยู่ๆ เราสอบตก วันที่เราต้องสอบซ่อมข้อสอบที่ต้องทำคือ โจทย์ข้อสอบโอลิมปิกเลข นั่นมันใช่ข้อสอบซ่อมจริงๆ เหรอ เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้สึกท้อแท้ จนตอนที่จะเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย เราดูคณะที่ไม่ใช้วิชาเลขในการสอบคัดเลือกเลย ตอนนั้นเราตัดเรื่องคณิตศาสตร์ออกไปจากชีวิตเลย และก็หันเหไปในการเรียนศิลปะ เราก็เริ่มฝึกฝนตัวเองในการวาดรูป ซึ่งเราไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านนี้เลย เราฝึกฝนตั้งแต่การวาดเส้นให้ตรง วาดวงกลมให้กลม ฝึกเหลาดินสอ เพราะถ้าเรามีเครื่องมือที่ดี เราจะทำงานได้ดีขึ้น ถ้าดินสอเราคมเราจะบริหารการลากลายเส้นได้ดีขึ้น เหมือนเรามีคอมพิวเตอร์ที่ดี เราก็อาจจะจบงานไฟล์ใหญ่ได้ง่ายกว่าเพื่อน สิ่งนี้คือข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ เหมือนกับการที่เรามีสมาธิ เราก็สามารถทำอะไรได้ดีได้ไวสิ่งนี้คือเรื่องจริงล้วนๆ
ความคิดนี้ขัดแย้งกับสำนวนที่บอกว่า ‘กระบี่อยู่ที่ใจ แค่กิ่งไผ่ก็ไร้เทียมทาน‘ เหลือเกิน
เราว่าไม่ใช่ เพราะทักษะกับอุปกรณ์ต้องมาคู่กัน ถ้าเราใช้สีน้ำที่ไม่ดีวาดยังไงก็ไม่ดี และเราก็ทำสีน้ำขึ้นมาเองไม่ได้ สำหรับเราการจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้ หรือทำอะไรได้ดีจริงๆ เราต้องการสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมรวมถึงอุปกรณ์ จิตใจ สติ สมาธิ และองค์ประกอบรอบข้าง ลองคิดดูสิว่าถ้าเรากำลังวาดรูปอยู่ในบ้านที่น้ำท่วม เราก็วาดได้ไม่ดีเท่าคนที่นั่งอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ เป็นต้น
แต่เราเป็นคนที่พยายามทำอะไรแล้วต้องทำให้สุดเรียกแบบนี้ดีกว่า ตอนจะสอบเอ็นทรานซ์เราเหมือนเป็นคนบ้าเลย เราฝึกวาดรูปตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงตี 2 สลับโจทย์ให้ตัวเองไปมา เราสอบเทียบม. 6 ได้แล้ว ดังนั้นเราใช้เวลา 9 เดือนเพื่อฝึกฝนตัวเอง เดินไปหารุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรให้เขาช่วยสอนวาดรูปให้ ซึ่งในตอนนั้นเรายังไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทำให้เราไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร ดังนั้นใครจะทำอะไรเราไม่รู้ เรารู้แค่เราจะมุ่งไปทางนี้ นี่คือทางเลือกเดียวของเราในตอนนั้น
วันนั้นคุณมองไปยังอนาคตด้วยไหมกับเส้นทางนี้ ซึ่งตัวคุณเองก็เพิ่งยอมแพ้กับคณิตศาสตร์ที่ตัวเองทำได้ดีมาตลอด
ต้องรอดค่ะ เราไม่กลัว เราเป็นคนเชื่อมั่นกับการพยายามที่ไม่สิ้นสุด ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ ยังไงเราก็ทำได้ การที่เราเก่งวิชาเลข เป็นการทำให้คุณพ่อสบายใจ ที่ผ่านมาเราทำเพื่อคนอื่น คณิตศาสตร์ไม่ได้ตอบเสียงที่อยู่ในใจของเรา จนเจอกับศิลปะที่ทำให้เราพบว่าตัวเองอยากทำ อยากสนุกกับมัน และการเรียนคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก็เชื่อมโยงกับงานที่คุณพ่อทำด้วย เพราะท่านทำเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ด้วยความที่เราเป็นคนติดพ่อ เราก็ยังอยากทำอะไรให้พ่อภูมิใจ เราจึงได้รับความรู้จากท่านมาเยอะ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องการทำงาน ซึ่งได้รับจากคุณพ่อมาตรงๆ ในการทำงานที่แข็งแกร่ง ดุดัน ฉับไว แล้วก็เป๊ะ ซึ่งความดุของท่านนี้คือ ระดับที่ว่าถ้าเราขึ้นรถไปโรงเรียนช้า 5 นาที กลับมาที่บ้านตอนเย็น พี่ยามจะบอกเราว่า คืนนี้ 3 ทุ่ม คุณพ่อเรียกประชุม ซึ่งเราจะรู้ทันทีว่าตัวเองต้องเลือกแล้วระหว่างไม้เรียวกับไม้บรรทัด (หัวเราะ) แต่สิ่งที่คุณพ่อทำก็ฝึกให้เราเป็นคนที่ตรงต่อเวลามากๆ
เรื่องการตรงต่อเวลาของคุณ เราได้ยินมาเหมือนกันว่าเคร่งครัดจริงๆ
ใช่ แต่ตอนนี้เราผ่อนคลายลงมากแล้วนะ (หัวเราะ) แต่ที่ยกตัวอย่างเรื่องการถูกทำโทษแค่สาย 5 นาที เพื่อจะหมายความว่าเราก็ถูกทำโทษจากเรื่องอื่นๆ ด้วย ไม่ได้มีแค่เรื่องขึ้นรถไปเรียนสายเท่านั้น เราเคยถามคุณพ่อก่อนที่ท่านจะเสียว่าทำไมถึงเลี้ยงเราด้วยวิธีนี้ เพราะตอนเราไปเรียนต่อที่อังกฤษ ที่นั่นเขาไม่มีวัฒนธรรมแบบนี้เลย คุณพ่อตอบเราว่า นั่นเป็นวิธีเดียวที่เขารู้ จากที่เราไม่เคยเข้าใจคุณพ่อมาตลอดเมื่อได้ยินคำตอบนี้ ทุกอย่างที่เราสงสัยถูกปลดลงหมดเลย คำตอบของเขาบอกเราได้ทุกอย่างกับเรื่องอื่นๆ คนที่ไม่เคยเป็นพ่อมาก่อน เมื่อต้องเป็นพ่อคนเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องเลี้ยงลูกอย่างไร หรือต้องทำโทษเด็กยังไง เขาก็เลี้ยงลูกตามที่เขาได้รับการสืบทอดมา ซึ่งคุณปู่เราก็มีความเป็นคนจีนกว่าพ่อเราอีก ปู่ก็ถ่ายทอดมาที่พ่อ พ่อก็ถ่ายทอดให้เรา โดยที่คุณพ่อก็ไม่รู้ว่าที่ทำไปนั้นดีหรือไม่ดี ถูกหรือไม่ถูก 30-40 ปีที่แล้ว ตอนนั้นไม่มีโซเชียลมีเดีย ไม่มียูทูบ เขาก็ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไร เราจึงเข้าใจว่าทั้งหมดคือแค่นี้เอง แล้วก็ไปเลือกเอาเฉพาะข้อดีที่ได้รับมาปรับใช้
เมื่อคุณฝึกฝนตัวเองจนสำเร็จแล้ว พร้อมรับมือกับการถูกเฆี่ยนตีจากชีวิตจริงๆ ไหม
ชีวิตเราจะเหมือนกับถูกเฆี่ยนตี จะรู้สึกเหมือนอยู่บนที่สูง ที่ต่ำ หรือที่ราบ เราต้องแข่งกับคนอื่นหรือไม่แข่งอยู่ที่วิธีคิดของเรา ทั้งหมดคือมุมมองที่เราจะมองว่าวงการ Illustration มีคู่แข่งเยอะมากก็ได้ หรือจะมองว่าเรามีเพื่อนในวงการเยอะมากก็ได้ ดังนั้นเป้าหมายของเราจึงไม่ใช่เรื่องเงิน ซึ่งก็คิดว่าตัวเองโชคดีที่ไม่คิดแบบนั้น เพราะถ้าเป้าหมายของเราคือทำงานเพื่อเงิน เราก็จะหาเงินไปแบบไม่มีวันสิ้นสุด ตัวเลขมันสามารถวิ่งต่อไปได้เรื่อยๆ เป้าหมายของเราคือ การทำให้งานภาพประกอบสามารถเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนได้เยอะที่สุด เราอยากทำผลงานที่สวยงาม มีคนชื่นชอบ สามารถผลิตผลงานออกมาได้เรื่อยๆ ไม่ใช่การทำออกมาเพื่อให้ผลงานขายได้
วิธีคิดนี้อาจจะใช้ไม่ได้กับน้องๆ ที่เพิ่งเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวหรือเปล่า
เรื่องนี้เราก็คิดถึงทีมงานเหมือนกัน เราจึงพยายามให้อิสระกับทีมมากขึ้น เพราะในองค์กรเราไม่ได้มีแค่ฝ่าย creative ยิ่งตอนนี้แบรนด์ Pomme Chan ขยายตัวเป็นธุรกิจของแต่งบ้านด้วย เรามีงานอื่นๆ ที่ต้องทำนอกจากงานเชิงพาณิชย์ งานที่เป็นโปรดักส์ของเราจึงถูกมอบหมายให้กับทีมงานฝ่ายต่างๆ ให้ช่วยกันคิดวิธีดำเนินธุรกิจ การที่เรายกหน้าที่เหล่านี้ให้คนอื่นดูแลเพราะเราพอใจกับการได้สร้างผลงานออกมาแล้ว ส่วนแผนการด้านอื่นๆ ก็ยกให้ทีมช่วยกันประชุมและหาทางต่อยอดไปด้วยกัน
