นิโคไล คอสเตอร์ – วัลดาอู นักแสดงผู้มีความรักเป็นพลังขับเคลื่อน

คุณอาจจะรู้จัก นิโคไล คอสเตอร์-วัลดาอู ในบทบาทของ เจมี แลนนิสเตอร์ จากซีรีส์ Game of Thrones รู้ว่าเจมีหลงรักพี่สาวฝาแฝดของตัวเอง ได้รับฉายาว่า คิงสเลเยอร์ (Kingslayer) เมื่อตอนสังหารกษัตริย์องค์หนึ่ง และใช้ความรักเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิต แม้ตัวจริงของนิโคไลจะไม่ตรงกับเจมีเสียทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกันคือ ‘ความรัก’ — ความรักต่อครอบครัว ความรักต่อหน้าที่ ความรักที่ทำให้โลกหมุนไปข้างหน้าในทุกๆ วัน

นิโคไล คอสเตอร์-วัลดาอู เป็นนักแสดงชาวแดนิช เข้าวงการมาตั้งแต่ปี 1993 และมีผลงานภาพยนตร์เรื่อยมาจนเมื่อ 6 ปีก่อน เขาตัดสินใจรับบท เจมี แลนนิสเตอร์ ในซีรีส์ฟอร์มยักษ์ Game of Thrones จากค่าย HBO ซึ่งทำให้คนทั่วโลกรู้จักเขามากขึ้น และยังเป็นประตูสู่บทบาทใหม่ในฐานะทูตสัมพันธไมตรีของ UNDP (United Nations Development Programme) ในเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

a day BULLETIN มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษถึงแง่มุม ความคิดเกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่เขาตัดสินใจลุกขึ้นมาเป็นกระบอกเสียง ความหวังของเขาที่มีต่ออนาคต และแอบคุยถึงบทบาทของ เจมี แลนนิสเตอร์ คิงสเลเยอร์ผู้พลิกผันมาเป็นที่รักของใครหลายๆ คน

ทุกคนต่างก็มีแรงขับเคลื่อน แรงผลักดันเป็น ‘ความรัก’ อยู่แล้วแหละ มันมักปรากฏอยู่ในช่วงเวลาสำคัญๆ ในชีวิตของเรา

ในฐานะของคนในวงการบันเทิง คุณสนใจและรับรู้ถึงปัญหาของโลกรอบๆ ตัวเราในปัจจุบันแค่ไหน

ผมสนใจเรื่องเหล่านี้มาก่อน เรื่องความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ปัญหาความเท่าเทียมกันในสังคม และเรื่องการยอมรับความหลากหลายทางเพศ จนได้มาร่วมงานกับทีมของ UNDP ก็เลยได้รู้ ได้เห็นอะไรๆ มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ซึ่งมันยังมีเรื่องจริงที่เราไม่เคยรู้มาก่อนอีกมากมาย และเป็นเรื่องที่ท้าทายจริงๆ ผมเองก็มักกลับมาย้อนเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่าง ตอนนี้โลกของเรายังมีประเทศที่บังคับใช้กฎหมายแบ่งแยกเพศอยู่มากกว่า 150 ประเทศ ซึ่งผมคิดว่ามันเพี้ยนมากๆ ยิ่งเป็นในยุคสมัยที่เราเกิดมาพร้อมกับความเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนควรมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน เราเลยยังต้องสู้กันต่อไปอีกไกลเลยนะ จนกว่าที่จะทำเรื่องท้าทายนี้ให้สำเร็จได้

ถ้าพูดถึงเรื่องโลกร้อน ซึ่งเป็นปัญหาที่สามารถเห็นผลกระทบได้เลยทันที ในฐานะ Goodwill Ambassador ของ UNDP คุณจะสื่อสารกับคนที่ยังไม่เชื่อเรื่องโลกร้อนอย่างไร

ผมคงเลือกที่จะพูดคุยกับพวกเขา ไม่ใช่ในฐานะว่าผมเป็นผู้เชี่ยวชาญหรืออะไรหรอกนะ แต่ในฐานะว่าผมเองก็เชื่ออย่างนี้ การที่คนบางคนทุ่มเททั้งชีวิตของเขาเพื่อศึกษาในเรื่องบางเรื่อง นั่นก็น่าจะสมเหตุสมผลพอที่เราจะรับฟังเขาบ้าง นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศกำลังเกิดขึ้นจริงๆ ผมคงไปบังคับความเชื่อคุณไม่ได้ แต่คงเลือกที่จะคุยกับคุณ และพยายามขอให้คุณลองศึกษาหาข้อมูลที่เปิดกว้างขึ้นอีกสักหน่อย ลองหาอะไรอ่านดู เราไม่กล่าวโทษใครหรอก แค่อยากให้รู้ถึงภัยที่กำลังคุมคามพวกเราและลูกหลานรุ่นต่อๆ ไปอยู่

