ผ้าป่าน – สิริมา ไชยปรีชาวิทย์ | ชีวิตคือศิลปะ ที่เต็มไปด้วยสุนทรียะในแต่ละยุคสมัย

ทุกครั้งที่ได้มีโอกาสไปร่วมงานที่ The Jam Factory เรามักจะได้เห็นผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่าง ‘ผ้าป่าน’ – สิริมา ไชยปรีชาวิทย์ แม่งานคนเก่งที่คอยดูแลและวิ่งวุ่นอยู่ตลอดงาน จนเราเองก็ยังอดนึกชื่นชมความขยันของเธอไม่ได้ วันนี้เราได้พูดคุยกัน บทสนทนาสั้นๆ ที่ยิ่งตอกย้ำความประทับใจ ด้วยความสดใส ตรงไปตรงมา ความรักในงานศิลปะที่รวมกันเป็นชีวิตสนุกๆ ของผู้หญิงคนนี้

ชีวิตเราก็เป็นสีขาวดำคล้ายภาพถ่ายของเรา เพราะระหว่างสีขาวกับสีดำ
มีโซนสีเทาอีกหลายเฉดมาก มีความหลากหลายอยู่ในนั้น

01 ศิลปะกับผู้คน

เราว่าทุกคนอยากรู้จักศิลปะ แต่ว่าตอนนี้เมืองไทยไม่มีหน่วยงานมารองรับ และเราก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์อะไร เราอยู่ในจุดที่มีโอกาสจะสร้างอะไรขึ้นมาได้ ซึ่งคิดว่าดีกว่าด้วยซ้ำ ตอนนี้ทุกคนก็กำลังทำในส่วนของตัวเองกันอยู่ ถ้าเกิดวันหนึ่งทุกอย่างเชื่อมต่อกันหมดได้ก็น่าจะดี ไม่ว่าจะแกลเลอรี หนังสือ หรืองานสร้างสรรค์อื่นๆ เราอยากรวบรวมศิลปะในหลายๆ แง่มุมนำเสนอไปสู่ผู้คน คงดีมากถ้าเราไม่ได้หยุดอยู่แค่การแนะนำศิลปิน แต่สามารถพาเขามาเจอกับคนดู ให้เกิดเป็นคอมมูนิตี้ร่วมกัน เมื่อเราทำให้ศิลปะไม่จำกัดอยู่แค่ในแกลเลอรี ศิลปะก็จะเข้าไปใกล้กับผู้คนได้มากขึ้น

02 เต้นรำไปกับชีวิต

พี่ด้วง (ดวงฤทธิ์ บุนนาค) สอนตลอดว่า เราต้องเต้นรำไปกับชีวิต หลายครั้งคนเราเคยชินกับการวางแผนทำสิ่งต่างๆ แต่บางครั้งเมื่อปล่อยให้ไหลไปกับจังหวะชีวิตก็สนุกดีเหมือนกัน ตอนนี้เราสนุกกับการทำงานแกลเลอรี ซึ่งไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน ก็เลยใช้แมกาซีนเป็นขา เดินออกไปรู้จักกับคนอื่น กระจายออกไปมากขึ้น จนวันหนึ่งที่คนสนใจ เขาจึงเดินเข้ามาหาเรา พอได้ลองให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ลองทำ แล้วยอมรับมัน เราพบว่าแบบนี้สนุกกว่าที่จะต้องทำตามแผนไปเสียทุกอย่าง

03 สุนทรียะของยุคสมัย

สิ่งพิมพ์ไม่ได้กำลังจะตาย แค่มีแพลตฟอร์มใหม่เกิดขึ้น คำถามอยู่ที่ว่าคุณประยุกต์ไปกับสิ่งใหม่ได้อย่างไร ขอเปรียบอย่างนี้ดีกว่า ทุกวันนี้คนถ่ายฟิล์มก็ยังมีอยู่ มีคนกลับไปหา Alternative Process ยังใช้ห้องมืดกัน ทั้งที่กล้องดิจิตอลพัฒนาไปไหนต่อไหน เพราะว่าสุนทรียะของชีวิตคนเราประกอบด้วยสิ่งเหล่านี้แหละ ความสุขจากการได้สัมผัสกระดาษก็ยังคงอยู่ คู่ความเพลิดเพลินของการได้เลื่อนดูภาพสวยๆ จากหน้าจอ มันคือสุนทรียะของยุคนี้เหมือนกัน สิ่งพิมพ์หรือภูมิปัญญายุคเก่าไม่ได้ตาย แต่เราเองพร้อมที่จะอยู่กับมันได้นานแค่ไหนเท่านั้น

04 เพราะชีวิตคือศิลปะ

เราอยากทำงานอย่างเดียวมากๆ เพราะดูชีวิตเราสิ พังประมาณหนึ่ง (หัวเราะ) แต่ตอนนี้ทำงานหลายอย่างแล้วโคตรสนุก ถ้าสังเกตดีๆ ทุกอย่างไม่ได้หนีกัน และไม่ได้ออกห่างจากความเป็นเราด้วย การใช้ชีวิตคืองานศิลปะอย่างหนึ่ง ศิลปินไม่ได้ถูกจำกัดด้วยประเภทของงาน เราสามารถทำงานออกมาเป็นอะไรก็ได้ เพราะชีวิตคือศิลปะ

05 แรงบันดาลใจจากทุกสิ่งรอบตัว

แรงบันดาลใจมาจากทุกสิ่งรอบเราตัวเรา แม้แต่ตอนนี้ที่นั่งคุยกันอยู่ก็เป็นแบบนั้น เราเชื่อว่าทุกคนเปิดและปิดอยู่ตลอดเวลา เราควบคุมไม่ได้ ทุกอย่างรอบตัวสามารถให้แรงบันดาลใจได้หมด เพราะฉะนั้น อยู่ที่คุณพร้อมรึเปล่าที่จะเปิดรับอะไรก็ตามที่เข้ามากระตุ้นความคิด กระตุ้นความรู้สึกของคุณ ซึ่งบางครั้งก็ไม่ต้องตลอดเวลาก็ได้นะ ไม่งั้นก็เป็นบ้าพอดี

06 ชีวิตในเฉดสีเทา

ชีวิตเราก็เป็นสีขาวดำคล้ายภาพถ่ายของเรา เพราะระหว่างสีขาวกับสีดำมีโซนสีเทาอีกหลายเฉดมาก มีความหลากหลายอยู่ในนั้น ชีวิตก็เหมือนกัน เพราะเราทำทุกอย่างอยู่ในแค่สีเดียว คือสีของตัวตน ความชอบ ความสนใจของเรา เป็นอะไรที่เฉพาะเจาะจง แค่ขาวกับดำ แต่จะเป็นเฉดสีเทาแบบไหนก็แล้วแต่จังหวะชีวิต เรายังสนุกกับสีสัน มีความสุขเวลาได้เห็นศิลปินคนอื่นๆ ใช้สีกันอย่างสนุก แต่จะรับแรงบันดาลใจจากสิ่งเหล่านี้ แล้วปรับออกมาเป็นเฉดสีขาวดำ เป็นตัวตนของเรา

07 เวลาคือปัจจัยที่สำคัญที่สุด

ด้วยยุคสมัยที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าต้องทำอะไรหลายอย่างไปพร้อมกัน แต่เมื่อเทียบกับคนยุคก่อนที่เขาตั้งใจทำอะไรทีละอย่าง ผลงานของเขาเข้มข้นล้ำลึกกว่าเรามาก เพราะเขาได้โฟกัสจนไม่สามารถแบ่งความสนใจไปที่สิ่งอื่นได้ ซึ่งดูเหมือนจะกลายเป็นข้อเสียของการทำงานในยุคนี้ไปแล้ว แต่เรายังเชื่อว่าการให้เวลากับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเต็มที่ คือสิ่งทำคัญที่สุดในการทำงาน ไม่มีใครในโลกที่โกงเวลาได้ ทุกสิ่งต้องการการทุ่มเท คุณจะไปลดส่วนไหนเพื่อที่จะทุ่มเทกับมันล่ะ ถ้าเกิดคุณทำได้ก็โอเค แต่ถ้าคุณอยากจะสร้างมาสเตอร์พีซของตัวเอง เวลายังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด

เรื่อง : กมลวรรณ ส่งสมบูรณ์
ภาพ : วริยา กระแจ่ม