ก่อนหน้านี้เราก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องมีทีมงาน เพราะเราไปอยู่อังกฤษถึงสิบปี ก็ทำงานเป็นฟรีแลนซ์มาเรื่อยๆ จนปี 2013 กลับมาอยู่ประเทศไทย ต่อมาก็มีน้องขอมาฝึกงานด้วย แล้วมากันที 5-6 คน (หัวเราะ) ก็เลยลองทำงานกันเป็นทีมดู แต่กลายเป็นว่าเราเป็นหัวหน้าที่แย่มากๆ ทำตัวเป็นเจ้านายที่ไม่มีความเป็นผู้นำ พูดจาเอาแต่ใจ ใช้อารมณ์รุนแรง มีความคาดหวังต่อผู้คนที่สูงมาก ทำน้องๆ ในออฟฟิศร้องไห้เกือบทุกคน โดยที่เราไม่รู้ตัว และไม่รู้ด้วยว่าเขาร้องไห้แล้วก็ยังไปเรียกให้เขานั่งรถกลับบ้านด้วยกัน ตอนนั้นเราเป็นคนที่ไร้ซึ่ง empathy หรือ kindness เลย เรามองไม่เห็นตัวเองเลย เพราะไม่มีใครกล้าบอกเราและเราไม่ได้อยากที่จะเห็นตัวเองด้วย ในวัยนั้นเราทำตัวไม่น่ารักเลย
จุดเปลี่ยนของคุณเกิดขึ้นตอนไหน
เราเป็นคนแบบนั้นวนเวียนอยู่ประมาณสองปีกว่า เป็นช่วงที่เริ่มประสบความสำเร็จแล้วด้วย จนกระทั่งมีน้องคนหนึ่งที่ทำงานกับเรามานานขอลาออก เขาเป็นเด็กที่เดิมทำอะไรไม่ค่อยเป็น ต่อมาเขาได้กลายเป็นกำลังสำคัญของเรา เรารักเขามาก ผูกพันกับเขามาก แต่เรากลับสอนเขาด้วยวิธีเหมือนกับการใช้ไม้เรียวแบบที่เราเคยเจอมา เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่เรารู้เหมือนกันในตอนนั้น เราไม่รู้เลยว่าวิธีสอนนั้นมีวิธีอื่นด้วย จนวันที่เรารู้ว่าเขานั่งมอเตอร์ไซค์กลับบ้านแล้วเขาร้องไห้ไปด้วย เรารู้สึกเจ็บปวดมาก เราเสียใจที่ทำให้น้องคนหนึ่งที่เรารักต้องเสียใจ เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขารู้สึกอย่างไร เราไม่เคยเห็นเขาร้องไห้ในออฟฟิศ เราไม่รู้อะไรเลย พอมารู้ทีหลังเราคิดในตอนนั้นเลยว่าไม่ได้แล้วต้องเปลี่ยนตัวเอง เราไม่ชอบเลย ที่ทำให้น้องที่เรารักรู้สึกแบบนั้น แล้วมันอาจจะเป็นปมในใจของเขาต่อไป หรือแม้กระทั่งจะกลายเป็นปมในใจน้องที่เคยอยู่หลายๆ คน ทุกครั้งที่เราเจอน้องๆ ที่เคยทำงานด้วยกันในตอนนั้น เราจะขอโทษเขาเลยนะ เราบอกกับเขาแบบเปิดใจเลยว่าขอโทษที่เราไม่สามารถเป็นคนที่ดีกว่านั้นในตอนนั้นได้เราไม่รู้วิธี สิ่งนี้จึงเป็นกระบวนการหนึ่งที่เราเรียนรู้ต่อมาจากคนรอบตัว เมื่อทีมใหม่เข้ามา พวกเขาก็ค่อยๆ สอนเรามากขึ้น ตบเราให้เข้าที่เข้าทาง พวกเขาสอนให้รู้จักการอยู่ร่วมกับคนอื่นให้ได้อย่างร่มเย็น
ทำไมถึงคิดว่าต้องเปลี่ยนเพื่ออยู่ร่วมกัน ในเมื่อเราก็เหมือนคนที่มีอำนาจมากที่สุดเป็นผู้ปกครองทุกอย่างภายใต้โลกของตัวเอง
เพราะมันไม่สนุกเลยกับการเป็นผู้สั่งการต่อคนเหล่านั้น เมื่อเขาทำงานด้วยความกลัว บรรยากาศก็จะไม่มีความน่ารัก ไม่นุ่มนวล เราเชื่อว่าเวลาอยู่ด้วยกัน ความกลมกล่อมคือความเสมอภาคเท่าเทียม เรายอมรับเรื่อง Freedom of Speech ที่ใครจะพูดอะไรก็ได้ ถ้าเราคอมเมนต์น้องได้ น้องๆ ก็ต้องคอมเมนต์เราได้ด้วยเช่นกัน ด้วยความสุภาพ และให้เกียรติกันตามกาลเทศะ เราควรจะสามารถเปิดกว้างและถกเถียงกันได้ในหลายๆ เรื่อง
วันนี้มีโอกาสได้ดูงาน Installation Art ของคุณ และชอบแนวคิดของ GATE OF BLESSING ที่คุณบอกว่าสร้างเรื่องราวให้กระต่ายตัวนี้ลงมาพักที่โลกหลังจากทำงานติดต่อมานานถึง 12 ปี
(หัวเราะ) ใช่ไหม เราจะทำงานหนักตลอดไปได้อย่างไร ในเมื่อเรามีทีมงาน แต่งานชุดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าทีมงานไม่ช่วยกันแต่งเนื้อเรื่องขึ้นมา ทุกงานของเราเกิดจากการโยนไอเดียให้กันและทำงานที่สอดประสานกัน การทำงานร่วมกันโดยเฉพาะงานลูกค้า เวลาที่เราส่งดราฟต์ให้ลูกค้าดู ต้องมาพร้อมเรื่องราวหรือมาพร้อมคอนเซ็ปต์ด้วยตั้งแต่ต้น ดังนั้นงานต้องถูกคิดขึ้นมาพร้อมๆ กัน การทำงานกับทีมทุกวันนี้ว่าจะรับโปรเจกต์ไหนก็ตามขึ้นอยู่กับทีมงานด้วย เราจะมีการประชุมและโหวตกันว่างานชิ้นนี้มีความท้าทายแค่ไหน การทำงานโปรเจกต์นี้ตัวเขาได้เรียนรู้อะไรด้วยไหม เขาสนุกและอยากทำหรือไม่ หรือกระทั่งตัวงานตอบโจทย์ของเราและทำให้เราพัฒนาตัวเองขึ้นด้วยไหม แต่ถ้าเป็นงานส่วนตัวของตัวเองบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องมีเนื้อเรื่องก็ได้ เพราะมันจะเป็นสิ่งที่เรามองเห็นโลกใบนี้ว่าเป็นอย่างไร
เพราะเหตุนี้หรือเปล่าทำให้เราพบว่าเส้นสายของ Pomme Chan จึงอ่อนช้อยขึ้นเรื่อยๆ
เราคิดว่าลายเส้นน่าจะคลี่คลายมากขึ้น แต่ไม่รู้หวานขึ้นไหม เพราะเราไม่ค่อยชอบทำงานแบบเดิมไปเรื่อยๆ เราพยายามหาวิธีที่จะ twist twist และ twist งานของตัวเองเสมอ โดยเฉพาะงานที่เป็นภาพจำของคน ส่วนนิสัยไม่ดีที่เรายังมีอยู่คือ ลึกๆ เราเป็นคนกวนตีน และเราชอบกวนตีนลูกค้าด้วยการหักมุม (หัวเราะ) และสิ่งที่เราชอบทำคือ การลบงานของตัวเองทิ้ง เช่น ผลงานของ Pomme Chan ที่กำเนิดจาก fashion illustration ตั้งแต่ปี 2002~2003 เราก็ลบมันทิ้งไป พอปี 2005 เราก็ไม่วาดรูปคนอีกเลย เราไปวาดรูปตึกหรือ Typography ทีนี้พอมาดูงานปัจจุบันของเรา ตอนนี้ก็จะไม่ค่อยเห็นรูปคึกเท่าไหร่แล้ว เราเป็นคนที่ชอบสร้างและทำลายมัน เอาออกไปจากเว็บไซต์เลย (หัวเราะ)
ไม่เสียดายผลงานเก่าๆ บ้างเลยเหรอ
ไม่เลยค่ะ เพราะทุกอย่างสร้างใหม่ได้ เราสร้างใหม่แล้วสนุกกว่า การที่เรายิ่งโอบอุ้มของเก่าๆ อยู่แล้วเชิดชูมัน เราอายจริงๆ นะ แต่ถ้าเป็นคนอื่นต้องถามตัวเองก่อนว่าคุณแคร์ไหม มันจำเป็นไหมที่ทุกคนต้องรู้จักเราหรือเปล่า เราแอบบอกว่าตอนนี้เราสร้าง Instagram ใหม่ของตัวเองขึ้นมา โดยจะเป็น illustrator หน้าใหม่ ที่มีผลงานอีกสไตล์ และเราจะไม่บอกว่านั่นคือเรา เป็น anonymous ที่ไม่มีใครรู้ว่า นั่นคือ Pomme Chan เราชอบท้าทายกับโลกใบใหม่ เราชอบ create แล้วก็ delete แล้วก็สร้างใหม่แล้วก็ delete แล้วก็สร้างใหม่อยู่เสมอ ทำให้เราจะไม่ค่อยเหลืออัตตา ความภูมิใจหรือถ้วยรางวัลไว้ให้กดดันตัวเอง ทำแบบนี้แล้วเรารู้สึกว่าตัวตนของเราบางลง และรู้สึกโล่งที่ไม่ต้องยึดติดความสำเร็จไว้
แต่เราก็ยังไม่ถึงกับละอัตตาของตัวเองได้หมด ตอนนี้ก็ยังมีมีความเป็นตัวเองอยู่ แต่โชคดีที่เรามองเห็นมัน ซึ่งเราว่าการมองเห็นตัวเองสำคัญ เราต้องมองให้เห็นก่อนว่าตัวเองมีข้อดีข้อเสียอะไรแล้วมันใหญ่แค่ไหน เมื่อรู้แล้วก็เอามาปรับใช้กับการทำงานที่นำไปสู่การหาสมดุล เรามีทีมบริหารจัดการ มีเรื่องของการจัดการทรัพย์สิน เรื่องศิลปะ เพราะทีมงานยังต้องมีเงินเดือน ดังนั้นเราปฏิเสธเรื่องธุรกิจไม่ได้ แต่เราสามารถแยกตัวตนออกมาได้ ตอนนี้น้องๆ จะรู้ว่าบางช่วงเราจะไม่ทำงานเชิงพาณิชย์เลย เราให้ทีมช่วยจัดการ แล้วเราไปทำหน้าที่เป็น Design Director เป็นเหมือน Conductor ที่คุมภาพรวมอีกที เราไม่จำเป็นที่จะต้องมาเล่นเชลโล่เองหรือเล่นเปียโนเองในทุกๆ เพลง ในทุกๆ โน้ต แต่ทุกๆ งานจะต้องผ่าน Conductor คนนี้ ทำให้เรามีเวลาส่วนหนึ่งที่ทำงานศิลปะ เราสามารถจบงาน Exhibition ครบรอบ 20 ปี ที่ยังมีความเป๊ะ สร้างงานสีอะคริลิก งาน Typography หรือจะวาดภาพ Abstract 8 รูป ได้ เราสร้างผลงานที่ทำให้คนมาดูงานของเรารู้สึกแปลกใจได้ โดยที่เราไม่ต้องมานั่งคิดว่าผลงานของ Pomme Chan เป็นอะไร งานของ Pomme Chan ไม่ต้องหวานก็ได้ สามารถเป็นงาน Abstract ได้ หรือถ้าชอบงานแบบ Pomme Chan หวานๆ ก็มาดูงาน GATE OF BLESSING ที่ศูนย์การค้าเมกาบางนาตอนนี้ก็ได้ (จัดแสดงถึง 12 กุมภาพันธ์ 2566)
การลบแล้วสร้างใหม่ คุณใช้วิธีไหนในการหาสิ่งใหม่ให้ผลงานตัวเอง
ทุกครั้งที่เราสร้างอะไรใหม่ขึ้นมาจะมีความรู้สึกภายใน ที่เหมือนเป็นก้อนความรู้สึกภายในให้เรารู้สึกได้ถึงคลื่นในตัวที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปตามคลื่นนั้นไป เราไม่เคยจงใจในการเปลี่ยนสไตล์ ไม่เคยจงใจวิ่งหาสไตล์ เพียงแต่ว่า มวลก้อนที่เกิดขึ้นนี้ อาจจะมาจากชุดข้อมูลในหัว จากการเปิดฟีดโซเชียลเน็ตเวิร์ก การอ่านหนังสือ การเดินทาง ได้เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ พอทุกอย่างที่เข้ามาก็จะถูกถ่ายทอดไปตามความรับรู้ เช่น ถ้าเราย้ายไปอยู่ประเทศอื่นสักสามเดือน เชื่อว่างานของเราก็คงเปลี่ยนไป เมื่อเรารู้ระบบตรงนี้ก็ทำให้เราอยากทดลองทำอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา
คุณอยู่อังกฤษสิบปี แต่ทำงานที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมจีน อยากถามว่าคติเรื่องชะตาฟ้าลิขิตนั้นคุณให้ความเชื่อถือแค่ไหน
เราคิดว่าเรื่องนี้คือความเป็นสากล ความเชื่อนี้เป็นสิ่งเดียวกับเรื่องพลังของจักรวาล เป็นเรื่องของ Rule of Attraction ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือเรื่องของพลังงาน เหมือนที่คนจีนใช้คำว่า ‘โชคชะตา‘ หรืออะไรก็ตาม ถ้าสมมติว่าชะตาฟ้าลิขิตนี้มีจริงไหม เราว่าก็มีส่วนถูกต้อง เช่น การลิขิตว่าเราเลือกเกิดไม่ได้ สิ่งนี้คือถูกกำหนดมาแล้ว เราเลือกไม่ได้ และไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเราจะเป็นคนที่ดุหรือใจดี เขาจะมีเงินหรือไม่มีเงิน เราจะเกิดในตระกูลไหนเราเลือกไม่ได้เลย แต่สิ่งที่เราจัดการได้คือ ชีวิตประจำวันที่เราทำฟ้าก็ช่วยส่วนหนึ่ง
เราขอเปรียบเทียบกับสองสถานการณ์อย่างนี้แล้วกัน ถ้าคุณเป็นคนชอบให้ จะมีบางคนที่ให้แล้วเจริญ กับบางคนที่ให้แล้วทำไมมันซวยจัง ถูกโกง ถูกหลอก มันเกิดจากที่เราให้ผิดคนหรือเอาตัวเองไปอยู่ผิดที่ เช่น คนที่ไปเรียนรู้วิชาอะไรก็ตาม แล้วให้ของคนในห้องเรียนที่เรียนเหมือนกัน ทุกคนใฝ่รู้เหมือนกัน เรายื่นให้ เขาก็ให้ ทุกคนก็ให้ก็มีแต่ความเจริญ แต่ถ้าอีกคนที่เป็นคนชอบให้ แต่ไปอยู่ในวงการพนัน เขาให้แต่ก็เหมือนให้โจรหมด แบบไม่ใช่ฟ้าลิขิตแต่คือสิ่งที่เราเลือกเอง