ถ้าพวกเราตัดสินใจว่าเชื่อวิทยาศาสตร์แล้วหันมาเริ่มป้องกัน แก้ไขมันเสียตั้งแต่ตอนนี้ เช่น เราอาจจะเริ่มจากการลดการใช้พลังงานถ่านหิน แล้วลองทดแทนมันด้วยพลังงานที่สะอาดกว่านี้หน่อย ต่อให้เรามารู้ทีหลังเป็นร้อยๆ ปีว่าจริงๆ แล้วโลกไม่ได้ร้อน และสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์บอกตอนนี้ไม่ใช่เรื่องจริง เราก็ได้ช่วยดูแลรักษามันไว้ อย่างน้อยในอีกร้อยปีข้างหน้านั่น เราก็จะมีทั้งอากาศที่บริสุทธิ์ขึ้น แหล่งน้ำที่สะอาดขึ้น เราได้ประโยชน์จากหลายทาง ดังนั้น การเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ตอนนี้ มีแต่ได้กับได้จริงไหมล่ะ เราไม่มีอะไรต้องเสียเลย

แล้วถ้าคนที่ยังไม่เชื่อคนนั้นกำลังอยู่ในตำแหน่งผู้นำหรือเป็นคนที่มีอิทธิพลมากๆ ในโลกของเราตอนนี้ล่ะ

(หัวเราะ) อย่างที่ทุกคนทราบ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อยากจะถอดถอนสหรัฐอเมริกาออกจากสนธิสัญญาปารีส ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดพลาดมากๆ แต่เขาก็แค่คนคนเดียวน่ะ ผมไม่เถียงหรอกว่า คนคนเดียวคนนี้เป็นผู้นำของประเทศมหาอำนาจที่มีอิทธิพลต่อทั่วโลก แต่ในอีกมุมหนึ่ง การตัดสินใจของเขาครั้งนี้ทำให้เราได้เห็นการตอบรับจากคนกลุ่มอื่นๆ โดยที่ทุกคนพร้อมใจกันออกมาแล้วบอกตรงกันว่า โอเค พวกเราจะทำงานให้หนักขึ้น เราจะสู้ให้สุดแรงกว่าเดิม ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องน่ายินดีมาก ดังนั้น สำหรับผม ผมกลับมองว่าทรัมป์ได้ช่วยสร้างการเคลื่อนไหวให้พวกเราแข็งแกร่ง ทำให้คนทั่วโลกตื่นตัวถึงความรุนแรงของปัญหา และอยากจะออกมาทำอะไรให้มากขึ้นกว่าเดิม และแม้ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาอีก 3 ปี กว่าที่สหรัฐอเมริกาจะกลับเข้ามาร่วมสนธิสัญญาอีกครั้ง แต่ผมว่าพวกเราจะยังไม่เป็นไรหรอก

พอพูดถึงเรื่องความเป็นมนุษย์และความเท่าเทียม เรานึกถึง Shot Caller (2017) ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของคุณที่นำเสนอประเด็นนี้พอดี คุณได้เรียนรู้อะไรจากหนังเรื่องนี้บ้าง

ได้เรียนรู้ว่าผมชักจะแก่ขึ้นอีกนิดหนึ่งแล้ว (หัวเราะ) ขอโทษนะ อืม… ด้วยความที่ผมเป็นนักแสดง สิ่งที่นักแสดงอย่างเราถนัดจึงหนีไม่พ้นเรื่องการทำความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งซับซ้อนและน่าสนใจมากๆ ทำไมเราถึงเป็นคนแบบนี้ ทำไมเราถึงทำสิ่งนี้ ทำไมเราถึงพูดสิ่งนี้ อย่างบทนักโทษในเรื่อง Shot Caller เป็นบทบาทที่มีความเฉพาะตัวพอสมควร ผมต้องพยายามเรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับโลกที่ตัวละครนี้อาศัยอยู่ เลยได้รู้จักระบบเรือนจำอเมริกัน และอาจรวมถึงระบบเรือนจำของทั้งโลกตอนนี้ ว่าน่าจะต้องได้รับการปฏิรูปได้แล้ว เพราะแทนที่จะทำให้คนกลับมามีจิตสำนึกที่ดี มันกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เรากำลังเสียเงินและทรัพยากรมากมายไปให้กับระบบที่มันไม่ทำงาน นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องอื่นที่อธิบายเป็นคำพูดชัดๆ ไม่ถูกเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ คือผมจะไม่เมาแล้วขับแน่นอน (หัวเราะ)

คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับด้านมืดของมนุษย์มากขึ้นหรือเปล่า มนุษย์นั้นเลวร้ายเพราะสถานการณ์เลวร้าย หรือว่ามนุษย์เลวร้ายเองอยู่แล้ว

ไม่นะ จริงๆ แล้วผมเป็นคนมองโลกในแง่บวก และผมก็มีความรู้สึกแง่บวกกับความเป็นมนุษย์มากๆ ไม่ค่อยมองใครในแง่ร้าย เพราะคิดว่าคนส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่มีจิตใจดีกันหมดนั่นแหละ นานๆ ทีที่เราจะได้เจอคนร้ายๆ อย่างที่คุณว่านั่น คุณว่าไหม (หัวเราะ) ผมแค่คิดว่าอย่างไรเสีย เราทุกคนล้วนอยากเป็นคนดี ทำสิ่งดีๆ ให้แก่กันและกันทั้งนั้น แต่เรามักจะจดจำเวลาที่เราเจอคนไม่ดีๆ ได้แม่นกว่าเวลาที่เราไปเจอคนดีๆ น่ะ เราต่างก็คาดหวังที่จะได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมจากผู้คนรอบตัว พอเจอคนดีอย่างนั้นเข้าจริง เลยไม่ได้จดจำอะไร เพราะเราก็ทำแบบนั้นอยู่ทุกวันเหมือนกัน

แล้วการมากรุงเทพฯ ครั้งนี้ ได้เจอคนดีๆ และประสบการณ์ดีๆ มากกว่าใช่ไหม

รู้ไหมว่านี่คือครั้งแรกที่ผมมาเมืองไทย ครอบครัวและเพื่อนๆ บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คนที่นี่ใจดีและไม่มีนัยยะแฝงใดๆ ทั้งสิ้น การมาทำภารกิจในกรุงเทพฯ ร่วมกับ UNDP ก็ทำให้ผมได้พบกับคนดีๆ ทั้งนั้น เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่น่ารักที่สุดเท่าที่ผมรู้จักเลยก็ว่าได้ แล้วก็ได้เห็นชุมชน วัฒนธรรมที่ผมอยากมีส่วนช่วยรักษาสืบทอดไว้ ผมได้คุยกับคุณยายท่านหนึ่งที่เปิดร้านเค้กเก่าแก่ดั้งเดิมมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มันว้าวมากๆ จนผมก็ดีใจที่ได้เห็นพวกคุณคนกรุงเทพฯ ได้ช่วยกันรักษาพื้นที่เล็กๆ แบบนี้ไว้ไม่ไห้สูญหายไปกับกาลเวลา นี่แหละคือตัวอย่างที่ดี เลยทำให้ผมรู้สึกมองโลกในแง่บวก และเชื่อมั่นกับอนาคตมากๆ

ในความคิดของคุณ คนเป็นศิลปินต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างไรบ้าง

ผมว่าเราทุกคนต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบกันหมด ไม่มีอาชีพไหนที่กำหนดให้คุณต้องทำหรือไม่ต้องทำอะไรหรอก ถ้าคุณอยากแสดงออกหรืออย่างส่งเสริมเรื่องอะไร คุณออกมาแล้วลงมือทำได้เลย หรือถ้าคุณไม่อยากจะลุกขึ้นมาแสดงจุดยืนอะไรเลย นั่นก็เป็นอีกทางเลือกที่โอเคเหมือนกัน ผมไม่อยากให้มองว่าถ้าศิลปินทุกคนต้องแสดงจุดยืน หรือถ้าเขาไม่ได้ออกมาแสดงตัวว่าต่อสู้กับเรื่องอะไรสักอย่าง แปลว่าเขาเป็นคนไม่ดี เพราะสุดท้ายการกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูดอยู่แล้ว ชีวิตจริงในทุกๆ วันนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ต่อให้ผมออกมาพูดเรื่องโลกร้อน รณรงค์เรื่องความเท่าเทียมมากเท่าไหร่ แต่พอกลับบ้านไปแล้วผมกลับทำสิ่งตรงข้าม ก็คงไม่ได้อะไร ความรับผิดชอบที่คุณถามถึง ผมจึงคิดว่าเราทุกคนต่างก็ต้องมีด้วยกันทั้งนั้น

ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน มีสิ่งใดที่ควรโฟกัสเป็นพิเศษไหมล่ะ

อืม… (นิ่งคิด) ปู่ของผมเคยบอกให้เชื่อในคอมมอนเซนส์ของตัวเอง ไม่ว่าจะในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ อย่าทำอะไรมากเกินไป อย่าอ่านอะไรมากเกินไป ใช้คอมมอนเซนส์ของตัวเอง ผมว่าเราทุกคนต้องรับผิดชอบต่อกันและกัน นั่นแหละคือความเป็นมนุษย์ ต่อให้คุณกับผมมาจากคนละประเทศ คนละซีกของโลก แต่เราสองคนก็ยังคงเชื่อมต่อถึงกันด้วยประสบการณ์ที่ทุกๆ คนผ่านมาเหมือนกัน ซึ่งก็คือการดำรงชีวิตในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง จากนี้ต่อไป สิ่งที่ต้องทำก็คงจะเป็นการดูแลกันและกันให้ดีกว่าเดิม ดูแลโลกใบนี้ให้ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน

ขอเราคุยเรื่องทีวีซีรีส์เรื่อง Game of Thrones หน่อยเถอะ

(หัวเราะ)

สำหรับคุณแล้ว เจมี แลนนิสเตอร์ เป็นอย่างไร

จำได้ว่าตอนแรกที่ได้อ่านบทก็คิดว่าเขาเป็นตัวละครที่น่าสนใจทีเดียว แค่ฉากแรกๆ คุณก็ได้เห็นเขามีอะไรกับพี่สาว ก่อนที่จะพยายามฆ่าเด็กน้อยที่บังเอิญมาเห็นเข้า ผมว่ามันเป็นจุดหักเหของเรื่องที่ดีมากๆ ข้อดีของการทำรายการที่มีระยะเวลาฉายยาวๆ คุณมีเวลาที่จะค่อยๆ เล่าแง่มุมต่างๆ ของตัวละคร โดยไม่จำเป็นต้องบอกทีเดียวหมด

เจมี่ทำทั้งเรื่องกล้าหาญและเรื่องเลวร้าย จำได้ใช่ไหมว่าตอน 1 ของซีซัน 1 ที่เขากำลังทำเรื่องไม่ดีอยู่ แล้วก็พูดว่า ‘The things I do for love.’ ผมว่า ‘ความรัก’ คือแก่นแท้ของคนคนนี้เลยนะ แล้วมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนดูให้อภัยเจมีมาโดยตลอด (หัวเราะ)

แล้วตัวตนจริงๆ ของคุณมี ‘ความรัก’ เป็นแก่นแท้ของชีวิตเป็นเหมือนกันหรือเปล่า

แน่นอนสิ เราต่างก็ต้องการความรักด้วยกันทั้งนั้น คุณว่าไหมล่ะ (ยิ้ม) ผมคิดว่าทุกคนต่างก็มีแรงขับเคลื่อน แรงผลักดันเป็น ‘ความรัก’ อยู่แล้วแหละ มันมักปรากฏอยู่ในช่วงเวลาสำคัญๆ ในชีวิตของเรา ตัวผมเอง ผมรู้มาตลอดว่าผมอยากเป็นนักแสดง เมื่อทำได้ตามนั้น ผมก็รักในงาน รักในอาชีพการแสดงของผมมากๆ เพราะมันเป็นความหลงใหล เป็นความใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต แล้วต่อมาผมได้พบกับภรรยาของผมและตกหลุมรักเธอ ความรักก็กลายมาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคู่ของเรา จนกระทั่งเรามีลูกสาวด้วยกันสองคน ลูกทั้งสองและครอบครัวของเราจึงเป็นเหตุผลให้เราทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตในทุกวันนี้ เมื่อพบเจอเรื่องร้ายๆ ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ก็เหมือนกัน ด้วยสาเหตุเพราะผมมีลูก มันจึงสำคัญกับผมมากๆ ที่จะต้องออกมาช่วยจัดการปัญหาเหล่านี้ เพราะผมรักลูก จึงอยากให้พวกเขาได้เติบโตขึ้นในโลกใบที่ดีกว่าที่ผมเคยอาศัยอยู่ พูดง่ายๆ ก็คือสิ่งที่ผมจะส่งต่อให้กับรุ่นพวกเขา จะต้องดีกว่าที่เคยมีในรุ่นของผม และนี่ก็คือด้วยความรักใช่ไหมล่ะ

_

FYI
_

UN กำหนดวาระการพัฒนาภายหลังปี พ.ศ. 2558 ตามกระบวนทัศน์ ‘การพัฒนาที่ยั่งยืน’ (Sustainable Development Goals – SDGs)

  1. ขจัดความยากจน
  2. ขจัดความหิวโหย
  3. การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
  4. การศึกษาที่เท่าเทียม
  5. ความเท่าเทียมทางเพศ
  6. การจัดการน้ำและสุขาภิบาล 7. พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้
  7. การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  8. อุตสาหกรรม นวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน
  9. ลดความเหลื่อมล้ำ
  10. เมืองและถิ่นฐานมนุษย์อย่างยั่งยืน
  11. แผนการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน
  12. การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  13. การใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล
  14. การใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางบก
  15. สังคมสงบสุข ยุติธรรม ไม่แบ่งแยก
  16. ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน