โต๋ ศักดิ์สิทธิ์

โต๋ – ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร | เปลี่ยนแปลงเพื่อเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง

สัจธรรมของชีวิตข้อหนึ่งที่เป็นความจริงอย่างที่สุด คือทุกอย่างในโลกล้วนมีวันหมดอายุ การเป็นศิลปินของ ‘โต๋’ – ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร เองก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าเส้นทางการเป็นนักดนตรีของเขานั้นมีความมั่นคง แต่สุดท้ายเขาก็ขอหยุดทำงานเพลงไปสองปี เพื่อกลับไปคิดทบทวนว่าจริงๆ การเป็นศิลปินนั้นไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต เขาจึงเลือกเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกครั้ง เพื่อเป็น โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ คนใหม่ กับอัลบั้ม Chapter 1 ที่เป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งในทุกเรื่องของตัวเอง ไม่ใช่แค่งานเพลงเท่านั้น แต่รวมถึงชีวิตในทุกด้าน ทั้งการงาน การเงิน สุขภาพและความสัมพันธ์

 

ก่อนที่จะรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ คุณรู้หรือยังว่าที่มันดับเพราะอะไร เพราะคุณเปิดโปรแกรมเยอะไป หรือมีอะไรที่ชำรุด ไม่อย่างนั้นการรีสตาร์ทก็เป็นแค่การเริ่มต้นใหม่ แต่ตัวเราเองไม่ได้พัฒนาอะไรเพิ่มขึ้นเลย

โต๋ ศักดิ์สิทธิ์

CAREER

     หน้าที่การงานสำหรับผมก็เหมือนรถยนต์ มีพัง มีเสื่อม ไม่สามารถอยู่กับเราได้ตลอดไป ก่อนหน้านี้ผมก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่มีฝัน มีไฟ เห็นภูเขาอยู่ข้างหน้าก็อยากจะปีนขึ้นไป เพราะเป้าหมายของเราคือไปให้ถึงยอดเขา อยากรู้ว่าบนนั้นมีอะไร พอขึ้นไป ได้รู้ได้เห็นทุกอย่างแล้ว เราก็อยู่บนนั้นนานไม่ได้เพราะออกซิเจนเบาบาง ยิ่งขึ้นไปสูงอากาศก็จะยิ่งน้อย ก็ต้องเดินลงมา แล้วจังหวะชีวิตก็พาเราขึ้นภูเขาลูกต่อไป แต่ความรู้สึกของเราเมื่อไปถึงยอดเขาลูกที่สองมันจะไม่เหมือนตอนที่ไปถึงเขาลูกแรกแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้หลายๆ ครั้ง ผมจึงพบว่าความสุขของตัวเองไม่ได้อยู่ที่การอยู่บนยอดเขา แต่อยู่ที่ระหว่างทางที่เรากำลังจะขึ้นไปให้ยอดเขาแต่ละลูก

     กลับมาในวันนี้ ผมทำการบ้านหลังจากที่เราหยุดทำงานไปสองปี ตอนนั้นผมคิดว่าก่อนที่เราจะเดินไปข้างหน้า เราต้องหยุดเดินเสียก่อน ถอยกลับมาสักหน่อย ดูความเป็นจริงว่าจุดเด่นจุดด้อยของตัวเองคืออะไร ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องมีคนที่กล้าพูดความจริงกับเรา คนที่รักเราเขาจะกล้าเตือนว่าตอนนี้เราทำอย่างนี้ไม่ถูก ต้องทิ้งนิสัยขี้เกรงใจไปก่อน

     ก่อนที่คุณจะรีสตาร์ทตัวเอง ก่อนที่จะคาดคะเนหรือวางแผนเพื่อไปข้างหน้า สิ่งแรกคือคุณต้องวิเคราะห์ชีวิตของตัวเองให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นคุณจะรีเซตตัวเองจากตรงไหน เหมือนเวลาที่คอมพิวเตอร์เราดับ ก่อนที่จะรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ คุณรู้หรือยังว่าที่มันดับเพราะอะไร เพราะคุณเปิดโปรแกรมเยอะไป หรือมีอะไรที่ชำรุด ไม่อย่างนั้นการรีสตาร์ทก็เป็นแค่การเริ่มต้นใหม่ แต่ตัวเราเองไม่ได้พัฒนาอะไรเพิ่มขึ้นเลย

     เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ขี้อายและขี้กลัวมาก กลัวว่าตัวเองจะทำงานผิดพลาด กลัวว่าเพลงจะออกมาไม่ดี กลัวนั่นกลัวนี่ไปหมด เลยแบกทุกอย่างไว้คนเดียว ทุกอย่างที่ออกไปต้องออกมาจากผมเท่านั้น แต่ในวันนี้ถ้ามีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น ผมจะยิ้มให้มัน หัวเราะไปกับมัน ฟังดูแล้วเป็นเรื่องง่ายๆ ซึ่งจริงๆ ทำได้โคตรยากเลย แต่ผมสนับสนุนให้คุณทำแบบนี้นะ เพราะชีวิตไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราไปเสียทุกอย่างหรอก

โต๋ ศักดิ์สิทธิ์

WEALTH

     การบริหารเงินเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะกับคนยุคนี้ แต่สำหรับผม ในทุกวันนี้ถ้าจะใช้จ่ายอะไรก็ตามผมจะคิดอยู่สองเรื่อง คือซื้อไปแล้วได้ใช้งานมันจริงๆ หรือเปล่า กับซื้อไปแล้วมูลค่าของมันในอนาคตคืออะไร เมื่อก่อนผมอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อเลยไม่คิด ซึ่งบางคนบอกว่าเขาทำงานมาหนัก เขาก็อยากใช้เงิน นั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่สำหรับผมสิ่งที่เป็นอันตรายกับคนเราหรือเด็กในตอนนี้คือโซเชียลมีเดีย คุณเห็นทุกอย่างที่อยู่บนโซเชียลมีเดียนั้นดีหมด เพราะเขาเลือกที่จะโพสต์แต่ความสุขของตัวเอง และทำให้เราลืมไปว่ามาตรฐานของชีวิตแต่ละคนในเรื่องของรายรับรายจ่ายนั้นไม่เท่ากัน

โต๋ ศักดิ์สิทธิ์

HEALTH

     เมื่อก่อนเวลาทำงานหนักๆ ผู้ใหญ่ก็จะบอกว่าพักผ่อนเยอะๆ กินวิตามินบ้าง เราก็ค้าน เพราะไม่เห็นว่าจะเป็นอะไรเลย โตขึ้นมาก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองมีอาการอ่อนเพลียบ้าง แต่ผมเป็นคนบ้าเล่นกีฬามากๆ บางทีทำงานเลิกสี่ทุ่มก็ไปเตะฟุตบอลต่อ คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจว่าช่วงเวลาที่ผมได้ออกกำลังกายจะเป็นช่วงที่โคตรมีความสุข เป็นเวลาสองชั่วโมงที่คุณไม่ต้องคิดเรื่องงาน ไม่ต้องคิดอะไรเลย ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญกับชีวิตนะ สิ่งที่ผมเปลี่ยนตัวเองจะเป็นเรื่องอาหารการกินมากกว่า เราต้องรู้จักประมาณตัวเองในการกินให้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน อะไรที่กินแล้วจะส่งผลร้ายต่อเราในอนาคตก็ต้องเลือกเยอะหน่อย

โต๋ ศักดิ์สิทธิ์

LOVE & RELATIONSHIP

     พอเราเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มออกมาใช้ชีวิต ผมเลยเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์มากขึ้น ชีวิตของคนมีเรื่องที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป บางครั้งถ้าคุณพลาดกับการให้ความสำคัญบางอย่างกับบางคนไว้ คุณก็จะกลับมานั่งเสียดายทีหลัง เพราะชีวิตมันตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาแล้วจะมีโอกาสได้เจอหน้าครอบครัวอีก หรือจะได้ดูแลคุณพ่อคุณแม่ไปอีกนานเท่าไหร่ คุณทำแต่งาน แล้วเพื่อนๆ ล่ะ เจอกันปีละครั้งเองเหรอ ถ้าคุณไม่เปลี่ยนความคิดของตัวเอง ก็จะคิดว่าก็แค่ไปเจอกันกินข้าวกันแค่นั้น ต่างคนต่างนั่งเล่นโทรศัพท์ไม่คุยกัน เมื่อสิ่งเหล่านี้ผ่านไป คุณมีเงินแค่ไหนก็เอากลับมาไม่ได้แล้ว