คุณรู้จัก ‘ไท่เก๊ก‘ ไหม เพราะสิ่งที่คุณเล่ามาทั้งหมดสอดคล้องกับหหลักการของความลื่นไหลนี้แบบตรงๆ
ไม่เลยค่ะ (หัวเราะ) แต่ที่คิดแบบนี้เพราะเราเคยเป็นต้นไม้ที่แข็งแกร่ง แล้ววันหนึ่งมันถูกหักโค่น ดังนั้นเราจึงอยากเปลี่ยนตัวเองเป็นน้ำที่ไหลเซาะไปได้สบายๆ หรือเป็นลมที่พัดไปได้เรื่อยๆ ในเชิงของการใช้ชีวิต ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องปกติ การเปลี่ยนเนื้องาน การเปลี่ยนถ่ายเกิดขึ้นในทุกอย่าง ขนาดตัวเรายังไม่เหมือนเดิมเลยในแต่ละปี
Pomme Chan วันนี้กับเด็กสาวที่หัดเหลาดินสอครั้งแรกต่างกันแค่ไหน
เราเป็นคนที่เต็มไปด้วยคำถามมาตั้งแต่เด็ก และพยายามหาคำตอบอยู่เสมอ เราจึงรู้จักตัวเองได้เร็ว เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยคำถาม แต่การนั่งสมาธินั้นช่วยได้เยอะมาก โดยเฉพาะตอนนี้ที่ทุกอย่างทำให้เรารู้สึกสับสน เอาแค่วันนี้เราจะเลือกเอาตัวเองไปอยู่ในอะไรระหว่าง Tiktok หรือ Reels ที่นี้พอไปถึงเรื่องของคนอีกเจนเนอเรชันที่เขาตื่นมาก็เจอความสำเร็จของทุกคนสาดใส่มือถือ เราเชื่อว่ายิ่งทำให้สับสนกับชีวิตหนักกว่าเดิม เพราะตัวเราเองกว่าจะได้เห็นความสำเร็จคนอื่นๆ ตอนนั้นเราก็อายุ 20 กว่าๆ แล้ว และกว่าจะมีสมาร์ตโฟนใช้อีกก็เป็นเวลาอีกนาน ดังนั้นช่วงตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 10 กว่าปี โลกของเราคือบ้าน และโรงเรียน แต่ตอนนี้เด็ก 5 หรือ 10 ขวบก็มีความเครียดกันแล้ว เพราะเขาถูกเปรียบเทียบด้วยเทคโนโลยีที่อยู่รอบตัว แต่ถ้าเราเกิดในยุคนี้ก็เชื่อว่าตัวเองจะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้
เราเชื่อว่าการรับมือคือการมี ‘สติ‘ และการออฟไลน์ เราเคยออฟไลน์ 4 วันตอนไปอยู่ที่ปากช่อง วันเสาร์อาทิตย์เราไม่ตอบไลน์เลย หลังหกโมงเย็นเราก็ไม่ตอบไลน์ สิ่งนี้คือการสื่อสารจึงสำคัญกับทีมงาน แม้ว่าพวกเขาจะยังทำงานอยู่จนถึงสามสี่ทุ่ม แต่ทุกคนจะรู้ว่าหลังหกโมงครึ่งเราจะไม่ตอบไลน์ ไม่ตอบอะไรเลย เราบอกเรื่องนี้ไว้ชัดเจน และเราก็ไม่ติดต่อพวกเขาด้วยเหมือนกัน วันเสาร์อาทิตย์เราจะไม่ไปกวนใครเลย และไม่ต้องให้ใครส่งข้อความมาหาเราด้วย แต่ถามว่าสมัยก่อนเราตอบไลน์หลังสี่ทุ่มไหม เรื่องนี้บอกเลยจำไม่ได้เพราะเราลบความทรงจำนี้ทิ้งไปหมดแล้ว (หัวเราะ)
คุณยิ้มตลอดเวลาตั้งแต่คุยกันแสดงว่าทุกวันนี้ชีวิตมีความสุขได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก
เราก็ยังคงเป็นปอมที่ทั้งสุขและทุกข์อยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้ผ่านพ้นได้ง่ายกว่า สมัยก่อนเรามีความสุขยากกว่านี้ ตอนนี้เรารู้ว่าจะไปเสียบปลั๊กชาร์จความสุขให้ตัวเองได้จากที่ไหน เราลดความเป็น Perfectionist ลงไปเยอะ อย่างงาน GATE OF BLESSING (เดินไปชี้ให้ดู) เห็นเส้นตรงเมฆกับกระต่ายที่ไม่เท่ากันไหม ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราจะละสายตาจากตรงนี้ไม่ได้เลย ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ นี้กลายเป็นจุดโฟกัสของเราไปแล้ว
แต่พอเรารู้สึกการผ่อนปรน ก็ทำให้เราสบายขึ้น โล่งขึ้น และเราก็สามารถส่งพลังบวกต่อไปให้คนอื่นได้ ทีมงานก็สบายไปด้วย ถ้าเรายังคงเป็นที่คุกรุ่นติดกับความผิดพลาดเล็กน้อยตลอดเวลาแบบเมื่อก่อน ชีวิตจะยุ่งเหยิงกว่านี้เยอะ ยกตัวอย่างเร็วๆ นี้ ออฟฟิศเรามีการติดสติ๊กเกอร์ที่ตรงหน้าต่าง แล้วมันเกิดความผิดพลาดขึ้นประมาณด้านละ 2 เซนติเมตร ซึ่งกระจกสูง 4 เมตร ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราจะมองแต่จุดผิดพลาดนี้และบอกให้ช่างมารื้อแล้วติดตั้งใหม่ เพราะรับไม่ได้เลย แต่วันนี้เรายืนดูและหาคำตอบว่าเกิดจากอะไรที่ทำให้มีความผิดพลาดนี้เกิดขึ้น ทำไมสองด้านไม่เท่ากัน เมื่อรู้สาเหตุก็ดูว่าถ้ามองจากด้านนอกก็ไม่เห็นความผิดพลาดนี้ โอเค! งั้นช่างมันละกัน ปล่อยไป แล้วเราก็ไปทำอย่างอื่นต่อได้
ถามแทนคนที่เป็น Perfectionist คุณมีวิธีจะจัดการความรู้สึกอย่างไรหากเจอกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
หายใจลึกๆ แล้วอย่าไปมองมันมากค่ะ (หัวเราะ) เพราะในงานแต่ละชิ้นถ้าคุณไม่ได้ทำเองคนเดียว คนอื่นๆ เขาก็ทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว เช่น มีงานหนึ่งที่กำลังให้ช่างแต่งหน้าเราอยู่ เราเหลือบไปเห็นกรอบรูปที่มันติดไม่ตรง เราก็ขอเดินไปจัดกรอบรูปอันนั้น เราจัดจนกว่ากรอบรูปจะอยู่ในตำแหน่งที่ตรงเราถึงหยุด แต่พอตาเหลือบไปเห็นอีกสิ่งอะไรก็ตามที่ยังไม่เป๊ะ เราจะขอตัวไปจัดจนทีมงานทุกคนต้องมาบอกว่า “พี่ปอมหยุด!” เราถึงนึกได้ว่าบางอย่างไม่ต้องเป๊ะขนาดนั้นก็ได้ ไม่มีอะไรที่เสียเวลา และไม่มีอะไรที่น่าเสียดายเลย
ปล่อยวางให้เป็นแต่ยังมีไฟอยู่ต้องเป็นอย่างไร
ปัญหาคือเดี๋ยวนี้สังคมชอบให้ตั้งคำถามว่าตัวเองชอบอะไร แล้วเราต้องมีแพสชันกับสิ่งนั้น ถ้าอย่างนั้นเราขอถามบ้างว่าลองไม่คิดถึงคำว่าแพสชันได้ไหม บางทีลองลืมๆ มันไปก่อนได้ไหม สังคมนี้ให้ความสำคัญกับคำนี้เยอะ แล้วทุกคนก็วิ่งหาแพสชันกันใหญ่เลย เราคิดว่าอย่าเอาคำว่าแพสชันมาเป็นกรอบให้เราต้องเป็นคนเก่งในอะไรสักอย่างเลย คุณรู้ไหมว่าบางครั้งการเป็นเป็ดมีประโยชน์มาก ทุกองค์กรต้องการเป็ด เราเองก็ต้องการคนที่เป็นเป็ดมาทำงานด้วย คนที่ทำอะไรได้หลายอย่างคือคนที่สามารถมาเป็นมือขวาให้เราได้เลยนะ
เข้าใจมาตลอดว่าคุณจะแนะนำให้เป็นคนที่เก่งที่สุดในทางใดทางหนึ่งไปเลย
ไม่จำเป็นเลย แต่ถ้าเรามีความเป็นเป็ดแล้วผสมผสานกับความเป็นเลิศในบางเรื่อง เราว่าสองอย่างนี้อยู่ด้วยกันได้ ต้องดูบริบทของสิ่งที่เราทำด้วย แต่อย่าให้สังคมมากดดันว่าคุณต้องเป็น The Great หรือ The Best ไม่ต้องเลย โลกนี้มีตัวประกอบเยอะแยะ ขาดตัวประกอบหนังก็ไม่สมบูรณ์ หนังจะมีแต่ตัวเอกไม่ได้ แล้ววันหนึ่งตัวประกอบก็สามารถเป็นตัวเอกได้ หรือถ้าเราเป็นตัวเอกในหนังไม่ได้ก็ลองไปเล่นซีรีส์ มันต้องมีที่ที่เหมาะสมกับเราอยู่
เหมือนกับที่ยุคหนึ่งสังคมพยายามบอกว่าให้ลาออกจากงานประจำมาเป็นฟรีแลนซ์ โดยที่ประตูที่เขาเปิดต้อนรับนั้น คนก็ไม่รู้หรอกว่าหลังประตูนั้นคือหน้าผา ทุกคนต่างวิ่งกรูกันเข้าประตูไปแล้วก็ตกเหว เขาบอกให้ทำงานอิสระ มีชีวิตที่สบายมีเวลาเป็นของตัวเอง แต่ไม่มีใครมาสอนว่าถ้าคุณเป็นฟรีแลนซ์แล้วคุณจะกู้บ้านได้อย่างไร จะทำบัตรเครดิตได้ยังไง คุณจะเลี้ยงดูแม่ได้ยังไง คุณออกไปอยู่บ้านข้างนอกแล้วคุณจะจ่ายค่าเช่าบ้านได้ยังไง เอาแค่ความต้องการขั้นพื้นฐานก่อนเลยว่าก่อนที่จะไปถึงความฝันคุณต้องเอาตัวรอดให้ได้อย่างไร
ตอนอยู่อังกฤษเราทำงานเป็นคนแจกใบปลิวข้างถนน ตอนนั้นน่าจะประมาณปี 2004 ทำอย่างนั้นเป็นปี ควบคู่กับ การเป็นคนเสิร์ฟเครื่องดื่มตอนกลางคืน เป็นคนไม่มีใครสนใจ เป็นตัวประกอบของเมืองเมืองนั้น แล้ววันหนึ่งผ่านไปตอนนี้เรามีบริษัทของตัวเองสามที่ เป็นพี่ที่ดูแลน้องๆ 20 คน เห็นไหมว่าการเติบโตมันเกิดขึ้นได้
คุณเป็นคนที่ตั้งปณิธานในแต่ละปีไหม
ไม่ตั้งเลยค่ะ คิดทุกวันแค่ว่าถ้าเราทำดีที่สุดและเต็มที่ในทุกวันแล้ว ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร มีปัญหาก็แค่แก้ไป เราทำงานมาแล้ว 20 ปี เราก็อยู่รอดมาได้ เพราะเราแยกตัวเองออกจากงานอย่างชัดเจน ถ้าคุณบอกว่าไม่ชอบงานวันนี้ ไม่ชอบสิ่งนี้ ไม่ชอบงานของ Pomme Chan เลย เราไม่โกรธไม่เสียใจเลยด้วย แต่ถ้าบอกว่าไม่ชอบ Pomme Chan เพราะเรานิสัยไม่ดี เราจะถามเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เราไปทำอะไรหรือเปล่า เรื่องนี้มันกระทบกับความรู้สึกเรา ดังนั้นถ้าวันไหนที่ความรู้สึกตัวเองไม่พร้อม เราจะมองตัวเองในกระจก ถ้าจะร้องไห้ก็ร้องเลยในห้องน้ำ แล้วบอกตัวเองว่าทำได้ วันนี้สู้สิวะ ยิ้มสิ เราจะอยู่กับตัวเองจนยิ้มได้ แล้วถามตัวเองว่าพร้อมไหม ถ้าพร้อมแล้วก็เปิดประตูออกไป เรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วก็เก็บไว้ก่อน เราทำแบบนี้บ่อยมาก
ถ้าพรุ่งนี้มี Ai ที่สามารถวาดรูปแบบเดียวกับ Pomme Chan เกิดขึ้นมา คุณจะทำอย่างไร
เอาสิ! ถ้า Ai สามารถเปลี่ยนสไตล์ได้ไวทันเราก็ตามสบาย (หัวเราะ) เราไม่กลัว แถมสนุกด้วยซ้ำ เพราะเผลอๆ เราจะเอา Al ที่สร้างเป็น Pomme Chan มาใช้งานเองเสียเลย และเราก็จะสร้างอะไรที่เป็นออริจินัลเพิ่มขึ้นมาจากสิ่งที่ Ai ทำขึ้นมาขึ้นไปอีกขั้นด้วย เพราะรูปแบบงานใหม่ๆ มันมีความน่าสนใจเสมอ ยกตัวอย่างงาน GATE OF BLESSING ที่ถูกนำลายเส้นมาเปลี่ยนเป็นงาน Installation Art ทำให้เราพบว่าทีมงานทำออกมาได้ดีกว่าที่เราคิดไว้เยอะมาก และงานแขนงนี้เป็นสิ่งที่เราทำเองไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องปล่อยมือหลังจากที่ส่งต่อภาพลายเส้นให้กับทีมงาน ซึ่งเราต้องขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมในงานครั้งนี้ด้วยที่ทำออกมาได้ดีมากๆ
สุดท้ายคุณมองภาพตัวเองในวัยสักประมาณ 70-80 ปี ไหมว่าทำอะไรอยู่
ต้องตายแล้วนะตอนนั้น (หัวเราะ) ถ้ายังไม่ตายก็คาดๆ เอาไว้ว่า ตัวเองน่าจะไม่ต้องทำงานแล้ว แล้วก็คงจะวาดรูปไม่ค่อยไหวแล้ว น่าจะอยู่บ้านที่เชียงใหม่ที่มีทุ่ง มีสวน อยู่กับธรรมะ อยู่กับตัวเอง อาจจะมีหมาตัวหนึ่ง ใส่ชุดอะไรก็ได้ที่ทำให้เรายิ้ม แล้วก็นั่งสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ค่ะ
เรื่อง: ทรรศน หาญเรืองเกียรติ, ชุติมณฑน์ แก้วมี ภาพ: สันติพงษ์ จูเจริญ